ข้อที่ 3 นิโรธ คือความดับทุกข์ ในทางธรรมนั้น ความดับตัณหาได้สิ้นเชิง ทุกข์ดับหมดไป ชื่อว่า นิโรธ อธิบายง่าย ๆ ก็หมายถึงผลที่ต้องการไปถึง ซึ่งก็คือสิ่งที่เรียกว่า “เป้าหมาย” นั่นเอง การกระทำใด ๆ ก็ตามต้องมีเป้าหมาย เพราะถ้าไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนดีก็เท่ากับทำไปโดยไร้ทิศไร้ทาง และอาจพลาดพลั้งเดินทางผิดได้ ถ้าต้องการมีชีวิตที่ชัดเจนก็ต้องมีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจนและดีงาม
หลายคนที่ปล่อยชีวิตไปวัน ๆ อย่างไร้ค่า ดำเนินชีวิตตามแต่เหตุการณ์จะพาไป จึงรู้สึกว่าชีวิตไม่มั่นคงและไม่มีค่าเท่าไร ลองกำหนดตัวเองให้ชัดเจนสิว่าชีวิตนี้เราต้องการอะไร แล้วพยายามไปให้ถึง จะรู้สึกว่าวันเวลาแต่ละขณะนั้นมีค่า ชีวิตนั้นมีความหมายก็เพราะสิ่งที่เรียกว่า “เป้าหมาย” นั่นเอง
นี่กล่าวถึงเป้าหมายสูงสุดในชีวิตกันเลยทีเดียว แต่ระหว่างนั้นจะมีเป้าหมายย่อย ๆ ระหว่างทาง คือสิ่งที่เราประสงค์ย่อย ๆ ลงไปในรายละเอียด แต่ว่าต้องไม่ผิดไปจากทิศทางของเป้าหมายหลักที่กำหนดไว้นะ แล้วพยายามทำให้สำเร็จอย่างดีงามให้จงได้ เมื่อยังไม่สำเร็จก็จงอย่าท้อถอย แล้วจงใช้ความผิดนั้นเป็นบทเรียนแก้ไขไปสู่ความสำเร็จ เพราะว่าความล้มเหลวเป็นรากฐานของความสำเร็จ และความสำเร็จเล็ก ๆ เป็นองค์ประกอบของความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ดังที่เราทราบกันดีว่า
“ปราสาทไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว”
นี่กล่าวถึงการที่เราต้องแจ่มชัดในเป้าหมายว่าเราประสงค์สิ่งใดกันแน่เสียก่อน ซึ่งเป้าหมายอันเป็นตัวผลนั่นเองจะเป็นตัวเชื่อมโยงบ่งบอกไปถึงอริยสัจข้อสุดท้ายต่อไป
ข้อที่ 4 มรรค คือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ มรรค แปลว่า ทาง ได้แก่วิธีการนำไปสู่เป้าหมาย คือความสำเร็จที่ประสงค์นั้นนั่นเอง แต่ว่าต้องเป็นอริยมรรคคือหนทางอันประเสริฐด้วยนะ เพราะว่าเป้าหมายหนึ่งๆ นั้นมีหลายทางที่จะนำไปถึงได้ แต่ทางไหนล่ะที่ไปถึงอย่างถูกต้องดีงามตามกฎกติกา ไม่ผิดทั้งกฎหมายและศีลธรรม อันนำไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน นั่นละคืออริยมรรค
เราต้องพิจารณาใคร่ครวญให้เห็นถ่องแท้เสียก่อน แล้วจึงลงมือปฏิบัติงานนั้นให้สำเร็จเป็นขั้นเป็นตอนไป จนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย นิโรธเป็นตัวผล ส่วนมรรคเป็นตัวเหตุ สรุปง่าย ๆ ก็คือ เข้าใจในเหตุและผลของงานอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งนั่นเองว่า ผลที่มุ่งหวังนั้น จะต้องมีเหตุปัจจัยอันเป็นองค์ประกอบอะไรบ้าง จึงจะทำให้ประสบความสำเร็จแล้วลงมือทำตามนั้น
เพราะว่า “สิ่งใดไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย แม้อยากให้เกิดมันก็ไม่เกิด แต่ว่าสิ่งใดที่มีเหตุและปัจจัยพร้อมมูลแล้ว แม้ไม่อยากให้เกิดมันก็ต้องเกิด”
ที่พูดกันจนคุ้นหูว่า “ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ” นั่นเอง เพราะทุกสิ่งมันมีเหตุปัจจัย ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นลอย ๆ ถ้าไม่อยากให้เกิดก็อย่าไปสร้างเหตุปัจจัยนั้น ๆ ขึ้น คือต้องคิดก่อนทำ แต่ถ้าทำแล้วค่อยคิด ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเหตุปัจจัยมันพร้อมมูลเสียแล้ว ก็เลยต้องก้มหน้ารับผล (กรรม)กันไป ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องของเหตุ-ผลทั้งสิ้น ทั้งจักรวาลก็มีแค่เรื่องของเหตุ-ผลนี่ละ ถ้าเข้าใจแจ่มแจ้งก็แก้ทุกข์ (ปัญหา) ได้ จนถึงดับทุกข์ได้สิ้นเชิง คือ ถึงมรรคผลนิพพานกันได้เลยทีเดียว เหมือนกับที่พระอัสสชิ กล่าวแก่อุปติสสมาณพ (พระสารีบุตรก่อนบวชเป็นภิกษุ) ว่า “สิ่งใดเกิดแต่เหตุ สิ่งนั้นดับเพราะเหตุดับ พระตถาคตเจ้าตรัสอย่างนี้” เท่านั้นแหละ อุปติสสะ ก็บรรลุโสดาบัน เพราะแจ่มแจ้งในเหตุและผลนั่นเอง
ประชาชนก็สามารถนำเอากระบวนการแก้ปัญหาแบบพุทธ (กระบวนการแห่งเหตุและผลที่แท้จริง)มาใช้สืบสาวหาเหตุปัจจัยในการแก้ปัญหาได้ เช่น ฝนไม่ตก! ชาวบ้านบางกลุ่มก็พากันแห่นางแมวขอฝน เพราะไม่แจ่มแจ้งในเหตุปัจจัย แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ท่านทรงพระปรีชาสืบสาวหาเหตุปัจจัยจนแจ่มชัด และสามารถจัดสรรเหตุปัจจัยจนพร้อมมูลให้ฝนตกได้ ที่เรียกว่า “ทำฝนเทียม” นี้ก็เพราะพระองค์ท่านทรงเข้าใจในเรื่องของเหตุและผลนั่นเอง
แม้แต่ นักเรียนนักศึกษาก็ต้องใช้ธรรมะหมวดนะ ไม่ใช่ว่าพอจะสอบเอ็นทรานส์ก็ไปบนบานศาลกล่าวซะทั่วไปหมด มันใช่เหตุปัจจัยกันซะเมื่อไร สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นท่านไม่ได้มานั่งเรียนกับเราด้วยสักหน่อย แล้วท่านจะช่วยเราได้อย่างไรเล่า เมื่อกลัวสอบไม่ติด (ทุกข์-อริยสัจข้อที่ 1) ก็แสดงว่านั่นเป็นปัญหาของเรา ก็เข้าสู่กระบวนการแก้ปัญหาขั้นที่ 1 แล้ว คือกำหนดรู้ทุกข์ให้แจ่มชัด จากนั้นก็สืบสาวหาเหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย-อริยสัจข้อที่ 2)ให้เจอ เพราะเกียจคร้านใช่ไหม ? หรือเพราะอ่อนวิชาอะไร ? ฯลฯ หาให้เจอ แล้วแก้ไขเสีย ต่อไปก็กำหนดเป้าหมายให้แน่ ๆ ว่า ตกลงเราต้องการจะเป็นอะไร คือต้องสอบเอ็นทรานส์ติดคณะไหน (นิโรธ-อริยสัจข้อที่ 3 ) จากนั้นก็กำหนดวิธีการได้ละว่าต้องทำคะแนนได้เท่าไหร่ อย่างไร (มรรค-อริยสัจข้อที่ 4) จึงจะสมปรารถนา แล้วลงมือปฏิบัติตามนั้นด้วยความพากเพียรและไม่ประมาทจนกว่าจะสำเร็จ
กล่าวย้ำกันอีกครั้งว่า อริยสัจข้อแรกขึ้นต้นด้วยทุกข์(ปัญหา) อย่าหนีมัน นั่นเป็นทางเข้า คือเป็นเบื้องต้นแห่งหนทางสู่ความสำเร็จ และอย่าลืมว่า ทุกครั้งของกระบวนการแก้ปัญหาแบบพุทธ (อริยสัจ 4) ต้องจบลงที่มรรค คือข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์เสมอ นิโรธคือผล มรรคคือสิ่งที่ต้องลงมือปฏิบัติ (เหตุ)
นั่นคือเมื่อใคร่ครวญสืบสาวหาเหตุปัจจัยแจ่มแจ้งแล้ว ต้องจบด้วยการลงมือทำ (อย่างถูกวิธี) เพราะพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการกระทำ ว่าด้วยเรื่องของกฎแห่งกรรม คือกฎแห่งการกระทำ (กรรม แปลว่า กระทำ) เป็นต้น ถ้าคิดแล้วไม่ทำ ผลที่ประสงค์ก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย ดังนั้น ธรรมะใด ๆ ก็ไร้ค่าถ้าไม่ปฏิบัติ แต่ในทางกลับกัน ไม่ว่าเขาจะเป็นคนไทยหรือไม่และเป็นชาวพุทธหรือไม่ก็ตาม หากเขาปฏิบัติตามหลักธรรมะก็ย่อมประสบความสำเร็จได้ ไม่เลือกชาติชั้นวรรณะและยุคสมัย
เพราะธรรมะเป็นอกาลิโก คือให้ผลได้ไม่จำกัดยุคสมัยกาลเวลา ขอเพียงมีเหตุปัจจัยที่ถึงพร้อมเท่านั้นเอง
“ บุคคลที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่ผู้ยืนอย่างมั่นคงโดยไร้ปัญหา
หากแต่เป็นผู้ที่ยืนได้อย่างมั่นคงท่ามกลางปัญหาต่างหาก”
“ภูเขาสูงเสียดฟ้าแค่ไหน ถ้าขึ้นไปถึงยอดแล้ว
มันก็อยู่ใต้ฝ่าเท้าเรานั่นเอง”
ตีพิมพ์ในนิตยาสาร “การศึกษาอัพเกรด” ฉบับที่ 042 ประจำวันพฤหัสบดี ที่ 9 - 16 สิงหาคม 2550
กราบนมัสการพระคุณเจ้า
กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ
สาธุ สาธุ สาธุ