เทคนิคการเลือกซื้อเครื่องพิมพ์


เครื่องพิมพ์เทคนิคการเลือกซื้อเครื่องพิมพ์ สำหรับมือใหม่

เครื่องพิมพ์ : อุปกรณ์สำหรับนำข้อมูล, ข้อความ, รูปภาพ ออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ในรูปแบบกระดาษ

เครื่องพิมพ์ทั่วไปในท้องตลาด (สำหรับผู้ใช้งานตามบ้านทั่วไป) มี 3 ประเภทครับ

  1. DOT Matrix
    1. 9 pin
    2. 24 pin
  2. Inkjet Printer
  3. Laser Printer
    1. Mono Laser Printer
    2. Color Laser Printer

Dot matrix : เครื่องพิมพ์ที่ใช้หลักการของเข็มกระแทกผ้าหมึกไปติดกับกระดาษ ลักษณะเด่นของเครื่องพิมพ์ประเภทนี้คือ เสียงดังคลายเครื่องพิมพ์ดีด และต้องคอยเปลี่ยนผ้าหมึก เมื่อมันจาง ข้อได้เปรียบของเครื่องพิมพ์นี้คือ สามารถพิมพ์กระดาษที่มีสำเนาในตัวได้ในครั้งเดียว จึงเหมาะสำหรับการพิมพ์เอกสารที่ต้องทำสำเนาในตัว เช่น ใบเสร็จรับเงิน, กระดาษต่อเนื่อง เป็นต้น
ความสามารถในการพิมพ์

  • พิมพ์ข้อความ : ขาว-ดำ ความคมชัดดี
  • พิมพ์ภาพ : ขาว-ดำ หรือ ลำดับเทา (Gray Scale)

9 pin VS 24 pin อะไรดีกว่ากัน

หัวเข็มกระแทกของเครื่องพิมพ์ DOT จะมีแบบ 9 เข็ม และ 24 เข็ม ...แน่นอน 24 เข็มจะ พิมพ์ได้ละเอียดกว่า แต่ราคาก็แพงกว่าเช่นกัน

ข้อดี

  1. สามารถพิมพ์ กระดาษต่อเนื่อง และกระดาษสำเนาได้
  2. ราคาตลับหมึกถูก ตลับละ 100 กว่าบาท
  3. ทนทานมากครับ ใช้งานกันลืมเลย

ข้อเสีย

  1. เสียงดังครับ อันนี้เห็นได้ชัด
  2. ราคาเครื่องแพง EPSON LQ300 24 pin แคร่สั้น ของ Epson ราคาประมาณ 7,000 บาท ขึ้นไป
  3. เครื่องพิมพ์โดยทั่วไปจะพิมพ์ได้ สีเดียวคือ สีดำ จะมีเครื่องบางเครื่องเท่านั้นที่รองรับการพิมพ์สี (ผ้าหมึกสี)

Inkjet : เครื่องพิมพ์ที่ใช้ลักษณะของการพ่นละอองหมึก ใส่กระดาษโดยตรง ด้วยหัวพิมพ์ความละเอียดสูง โดยเครื่องพิมพ์ประเภทนี้จะมีหมึกสี 4,6 หรือ 8 สี (สามารถพิมพ์ภาพสีได้ชัดเจน) โดย มาตรฐานสีที่ใช้ในเครื่องพิมพ์ จะเป็น CMYK (ฟ้า,ม่วง,เหลือง,ดำ) อาจจะมี LM, LC (ม่วงอ่อน, ฟ้าอ่อน)
คุณสมบัติที่ควรใส่ใจคือ

  1. ค่าความละเอียดหน่วยที่ใช้คือ DPI (Dot per inch) หมายความว่า ในระยะ 1 นิ้ว จะพิมพ์ได้กี่จุด แน่นอนถ้ายิ่งมากหมายถึงยิ่งละเอียด 
  2. ค่าความเร็วในการพิมพ์ PPM (Page per minute) หมายความว่า ใน 1 นาที สามารถพิมพ์ได้กี่แผ่น ซึ่งถ้ามากก็หมายความว่าพิมพ์ได้เร็ว

นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติอื่น ๆ เฉพาะยี่ห้อ ที่จะนำมาเสนอกัน เช่น ขนาดน้ำหมึก หรือ ปริมาณน้ำหมึกต่อหยด หน่วยเป็น pico litre ยิ่งปริมาณน้ำหมึกต่อหยดน้อย ก็ประหยัดมาก หรือ แม้แต่เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ช่วยในการผสมสี
การผสมผสานเทคโนโลยีของอุปกรณ์ อื่นเข้ากับ inkjet ทำให้เกิด MultiFunction โดยการรวม เครื่อง FAX, SCANNER, Coppier เป็นต้น

ข้อดี

  1. ของเครื่องพิมพ์ inkjet คือ ราคาเครื่องถูกมากครับ เริ่มต้นที่ 1000 กว่าบาท
    (ช่างบางรายจึงบอกว่า ไม่ต้องซ่อม... ซื้อใหม่ดีกว่า)
  2. สามารถพิมพ์ภาพสีได้ ชัดเจน เทียบเคียงภาพถ่าย
  3. พิมพ์ได้บนกระดาษที่หลากหลาย กระดาษด้าน, กระดาษมัน, สติกเกอร์, กระดาษลอกลาย (สำหรับรีดลงบนผ้า), แผ่นใส ฯลฯ
  4. ความเร็วในการพิมพ์สูงกว่าแบบ Dot Matrix
  5. การทำงานเงียบกว่าแบบ Dot Matrix

ข้อเสีย

  1. ราคาหมึกถ้าเทียบต่อปริมาณการพิมพ์ ถือว่าแพงครับ 
  2. หมึกเป็นหมึกน้ำ ไม่ทนต่อการโดนน้ำ หรือ ความชื้น
  3. หมึกไม่ทนต่อแสง เกิดการซีดจางเมื่อโดนแดดจัด ๆ
  4. ปัญหาหมึกตัน หากไม่มีการพิมพ์อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ซึ่งเมื่อเกิดปัญหาแล้วเรื่องใหญ่ครับ
    1. ถ้าเป็นเครื่อง Epson ที่หัวพิมพ์อยู่ที่ตัวเครื่อง ต้องเข้าศูนย์สถานเดียว
    2. ถ้าเป็นยี่ห้ออื่น เช่น HP, Lexmark ที่หัวพิมพ์อยู่ที่ตลับหมึก ก็แค่เปลี่ยนตลับหมึกก็หายแล้ว

Laser Printer : หลักการทำงานคล้ายเครื่องถ่ายเอกสาร คือ สร้างสนามแม่เหล็กในตัวดรัมแล้วหมุนกระดาษกับหมึกมาให้ผงหมึกติดกับกระดาษ แล้วใช้ความร้อนทำให้ผงหมึกติดทนกับกระดาษ ภาพหรือตัวหนังสือที่ได้จึงมีความคมชัดมากที่สุดเมื่อเทียบกับเครื่องพิมพ์อีก 2 แบบ แต่เนื่องจากการใช้ความร้อนนี้เอง จึงทำให้เกิดข้อจำกัดบางประการ
คุณสมบัติของเครื่องพิมพ์

  1. ความละเอียด มีหน่วยเป็น DPI โดยส่วนมากจะบอกเป็นตัวเลข 2 ตัวคุณกัน เช่น 600x600 หมายถึง จำนวนจุดต่อนิ้วในแนวตั้งและแนวนอน ตัวเลขยิ่งมากยิ่งละเอียดมาก
  2. ความเร็วในการพิมพ์ มีหน่วยเป็น Page per minute หรือ จำนวนหน้าต่อนาที ถ้าเป็นระดับ Laser ไม่ควรต่ำกว่า 20 หน้าต่อนาที
  3. ความสามารถด้านการเชื่อมต่อ USB, Parallel, Ethernet, Wifi, Bluetooth ฯลฯ
  4. ความสามารถเป็น Multi Function คือ มี Scanner Fax Copy ในตัว

ข้อดี

  1. ความคมชัดสูง
  2. ความเร็วในการพิมพ์สูงที่สุด
  3. ค่าใช้จ่ายในการพิมพ์เฉลี่ยต่อแผ่น ถูกกว่า แบบ inkjet (แต่แพงกว่าแบบ Dot)
  4. สามารถพิมพ์สีได้ (บางรุ่น - มีผงหมึกแยกสีกัน)

ข้อเสีย

  1. เครื่องราคาแพงกว่าแบบ inkjet
  2. ตลับหมึกมีราคาแพง
  3. มีค่าใช้จ่ายค่า Photo Conductor 
  4. ไม่สามารถใช้งานกับกระดาษบางประเภทได้ เช่นกระดาษที่มีความมันวาวด้วยสารเคลือบผิวบางประเภท หรือ กระดาษสติกเกอร์ (เนื่องจากความร้อนจะทำให้กาวละลาย ทำให้เครื่องเสียหาย)

บทสรุปสำหรับการเลือกซื้อ

  1. ดูงบประมาณ เป็นอันดับแรก
    ถ้างบประมาณน้อย กว่า 3,000 บาท แนะนำให้พิจารณา inkjet ครับ เพราะเลือกแบบอื่นไม่ได้ แต่ถ้ามีงบประมาณมากกว่านี้ ค่อยดูข้อต่อไป
  2. ดูรูปแบบงานที่จะพิมพ์
    1. งานเอกสารที่มีสำเนาเป็นส่วนมาก เช่นใบเสร็จ ใบกำกับภาษี หรือ พิมพ์แบบฟอร์มในกระดาษต่อเนื่อง ให้พิจารณาเลือก Dot Matrix ครับ
    2. ถ้าเป็นงานเอกสารสำนักงานทั่วไป กระดาษ A4 ไม่มีสำเนา ก็เลือกได้ทั้ง inkjet หรือ Laser
    3. ถ้าต้องการคุณภาพงานนำเสนอ ที่มีสีสัน ก็แนะนำให้เป็น Inkjet หรือ Laser Color
    4. ถ้าต้องการพิมพ์ภาพสี ระดับภาพถ่าย พิมพ์สติกเกอร์ ให้เลือกใช้ inkjet ครับ (อย่าลืมว่า Sticker ไม่เหมาะกับเครื่องพิมพ์ Laser)
  3. ความถี่ในการพิมพ์
    1. ถ้าพิมพ์บ่อยมาก กับงาน เอกสารสำนักงาน งานวิจัย ตำรา (ขาว-ดำ) ก็แนะนำให้ใช้ Laser ครับ เพราะต้นทุนต่อแผ่นถูกว่าแบบ Inkjet (ลงทุนครั้งแรกแพงหน่อย แต่คุ้มระยะยาวครับ)
    2. ถ้าพิมพ์บ่อย แต่ต้องการพิมพ์สีด้วย แนะนำให้ใช้ Inkjet ติด inktank (อุปกรณ์จ่ายน้ำหมึกภายนอก - ช่วยให้ต้นทุนต่อแผ่นต่ำลงได้) หรือ เลือกใช้ Laser Color (แต่ค่าใช้จ่ายในการพิมพ์แต่ละครั้งจะแพงกว่า Mono Laser ประมาณ 3-4 เท่าครับ)
    3. ถ้าพิมพ์ไม่บ่อย ไม่ค่อยพิมพ์ ก็ให้เลือกใช้ Laser ครับ เพราะถ้าเป็น inkjet ต้องพิมพ์บ่อย ๆ เพราะปัญหาหัวพิมพ์ตัน

ปัจจุบัน การพัฒนาเทคโนโลยีการพิมพ์ Inkjet ให้มีต้นทุนต่อแผ่นถูก และ มีความเร็วเทียบเท่า Laser มีอยู่อย่างต่อเนื่อง

นอกจากที่กล่าวมาแล้วยังมีเครื่องพิมพ์อีกหลายประเภทนะครับ แต่ไม่ใช่พวกที่ใช้ตามบ้านและสำนักงานทั่วไป เช่น เครื่องพิมพ์บาร์โค้ดแบบ Direct Thermal และ แบบ Thermal Transfer และ เครื่อง Plotter เป็นต้น

หมายเลขบันทึก: 220019เขียนเมื่อ 31 ตุลาคม 2008 17:54 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 07:22 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)
  • ยินดีต้อนรับสู่ G2K ค่ะ
  • บทความน่าสนใจมากค่ะ เพราะอยากซื้อเครื่องพิมพ์ใหม่(ครั้งที่3 ) เพราะสองเครืองเสียหมด
  • ไม่รู้ว่า ทำไมผู้ขายจึงแนะนำให้ซื้อใหม่ 
  • เขาบอกว่า ค่าซ่อมแพงกว่าซื้อค่ะ

ถ้าต้องพิมพ์งานเอกสารทั่วไปเยอะ ๆ แนะนำให้ใช้ laser ครับ ต้นทุนต่อแผ่นต่ำกว่า ความคมชัดสูง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท