เครื่องพิมพ์ : อุปกรณ์สำหรับนำข้อมูล, ข้อความ, รูปภาพ ออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ในรูปแบบกระดาษ
เครื่องพิมพ์ทั่วไปในท้องตลาด (สำหรับผู้ใช้งานตามบ้านทั่วไป) มี 3 ประเภทครับ
-
DOT Matrix
- 9 pin
- 24 pin
- Inkjet Printer
-
Laser Printer
- Mono Laser Printer
- Color Laser Printer
Dot matrix : เครื่องพิมพ์ที่ใช้หลักการของเข็มกระแทกผ้าหมึกไปติดกับกระดาษ ลักษณะเด่นของเครื่องพิมพ์ประเภทนี้คือ เสียงดังคลายเครื่องพิมพ์ดีด และต้องคอยเปลี่ยนผ้าหมึก เมื่อมันจาง ข้อได้เปรียบของเครื่องพิมพ์นี้คือ สามารถพิมพ์กระดาษที่มีสำเนาในตัวได้ในครั้งเดียว จึงเหมาะสำหรับการพิมพ์เอกสารที่ต้องทำสำเนาในตัว เช่น ใบเสร็จรับเงิน, กระดาษต่อเนื่อง เป็นต้น
ความสามารถในการพิมพ์
- พิมพ์ข้อความ : ขาว-ดำ ความคมชัดดี
- พิมพ์ภาพ : ขาว-ดำ หรือ ลำดับเทา (Gray Scale)
9 pin VS 24 pin อะไรดีกว่ากัน
หัวเข็มกระแทกของเครื่องพิมพ์ DOT จะมีแบบ 9 เข็ม และ 24 เข็ม ...แน่นอน 24 เข็มจะ พิมพ์ได้ละเอียดกว่า แต่ราคาก็แพงกว่าเช่นกัน
ข้อดี
- สามารถพิมพ์ กระดาษต่อเนื่อง และกระดาษสำเนาได้
- ราคาตลับหมึกถูก ตลับละ 100 กว่าบาท
- ทนทานมากครับ ใช้งานกันลืมเลย
ข้อเสีย
- เสียงดังครับ อันนี้เห็นได้ชัด
- ราคาเครื่องแพง EPSON LQ300 24 pin แคร่สั้น ของ Epson ราคาประมาณ 7,000 บาท ขึ้นไป
- เครื่องพิมพ์โดยทั่วไปจะพิมพ์ได้ สีเดียวคือ สีดำ จะมีเครื่องบางเครื่องเท่านั้นที่รองรับการพิมพ์สี (ผ้าหมึกสี)
Inkjet : เครื่องพิมพ์ที่ใช้ลักษณะของการพ่นละอองหมึก ใส่กระดาษโดยตรง ด้วยหัวพิมพ์ความละเอียดสูง โดยเครื่องพิมพ์ประเภทนี้จะมีหมึกสี 4,6 หรือ 8 สี (สามารถพิมพ์ภาพสีได้ชัดเจน) โดย มาตรฐานสีที่ใช้ในเครื่องพิมพ์ จะเป็น CMYK (ฟ้า,ม่วง,เหลือง,ดำ) อาจจะมี LM, LC (ม่วงอ่อน, ฟ้าอ่อน)
คุณสมบัติที่ควรใส่ใจคือ
- ค่าความละเอียดหน่วยที่ใช้คือ DPI (Dot per inch) หมายความว่า ในระยะ 1 นิ้ว จะพิมพ์ได้กี่จุด แน่นอนถ้ายิ่งมากหมายถึงยิ่งละเอียด
- ค่าความเร็วในการพิมพ์ PPM (Page per minute) หมายความว่า ใน 1 นาที สามารถพิมพ์ได้กี่แผ่น ซึ่งถ้ามากก็หมายความว่าพิมพ์ได้เร็ว
นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติอื่น ๆ เฉพาะยี่ห้อ ที่จะนำมาเสนอกัน เช่น ขนาดน้ำหมึก หรือ ปริมาณน้ำหมึกต่อหยด หน่วยเป็น pico litre ยิ่งปริมาณน้ำหมึกต่อหยดน้อย ก็ประหยัดมาก หรือ แม้แต่เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ช่วยในการผสมสี
การผสมผสานเทคโนโลยีของอุปกรณ์ อื่นเข้ากับ inkjet ทำให้เกิด MultiFunction โดยการรวม เครื่อง FAX, SCANNER, Coppier เป็นต้น
ข้อดี
- ของเครื่องพิมพ์ inkjet คือ ราคาเครื่องถูกมากครับ เริ่มต้นที่ 1000 กว่าบาท
(ช่างบางรายจึงบอกว่า ไม่ต้องซ่อม... ซื้อใหม่ดีกว่า)
- สามารถพิมพ์ภาพสีได้ ชัดเจน เทียบเคียงภาพถ่าย
- พิมพ์ได้บนกระดาษที่หลากหลาย กระดาษด้าน, กระดาษมัน, สติกเกอร์, กระดาษลอกลาย (สำหรับรีดลงบนผ้า), แผ่นใส ฯลฯ
- ความเร็วในการพิมพ์สูงกว่าแบบ Dot Matrix
- การทำงานเงียบกว่าแบบ Dot Matrix
ข้อเสีย
- ราคาหมึกถ้าเทียบต่อปริมาณการพิมพ์ ถือว่าแพงครับ
- หมึกเป็นหมึกน้ำ ไม่ทนต่อการโดนน้ำ หรือ ความชื้น
- หมึกไม่ทนต่อแสง เกิดการซีดจางเมื่อโดนแดดจัด ๆ
- ปัญหาหมึกตัน หากไม่มีการพิมพ์อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ซึ่งเมื่อเกิดปัญหาแล้วเรื่องใหญ่ครับ
- ถ้าเป็นเครื่อง Epson ที่หัวพิมพ์อยู่ที่ตัวเครื่อง ต้องเข้าศูนย์สถานเดียว
- ถ้าเป็นยี่ห้ออื่น เช่น HP, Lexmark ที่หัวพิมพ์อยู่ที่ตลับหมึก ก็แค่เปลี่ยนตลับหมึกก็หายแล้ว
Laser Printer : หลักการทำงานคล้ายเครื่องถ่ายเอกสาร คือ สร้างสนามแม่เหล็กในตัวดรัมแล้วหมุนกระดาษกับหมึกมาให้ผงหมึกติดกับกระดาษ แล้วใช้ความร้อนทำให้ผงหมึกติดทนกับกระดาษ ภาพหรือตัวหนังสือที่ได้จึงมีความคมชัดมากที่สุดเมื่อเทียบกับเครื่องพิมพ์อีก 2 แบบ แต่เนื่องจากการใช้ความร้อนนี้เอง จึงทำให้เกิดข้อจำกัดบางประการ
คุณสมบัติของเครื่องพิมพ์
- ความละเอียด มีหน่วยเป็น DPI โดยส่วนมากจะบอกเป็นตัวเลข 2 ตัวคุณกัน เช่น 600x600 หมายถึง จำนวนจุดต่อนิ้วในแนวตั้งและแนวนอน ตัวเลขยิ่งมากยิ่งละเอียดมาก
- ความเร็วในการพิมพ์ มีหน่วยเป็น Page per minute หรือ จำนวนหน้าต่อนาที ถ้าเป็นระดับ Laser ไม่ควรต่ำกว่า 20 หน้าต่อนาที
- ความสามารถด้านการเชื่อมต่อ USB, Parallel, Ethernet, Wifi, Bluetooth ฯลฯ
- ความสามารถเป็น Multi Function คือ มี Scanner Fax Copy ในตัว
ข้อดี
- ความคมชัดสูง
- ความเร็วในการพิมพ์สูงที่สุด
- ค่าใช้จ่ายในการพิมพ์เฉลี่ยต่อแผ่น ถูกกว่า แบบ inkjet (แต่แพงกว่าแบบ Dot)
- สามารถพิมพ์สีได้ (บางรุ่น - มีผงหมึกแยกสีกัน)
ข้อเสีย
- เครื่องราคาแพงกว่าแบบ inkjet
- ตลับหมึกมีราคาแพง
- มีค่าใช้จ่ายค่า Photo Conductor
- ไม่สามารถใช้งานกับกระดาษบางประเภทได้ เช่นกระดาษที่มีความมันวาวด้วยสารเคลือบผิวบางประเภท หรือ กระดาษสติกเกอร์ (เนื่องจากความร้อนจะทำให้กาวละลาย ทำให้เครื่องเสียหาย)
บทสรุปสำหรับการเลือกซื้อ
- ดูงบประมาณ เป็นอันดับแรก
ถ้างบประมาณน้อย กว่า 3,000 บาท แนะนำให้พิจารณา inkjet ครับ เพราะเลือกแบบอื่นไม่ได้ แต่ถ้ามีงบประมาณมากกว่านี้ ค่อยดูข้อต่อไป
- ดูรูปแบบงานที่จะพิมพ์
- งานเอกสารที่มีสำเนาเป็นส่วนมาก เช่นใบเสร็จ ใบกำกับภาษี หรือ พิมพ์แบบฟอร์มในกระดาษต่อเนื่อง ให้พิจารณาเลือก Dot Matrix ครับ
- ถ้าเป็นงานเอกสารสำนักงานทั่วไป กระดาษ A4 ไม่มีสำเนา ก็เลือกได้ทั้ง inkjet หรือ Laser
- ถ้าต้องการคุณภาพงานนำเสนอ ที่มีสีสัน ก็แนะนำให้เป็น Inkjet หรือ Laser Color
- ถ้าต้องการพิมพ์ภาพสี ระดับภาพถ่าย พิมพ์สติกเกอร์ ให้เลือกใช้ inkjet ครับ (อย่าลืมว่า Sticker ไม่เหมาะกับเครื่องพิมพ์ Laser)
- ความถี่ในการพิมพ์
- ถ้าพิมพ์บ่อยมาก กับงาน เอกสารสำนักงาน งานวิจัย ตำรา (ขาว-ดำ) ก็แนะนำให้ใช้ Laser ครับ เพราะต้นทุนต่อแผ่นถูกว่าแบบ Inkjet (ลงทุนครั้งแรกแพงหน่อย แต่คุ้มระยะยาวครับ)
- ถ้าพิมพ์บ่อย แต่ต้องการพิมพ์สีด้วย แนะนำให้ใช้ Inkjet ติด inktank (อุปกรณ์จ่ายน้ำหมึกภายนอก - ช่วยให้ต้นทุนต่อแผ่นต่ำลงได้) หรือ เลือกใช้ Laser Color (แต่ค่าใช้จ่ายในการพิมพ์แต่ละครั้งจะแพงกว่า Mono Laser ประมาณ 3-4 เท่าครับ)
- ถ้าพิมพ์ไม่บ่อย ไม่ค่อยพิมพ์ ก็ให้เลือกใช้ Laser ครับ เพราะถ้าเป็น inkjet ต้องพิมพ์บ่อย ๆ เพราะปัญหาหัวพิมพ์ตัน
ปัจจุบัน การพัฒนาเทคโนโลยีการพิมพ์ Inkjet ให้มีต้นทุนต่อแผ่นถูก และ มีความเร็วเทียบเท่า Laser มีอยู่อย่างต่อเนื่อง
นอกจากที่กล่าวมาแล้วยังมีเครื่องพิมพ์อีกหลายประเภทนะครับ แต่ไม่ใช่พวกที่ใช้ตามบ้านและสำนักงานทั่วไป เช่น เครื่องพิมพ์บาร์โค้ดแบบ Direct Thermal และ แบบ Thermal Transfer และ เครื่อง Plotter เป็นต้น