เคยเล่าเรื่องทุนของมูลนิธิชิน โสภณพนิชไว้นานแล้ว (อ่านที่นี่)
เมื่อต้นภาคการศึกษาที่ ๒/๒๕๕๑ ดิฉันได้พบและแจกทุนของมูลนิธิชิน โสภณพนิช แก่นักศึกษาพยาบาล ปี ๑-๓ จำนวน ๑๘ คน เมื่อถามนักศึกษาว่าเคยเขียนจดหมายเล่าเรื่องราวของตนเองและการเรียนให้เจ้าของทุนได้รับทราบบ้างหรือเปล่า คำตอบที่ได้คือไม่มีนักศึกษาคนใดได้ทำเลย เจ้าหน้าที่ของสำนักวิชาเป็นผู้จัดการรวบรวมข้อมูลผลการเรียนแต่ละภาคการศึกษาของนักศึกษาทุกคนส่งแจ้งให้มูลนิธิฯ ทราบ
ค่อนข้างจะเป็นรูปแบบที่แห้งแล้ง ไม่ค่อยมีจิตสำนึก และความผูกพันระหว่างกัน
ดิฉันได้ไอเดียจากการอ่านจดหมายข่าวของมูลนิธิพูนพลัง ที่เด็กซึ่งได้รับทุนเขาจะเขียนจดหมายถึงผู้ให้ทุน เล่าเรื่องราวชีวิตและการเรียนของตนเอง ความคิด บอกความรู้สึกดีๆ แสดงความขอบคุณ
ดิฉันจึงขอให้นักศึกษาทุกคนเขียนจดหมายถึงประธานมูลนิธิฯ ด้วยลายมือตนเองทุกภาคการศึกษา เมื่อวานนี้ก็ได้รับทราบความก้าวหน้า นักศึกษาทั้ง ๑๘ คน ได้เขียนจดหมายถึงประธานมูลนิธิฯ เล่าเรื่องราวของตนเอง ความคิด ความตั้งใจ ฯลฯ ยาวบ้าง สั้นบ้าง ตามถนัด บางคนเขียนได้น่าอ่านมากและยังแนบภาพถ่ายของตนเองไปด้วย
จดหมายของนักศึกษาทั้ง ๑๘ ฉบับ
แนะนำตัวและแสดงตน
การเขียนจดหมายแบบนี้ จะเป็นการสอนตนเองไปด้วยในตัว เป็นโอกาสให้ได้คิดทบทวนสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นจากการได้รับทุน สื่อออกมาเป็นข้อความที่ทำให้เจ้าของทุนปลาบปลื้มใจ
วัลลา ตันตโยทัย
ดีมากเลยครับ ดีมากจริง ๆ
นึกถึงเรื่องคุณพ่อขายาว นางเอกได้ทุนเรียนจากพระเอก ต้องเขียนจดหมายเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ของตนให้พระเอกฟังตลอด โดยที่ตัวเองไม่เคยรู้จักพระเอกเลย
บันทึกนี้ ทำให้ผมต้องนั่งเรียบเรียงเขียนจดหมายแบบที่อาจารย์แนะนำนักศึกษาบ้างแล้ว
ครั้งหนึ่งสมัยเรียน ป. ตรี ผมเคยได้รับการอุปถัมป์จากทุนนี้เช่นกันครับ แต่นานแล้วไม่เคยเขียนจดหมายขอบคุณ เหลือแต่สมุดบัญชีธนาคารที่ยังใช้อยู่มาจนถึงทุกวัน เพราะถือว่าเป็นการระลึกถึง ความดีที่เขาดีต่อเราครับ
ขอบคุณค่ะ ดิฉันได้รับทุนสงเคราะห์จากผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง
ต้องการเขียนจดหมายขอบคุณท่าน
แต่ก็ไม่มั่นใจถึงรูปแบบความเป็นทางการของจดหมาย
จึงได้แต่ผัดผ่อนเรื่อยมา
เมื่ออ่านบทความนี้จบ ดิฉันคิดว่าจะเริ่มลงมือเขียนทันทีด้วยลายมือ
เพราะได้คลายความกังวลลงว่า ความจริงใจที่ส่งผ่านจดหมายสำคัญกว่ารูปแบบที่เป็นทางการ