"ภูกระดึง" ถ้าไม่มีดีจริงคงไม่ไปถึง 3 ครั้งหรอกนะ


"ครั้งหนึ่งในชีวิต ข้าคือผู้พิชิตภูกระดึง"

"ภูกระดึง" ถ้าไม่มีดีจริงคงไม่ไปถึง 3 ครั้งหรอกนะ

ทุกคนที่เดินขึ้นไปท่องเที่ยวที่ภูกระดึงต้องไม่พลาดที่จะถ่ายรูปกับป้ายของทาง อช.ภูกระดึงที่เขียนเอาไว้ว่า "ครั้งหนึ่งในชีวิต ข้าคือผู้พิชิตภูกระดึง" เพราะนอกจากจะได้ชื่นชมความงดงาม ของพืชพันธุ์ ป่าไม้ ดอกไม้ อากาศที่หนาวเย็นจนถึงขั้นหนาวเหน็บ แล้วยังมีความท้าทาย การได้แสดงออกถึงความมีพละกำลัง ในการต่อสู้กับแรงโน้มถ่วงของโลก เพื่อสัมผัสกับค่า g ที่แตกต่าง (standard acceleration of gravity g ~ 9.8 m/s^2 ) 

ปัจจุบันอาหารและที่พักไม่ลำบากเหมือนสมัยก่อน เพราะระหว่างทาง ทุกๆ 1-2 กิโลเมตร จะมีซุ้มบริการอาหารและเครื่องดื่มตลอดเส้นทาง ครั้งแรกที่มีโอกาสสัมผัสบรรยากาศแสนประทับใจเมื่อประมาณ 20 ปีก่อนสมัยเรียนมัธยมปลาย เป็นทางเดินทางท่องเที่ยวกับเพื่อนๆ กลุ่มใหญ่ครั้งสุดท้ายก่อนแยกย้ายกันไปเรียนต่อและทำงานกัน สมัยนั้นยังต้องขอตังค์พ่อแม่อยู่ ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด สมัยที่ข้าวในโรงอาหารที่โรงเรียนจานละ 5 บาท แต่อาหารตามสั่งบนภูกระดึงจานละ 25 บาท รู้สึกว่ามันแพ้งแพงมาก ฉะนั้น อาหารหลักๆ ของกลุ่มเราคือ มาม่า และปลากระป๋อง แต่ก็ยังมิวายต้องสรรหาเครื่องดื่มสำหรับโอกาสดีๆอย่างนี้ เน้นๆเลยครับต้องเป็น สุราขาว ที่สำคัญคือมันมีน้ำหนักมาก แต่พวกเราทุกคนก็ยินดีที่จะแบกมันขึ้นไปด้วยตัวเอง เหอะๆๆๆพวกเราไม่ประสงค์ที่จะใช้บริการของลูกหาบไม่ใช่ไม่อยากสนับสนุนอาชีพนี้หรอกนะครับเป็นเหตุผลทางด้านเศรษฐกิจมากกว่าครับ หึหึหึ แม้ระหว่างทางจะมีร้านค้าบริการอาหารเครื่องดื่มอยู่บ้าง แต่ไม่มากเหมือนสมัยนี้ แต่พวกเราก็ไม่นิยมใช้บริการซักเท่าไหร่ เพราะเรามีมะขามป้อม ถือเป็นอาหารว่างตลอดเส้นทางของพวกเรานั่นเอง
 

พวกเราโชคดีมากๆที่มาเดินทางครั้งนั้นทาง อช. เปิดให้เข้าไปเที่ยวป่าปิดได้ ซึ่งเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์มากๆที่สุด เป็นแหล่งกำเนิดข้องต้นน้ำที่สำคัญของแม่น้ำในภาคอีสาน มีน้ำตกที่สูงและสวยงามมากๆ และต้นเมย์เปิลที่มีใบสีแดงสด ร่วงหล่นเต็มพื้น บ้างก็ไหลมาตามธารน้ำตก แต่การเดินทางเข้าป่าปิดต้องใช้เวลาหนึ่งวันเต็ม และต้องมีเจ้าหน้าที่ป่าไม้นำทาง โดยเฉพาะพวกเราเป็นกลุ่มแรกๆที่เข้าไป ถ้าไม่สังเกตเส้นทางให้ดีอาจหลงทางได้ง่ายๆ  
 

ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามยังมีมิตรภาพที่สวยงามไม่แพ้กัน เมื่อเราได้ทำความรู้จักกับกลุ่มเต็นท์ข้างๆ เป็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน มาจากจังหวัดบุรีรัมย์ ตอนกลางวันต่างกลุ่มต่างแยกย้ายกันไปเที่ยว ตกเย็นเพื่อนกลุ่มนี้ยังไม่กลับมา พวกเค้ามากกันแค่ 4 คน บรรยากาศเริ่มมืดลงอากาศก็เริ่มเย็นอย่างรวดเร็ว กระทั่งนักท่องเที่ยวทยอยเข้าบริเวณที่พักจนหมด เพื่อนในกลุ่มไปแจ้งเจ้าหน้าที่ว่า มีเพื่อนเรายังไม่กลับ เจ้าหน้าที่จึงประกาศออกเครื่องขยายเสียง ให้นักท่องเที่ยวทุกคนรีบกลับเข้าบริเวณที่พัก พวกเรารอพักใหญ่ ยังไร้ร่องรอย สงสัยจะหลงทาง พวกเรา 5 คนจึงขออนุญาตเจ้าหน้าที่ออกตามหา นำโดยต้อย-BM ออกเดินทางไปได้ประมาณ 1 ชั่วโมงก็เจอกับเพื่อนๆกลุ่มนั้นกำลังเสียขวัญกันที่เดียว สอบถามได้ความว่าดูพระอาทิตย์ตกดินจนเพลิน คนอื่นๆเค้ากลับกันหมด แล้วตัวเองไม่ได้เตรียมไฟฉายไปด้วย ทำให้ตอนเดินทางกลับช้ามากเพราะสองข้างทางมืดสนิท ทั้งกลัวทั้งหิว พอเจอพวกเราออกตามหา ถึงกับร้องให้เลยที่เดียว  

คืนสุดท้ายพวกเราสังสรรค์รอบกองไฟกันจนสว่างคาตา ไม่น่าเชื่อว่าเพื่อนๆที่นั่งเรียนด้วยกันทุกวันจะมีเรื่องคุยกันได้ถึงเช้า เหอะๆๆๆ แต่คืนนั้นมีชาวต่างชาติสองคนมาร่วมสนุก ร้องเพลงกะพวกเรา ทั้ง2คนเป็นชาวยุโรปจำไม่ได้ว่าชาติไหนแต่ที่แปลกคือเค้าพูดภาษาอังกฤษ ไม่เก่งเมื่อเทียบกับพวกเราที่ พูดไม่ได้เลยเหอะๆๆๆๆ เค้าร่วมกิน ดื่ม ร้องเพลง หัวเราะ ยิ้ม เต้น กับพวกเรา กว่าจะรู้ว่าเค้าหลงทางมาก็เช้าแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ
 
ส่วนครั้งต่อมาเป็นการไปเยือนแบบเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเพื่อนร่วมงานสาวสวยสองคน(นกกะก้อย)อยากไปเที่ยวมากๆ แต่ไม่กล้าไปตามลำพัง จึงต้องการหนุ่มหล่อนิสัยดีที่มีร่างกายแข็งแรง เป็นเพื่อนร่วมทาง จากคุณสมบัติ 2-3 ข้อนี้เองที่ทำให้ปฏิเสธเพื่อนไม่ได้ จึงจำต้องไปเยือนภูกระดึงอีกสักครั้ง จำวันที่ไม่ได้น่าจะราวๆปลายปี 2543 ช่วงนั้นนักท่องเที่ยวยังไม่เยอะมาก ตลอดเส้นทางเดินโล่งๆ สบายตาเดินได้เรื่อยๆ อยากพักเมื่อไหร่ก็พักได้ไม่รีบร้อน เพื่อนเดินทางที่แท้จริงกลับเป็นบรั่นดีขวดเล็กๆ ที่พกติดตัวตลอดเวลานั่นเอง เหอะๆๆๆ  
 
สิ่งที่ต้องทำเหมือนเดิมทุกครั้งก็คือ เดินๆๆๆๆ ไปเรื่อยๆ ดูพระอาทิตย์ตกดิน แล้วก็เดินกลับมา ทำกับข้าวกินกันที่เต็นท์ แล้วก็ดื่มๆ คุยๆ หนาวๆ นอนดึกๆ แล้วก็ต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 เดินไปยังหน้าผาใช้เวลาเดินกันเป็นชั่วโมง นั่งรออีกซักครึ่งชั่วโมง เพื่อรอถ่ายรูปตอนที่พระอาทิตย์ขึ้นมาเหนือทะเลหมอก ซึ่งใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที หึหึหึ และที่สำคัญคนเยอะมากๆ รูปภาพส่วนใหญ่จะมีแต่หัวคน หุหุหุ ส่วนคนที่ถ่ายรูปออกมาสวยๆ ต้องมีความพยายามสูงมากๆ ต้องตื่นไปจองทำเลดีๆตั้งแต่ตี 3 แล้วยังต้องอาศัยโอกาสเหมาะๆด้วยนะ

 

ที่น้ำตกใกล้ๆที่พักทำให้เรารู้จักเพื่อนใหม่ 1 หนุ่ม 3 สาว น.ศ.จากมหาลัยธรรมศาสตร์ น้องๆเล่าให้เราฟังว่าระหว่างทางไปน้ำตกใกล้ๆ มีร่องรอยของช้างป่าที่ออกมาขุดดิน หักกิ่งไม้รอบๆบริเวณนั้น แถมยังถ่ายมูลทิ้งไว้ ยังสดๆอยู่เลยแล้ว น้องๆก็อาสาพาไปดูให้เห็นกับตา ขี้ช้างยังใหม่ๆสดๆ ต้นไม้กิ่งไม้ดูเหมือนพึ่งจะถูกหักทำลายไปไม่กี่นาทีนี่เอง ระหว่างนั้นน้องคนนึงก็เล่าให้ฟังว่า ถ้าเรามีเหตุให้ต้องจ๊ะเอ๋เข้ากับสัตว์ป่าโดยเฉพาะช้างเนี้ย ไม่ต้องตกใจ ห้ามวิ่งเด็ดขาดเพราะจะทำให้ช้างตกใจทำร้ายเราได้ ให้เราตั้งสติให้ดีแล้วค่อยๆเดินแยกย้ายจากกันไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พูดยังไม่ทันขาดคำก็มีเสียงช้างร้อง แปร๊นนนๆๆๆๆดังลั่นออกมาจากพุ่มไม้ใกล้ๆ หันกลับมาอีกทีน้องที่แนะนำเราเมื่อกี้วิ่งนำหน้าไปไกลแล้วอ่ะ และจะอยู่ทำไมล่ะ วิ่งสิพวกเรา หุหุหุหุหุ

 

ตอนที่กลับจากดูพระอาทิตย์ตกดิน เราเลือกที่จะไม่กลับที่พักเส้นทางเดียวกับคนกลุ่มใหญ่ ด้วยความที่เคยมาที่นี่แล้ว และก็มั่นใจในทักษะการเดินป่าของตัวเอง จึงชวนเพื่อสาวทั้งสองเดินกลับอีกทาง เป็นทางที่เรายังไม่เคยไป จากแผนที่ดูจะใกล้กว่าเส้นทางอื่นๆด้วยซ้ำ เพื่อนทั้งสองก็เห็นด้วยประมาณว่าเอาไงก็ว่าตามกัน คนที่ร้านค้าบอกให้ระวังหน่อยเพราะสองข้างทางมีธารน้ำเล็กๆ กลางคืนสัตว์ชอบลงมากินน้ำ ถ้ามืดมากให้ทำเสียงดังๆเข้าไว้ สัตว์ป่าจะได้ไม่กล้าเข้าใกล้ แล้วเราก็ออกเดินทาง โดยในใจหวังลึกๆ ว่าจะมีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ ตามเรามา แต่เราคาดผิดครับ ทำให้ป่าทั้งป่า มีแต่เรา 3 คน กับไฟฉายอีก 2 กระบอก เป็นธรรมดาของยอดดอย ที่พอพระอาทิตย์ตกดินปุ๊บก็จะมืดสนิทปั๊บทันที เดินมาได้ประมาณ ครึ่งชั่วโมงเสียงสัตว์นานาชนิดก็เริ่มส่งเสียงระงม ทำยังไงดี กลับทางเก่าก็ไม่ได้ มีทางเดียวคือ ต้องไปต่อไปให้ถึง
 

พวกเราพยายามพุดคุยกันให้เสียงดังเข้าไว้ ซักพักก็เริ่มหมดอารมณ์คุย ทั้งกลัวทั้งหิว เพลงกี่เพลงที่นึกได้ขุดขึ้นมา แหกปากร้องให้เสียงดังเข้าไว้ ทางเริ่มแคบลง ลักษณะต้นไม้เริ่มแปลกตา ข้างทางมีขี้ช้างด้วย ชักใจไม่ดีแต่ไม่มีใครกล้าปริปาก กว่า 2 ชั่วโมงกระทั่งเราหลุดออกมาถึงเส้นทางสายหลักได้ ค่อยโล่งอก เริ่มยิ้มออก เริ่มพูดคุยหัวเราะกันได้อีกครั้ง เหอะๆๆๆ กว่าจะถึงที่พัก 3 ทุ่มกว่าช้ากว่าทุกกลุ่มเลย ทั้งที่เรามาทางลัดแท้ๆๆ หึหึหึหึ

 
ส่วนการเดินทางครั้งล่าสุด ก็ด้วยเหตุผลประมาณครั้งที่สอง เมื่อบรรดาลุงๆป้าๆ(ลุงแว่น ลุงบอย ป้าปุ๋ย และป้าเพชร) ต้องการผู้นำทางที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญเส้นทางเป็นอย่างดี หึหึหึ ก็เลยมีความจำเป็นต้องไปพิชิตยอดภูอีกสักครั้งทั้งๆที่สังขารเริ่มร่วงโรยราไปตามอายุไข ครั้งนี้เป็นการเค้าดาวน์ปีใหม่ พ.ศ. 2547 พอดี ทำให้ปริมาณนักท่องเที่ยวเยอะมากๆ ครั้งนี้ขับรถไปเองเพราะรถ บขส. เต็มทุกเที่ยว เราออกเดินทางจากชลบุรีประมาณ 4 ทุ่ม ขับไปเรื่อยๆ จอดพักบ้าง ถึงที่ทำการ อช.ภูกระดึงก็ยังมืดอยู่เลย เจ้าหน้าที่ยังไม่อนุญาตให้เดินขึ้นภูเพราะเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย พวกเรานั่งๆนอนๆรอจนกระทั่งใกล้รุ่ง เจ้าหน้าก็เริ่มเปิดเส้นทางให้ได้สนุกสนานกับการต้านแรงโน้มถ่วงกันอีกครั้ง แม้ระหว่างเส้นทางเดินจะมีที่พักให้บริการอาหารและเครื่องดื่มตลอดเส้นทาง แต่ก็ดูเหมือนว่าแทบทุกร้านรวงจะมีลูกค้าเนืองแน่นไปหมด เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเรากำลังจะเจอกับอะไรบนยอดภูกระดึง

 
ทั้งร้านอาหาร สถานที่กางเต็นท์ ห้องน้ำห้องส้วม คงจะคิวยาวเหยียดกว่าครั้งก่อนๆเป็นแน่ รวมถึงการเข้าคิวถ่ายรูปตามหน้าผายอดนิยมต่างๆ เหอะๆๆๆ ภาพถ่ายที่ออกมาคงจะมีแต่หัวคนเป็นฉากหลัง แทนที่จะเป็นภาพวิวทิวทัศน์แน่ๆ แล้วก็ไม่ทำให้เราผิดหวังจริงๆครับ เพราะลานโล่งๆ กว้างๆ สุดลูกหูลูกตาหน้าที่ทำการป่าไม้ บัดนี้เต็มไปด้วยเต็นท์นักท่องเที่ยวหลากสีสัน จนเกือบจะเต็มลานอยู่แล้ว นี่ยังไม่รวมพวกที่กำลังหลั่งไหลกันขึ้นมาอีกล่ะ หึหึหึ ถ้าใครชอบความสนุกสนานแบบวุ่นวายๆไม่เหงาละก็อย่าได้พลาดโอกาสแบบนี้เชียวครับ แต่ถ้าใครรับไม่ได้ที่ต้องไปยืนเข้าคิวยาวเหยียดหน้าห้องส้วมล่ะก็ ควรหลีกเลี่ยงครับ  
 
แล้วบรรยากาศเดิมๆก็กลับมาอีกครั้ง คือเดินๆๆๆๆๆ สัมผัสอากาศหนาวเหน็บ ชื่นชมความงามของภูมิทัศน์ แล้วก็ถ่ายรูปเก็บเอาไว้ แต่ครั้งนี้เรามาช้ากว่าครั้งก่อนๆ ทุ่งหญ้าที่เคนเห็นเป็นสีเขียว ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองแล้ว สองข้างทางที่เคยมีน้ำใสๆในลำธารเล็กๆตอนนี้เหือดแห้งไปจนหมดแล้ว ทางเดินระหว่างสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆถูกเยียบย่ำจนมองเห็นเส้นทางได้อย่างชัดเจนแบบไม่ต้องกลัวหลง และที่สำคัญการมาครั้งนี้เจ้าหน้าที่ก็ไม่อนุญาตให้เข้าป่าปิดอีกแล้ว ด้วยเหตุผลที่ป่าเสื่อมโทรมมาก จากจำนวนของนักท่องเที่ยวที่มากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงปริมาณขยะที่หลุดลอดจากคนที่ขาดจิตสำนึก ทำให้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศวิทยาอย่างรุนแรงจนเจ้าหน้าที่ต้องมีนโยบายปิดป่าเพื่อพื้นฟูสภาพแวดล้อมเป็นเวลาหลายปีแล้ว
 
แต่ก็ยังพอมีใบเมย์เปิลให้ได้ดูชมแถวๆบริเวณน้ำตกใกล้ๆที่พัก ซึ่งถ้ามาเร็วกว่านี้สัก 1 เดือนเราคงได้เล่นน้ำตกใสๆ เย็นๆเหมือนเมื่อครั้งก่อนๆ แต่คราวนี้เหลือให้เห็นเพียงโขดหินและร่องรอยของน้ำตกเท่านั้น ถ้าอยากเล่นน้ำตกเย็นๆชื่นใจคงต้องเดินไปไกลอีกหน่อย นั่นก็หมายความว่าเราต้องเพิ่มเวลาที่นี่อีกซัก 1-2 คืน 
 
เราพยายามหลีกเลี่ยงฝูงคนขนาดใหญ่ ซึ่งทำให้เราพลาดจุดชมวิวที่สำคัญไปหลายจุด แต่ถึงยังไงเราก็ไม่พลาด ที่จะต้องตื่นแต่เช้ามืด เดินฝ่าความมืดที่หนาวเย็นและดงฝุ่นจากการเยียบย่ำพื้นดินทรายที่มองไม่เห็น ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นจากทะเลหมอกที่หน้า ผานกแอ่น แล้วเราก็ไม่พลาดที่จะไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ ผาหล่มสัก แล้วก็ต้องเดินฝ่าความมืดและหนาวเย็นกลับที่พักตอนกลางคืน
 

แต่ทุกๆกิจกรรมทั้งที่แสนลำบาก, ทรมานและปวดเมื่อยระบมไปทั่วร่างกาย นั่นแหล่ะที่ทำให้การมาภูกระดึงทุกครั้ง มีความหมายที่ครบถ้วนและสมบูรณ์แบบ อย่างที่ต้องเก็บเอาไว้ในความทรงจำ และเล่าอวดใครต่อใครที่ยังไม่เคยมาเยือนว่า

ครั้งหนึ่งในชีวิต ข้าคือผู้พิชิตภูกระดึง

(รินทร์ ปริญญา ทองประภา)

หมายเลขบันทึก: 208542เขียนเมื่อ 14 กันยายน 2008 02:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:33 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (15)

สวัสดีค่ะ

  • อ่านจนจุใจ  เหมือนกับได้ไปด้วย
  • ครูอ้อยยังไม่เคยไป  แต่มีคนมาชวนไปหลายครั้งค่ะ
  • จนอายุปูนนี้  จะได้ไปไหมนี่  ได้แต่อ่านจากบันทึกของน้องๆ  ก็เหมือนได้ไปแล้ว
  • ขออนุญาตเปลี่ยนเสียงหัวเราะของน้องเป็น หุหุหุหุ  ได้ไหมค่ะ.(หวาดระแวง)  อิอิอิ

ปล.บันทึกนี้มีค่ามาก  ไปตั้งสามครั้ง 

ขอบคุณค่ะ

เคยไปนานมาแล้วค่ะ ตั้งแต่เป็นนักศึกษาปี 1

ยังจำวันเวลาที่ประทับใจได้ดีค่ะ ว่าเหนื่อยมาก แต่ก็คุ้มค่ะ ชีวิตหนึ่งได้ขึ้นไป เพราะได้สัมผัสบรรยากาศที่งดงาม พระอาทิตย์ขึ้นและตก ต้องไปดู ถ่ายภาพมาให้มากๆเพราะลงมาแล้ว เราจะจำได้ติดตา โดยเฉพาะบริเวณต้นสนที่ทอดกิ่งลงไปหน้าผา ไม่ทราบว่ายังมีไหมคะ

เคยไปถึงที่ทำการอุธยาน ทดลองเดินขึ้นไปได้ไม่ไกล ไปต่อไม่ได้ เหนื่อยมาก หายใจไม่ทัน หอบเหนื่อย พ่อกับลูก เดินไปได้ไกลมาก เขารู้ว่าแม่ขึ้นไปไม่ได้แน่นอน

อ่านบันทึกกับฟังเรื่องเล่าจากคนที่เคยไปแล้ว มีความสุขแล้วคะ

โหหหหหหหห ๆๆๆ ลุงแร้วงี้จะเหลือไรธรรมชาติงาม ๆ ไว้ให้พวกหนูดูกันมั้ยอะ ??

ยังไงก็ยังมุ่งมั่นตามรอยเท้านักท่องภูฯรุ่นใหญ่ อิอิ

ปล.รูปตอนม.ปลายนี่ดูไม่ออกเลยว่าลุงรินทร์คนไหนอะ อิอิ

หวัดดีค่ะ...คุณรินทร์

ยังไม่เคยไปซักที

สวยค่ะ...

ไปแค่ภูเรือก็หนาวแล้ว...

       ^____^

เอารูปอดีตมาลง อิอิ เขินว่ะ

   เป็นความงดงามทีีไม่ต้องสร้างเสริมเติมแต่ง นี่ละครับเสน่ห์ของธรรมชาติ

                      อยากไปเที่ยวครับ

                                 รพี

 

PPPPPไม่มีรูป

 

ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาทักทายกันครับ

  • อายุอาจไม่ใช่อุปสรรคก็ได้ครับครูอ้อย
  • หน้าผาที่มีกิ่งสนยื่นๆออกไปเรียกว่า ผาหล่มสักครับ เป็นหนึงในไฮไลท์ เลยครับ
  • คุณประกายยังงัยก็ได้พยายามแล้วครับ
  • ครูwindy น่าจะลองซักครั้งนะครับ
  • ป้าปุ๋ยไม่ต้องเขิลลลล
  • จริงอย่างคุณรพีว่า เสน่ห์ของธรรมชาติไม่ต้องเติมแต่งครับ
  • หลานๆ ต้องไปสัมผัสดัวยตัวเองนะแล้วจะประทับใจ

เค้าว่ากันว่าคู่รักหลายคู่เคยใช้เส้นทางนี้พิสูจน์รักแท้มาแล้ว

  • ที่รักกันยืนยาวก็มาก
  • ที่เลิกลากันไปก็เยอะครับ

ไม่ลองไม่รู้จริงๆ หุหุหุ (ไม่กล้าหัวเราะ เหอะๆๆๆๆ กลัวคุณครูอ้อยว่าเอา อิอิอิ)

  

...  มาดูภาพแล้วหวนคิดถึง เส้นทางหนึ่งแห่งความทรงจำเมื่อ 2539

ปฐมบทของนักเดินทาง และ นักเดินป่า ... ล้วนต้องประทับใจ

...  กำลังอยากจะไปเยือนอีกสักครั้ง ทั้งๆ ที่ครั้งแรก ก็คิดว่า

คงต้องเข็ดแล้วจริงๆ ... หากจะไปเยือนภูกระดึงเป็นครั้ง 2 3 ต้องมี ...

แรงบันดาลใจ มากๆ เลยนะคะ ... ได้ข่าวว่า เดี๋ยวนี้เส้นทางมี ลูกเล่นใหม่ๆ เช่น จักรยาน ด้วย? คะ ...

.... คิดถึง ซำแฮก อยากไปแวะกินส้มตำ และเฉาก๊วย ที่ซำต่างๆ  อยากไปแตะเมฆ ที่ผาเหยียบเมฆอีกคราครั้ง ... อยากไปนั่งทำมิวสิค ที่ผาหล่มสัก  และอยากไปจินตนาการที่ สระอโนดาต ...  ว้าว

และ อยากเข้าป่าปิด  ... แค่คิด ก็  ...  มีความสุขแล้วนะคะ 5  5 ...

...  ขอบคุณที่ทำให้ ได้รำลึกความหลัง ค่ะ ...

 

P

คุณ poo ครับ

 

ทั้ง  ซำแฮก, ผาเหยียบเมฆ, ผาหล่มสัก, สระอโนดาต แล้วก็ ป่าปิด นั่นก็คงจะมากเพียงพอแล้วมั่งครับ สำหรับ แรงบันดาลใจ ของการไปเยือนภูกระดึง ครั้งต่อๆไป อิอิอิ

ข่าวสารสำหรับนักเดินป่ามืออาชีพ : มีเส้นทางขึ้นภูกระดึงทางผาหล่มสัก และทางป่าปิดได้ด้วยนะครับ แต่ต้องขออนุญาติเป็นรายๆไป หึหึ

สุดยอดครับ

ผมไปครั้งเดียวเอง

ครั้งหน้าจะพาลูกไปด้วย รอพวกเธอโตก่อน

บันทึกไว้เหมือนกันนะที่ Blog ผม

<a href ='http://gotoknow.org/blog/preephati/215926' target='_blank'>http://gotoknow.org/blog/preephati/215926</a>

ยังไม่เคยไปถึงสักที ภูกระดึง

แต่ ...เคยไปเดินสำรวจกล้วยไม้ ที่ภูเรือ

ก้อเดินอยู่ 2 วัน เหนื่อยนะ แต่เมื่อเห็นกล้วยไม้แล้ว..

..คุ้ม..หายเหนื่อยเลย

หากมีโอกาส..ก็จะไปให้ถึงภูกระดึง

ขอบคุณนะคะ

จะไปอ่ะ แต่หาเพื่อนบ่ได้

กะว่าจะไปหาเพื่อนเอาดาบหน้า มิรู้ชะตากรรม เอาวะ อยู่เมืองไทย พูดภาษาไทย จะกลัวอะไรจริงมะ ถ้าใครกำลังหาเพื่อนไป ภ฿กระดึง 19-22 ธค. 51 บอกนะ จะดีใจเป็นอย่างยิ่ง

แวะมาดูผู้กล้า ที่พิชิตภูกระดึงถึง 3 ครั้ง

ข้าน้อยขอคารวะจริงๆ

จุ๊ๆ อย่าเอ็ดไปนะ พี่ยังไม่มีโอกาสขึ้นไปเลยสักครั้ง

แบบว่า จะขึ้นตอนนี้ก็เกรงใจสังขาร ขอเวลาฟิตตัวเองก่อน หรือจะรอกระเช้าดี 555

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท