ห่างหายไปหลายวัน ไม่ได้เข้ามาเขียน blog เนื่องจากมีภาระงานมาก เพิ่งอบรมจริยธรรมนักเรียนเสร็จ วันนี้มีโอกาส ก็เลยนำเอาเรื่องในพระไตรปิฎกเรื่องคนตาบอดคลำช้างมาเสนอ เพื่อเป็นคติธรรมนำชีวิตว่าคนที่มองอะไรในแง่มุมเดียว ย่อมทะเลาะกันดุจคนตาบอดคลำช้าง เห็นได้จากสังคมบ้านเราเมืองเราในปัจจุบัน
เรื่องนี้มาจากคัมภีร์ขุททกนิกาย อุทาน พระไตรปิฎกเล่มที่ 25 ข้อ 138 หน้า 182 มีข้อความที่น่าสนใจ สรุปดังนี้
ในกรุงสาวัตถีนี้ เคยมีพระราชาองค์หนึ่งโปรดความสนุกแปลก ๆ ตรัสสั่งให้ราชบุรุษไปนำคนตาบอดแต่กำเนิดทั้งหมดมาประชุมกัน ทรงให้นำช้างมาเชือกหนึ่งให้คนตาบอดคลำ ราชบุรุษแบ่งคนตาบอดเป็นพวก ๆ แล้วจัดการให้คลำอวัยวะต่าง ๆ ของช้าง คือ ศีรษะ หู งา งวง ตัว เท้า หลัง โคนหาง ปลายหาง แล้วกล่าวว่า ช้างมีรูปร่างอย่างนี้
ราชบุรุษจัดการให้คนตาบอดคลำช้างเสร็จแล้ว เข้าเฝ้าพระราชา พระราชาเสด็จไปหาคนตาบอด ตรัสว่า ท่านได้คลำช้างแล้ว ช้างมีรูปร่างเหมือนอะไร คนตาบอดที่คลำหัวช้างกราบทูลว่า ช้างรูปร่างเหมือนหม้อ ที่คลำหูช้างทูลว่า เหมือนกระด้ง ที่คลำงาช้างกราบทูลว่า เหมือนลูกศร ที่คลำงวงช้างกราบทูลว่าเหมือนแขนนาง ที่คลำตัวช้างกราบทูลว่า เหมือนฉางข้าว ที่คลำเท้าช้างกราบทูลว่าเหมือนเสา ที่คลำหลังช้างกราบทูลว่าเหมือนแผ่นหิน ที่คลำโคนหางช้างกราบทูลว่าเหมือนสาก ที่คลำปลายหางกราบทูลว่าเหมือนไม้กวาด แต่ละคนพูดว่าช้างรูปร่างอย่างนี้ ไม่ใช่รูปร่างอย่างนั้น ทะเลาะชกต่อยกันและกัน พระราชาทรงพอพระทัย
พระพุทธเจ้าตรัสต่อไปว่า ในทำนองเดียวกันพวกปริพาชกผู้นับถือศาสนาอื่น เป็นคนตาบอด ไม่มีตา ไม่รู้จักประโยชน์และสิ่งที่มิใช่ประโยชน์ ไม่รู้จักธรรมและสิ่งที่มิใช่ธรรม เมื่อไม่รู้อย่างนี้ก็ทะเลาะวิวาท กล่าวหากันว่า ธรรมเป็นอย่างนี้ ธรรมไม่ได้เป็นอย่างนั้น
พระพุทธเจ้าทรงเปล่งอุทานว่า สมณพราหมณ์พวกหนึ่งยืนยันว่าเป็นอย่างนี้ แต่คนที่มองด้านเดียวย่อมโต้แย้งความคิดเห็นนั้น
กราบนมัสการพระคุณเจ้า
กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ
จะเข้ามาอ่านอีกนะเจ้าคะ
ขอบคุณมากๆคร้า
ได้ทั้งความรู้
และก้อได้ส่งงานพระอาจารย์ด้วย
ขอบคุนคร้า