"วิกรม กรมดิษฐ์"


"วิกรม กรมดิษฐ์" วิพากษ์ลงทุนไทย (1) ไทยคว้าเงินทุนทั่วโลกได้แค่ 1%

รายงานพิเศษ   โดย จรัญ ยั่งยืน  ประชาชาติธุรกิจ หน้า 20  วันที่ 19 กรกฎาคม 2547  ปีที่ 27 ฉบับที่ 3602 (2802)

ชื่อของ "วิกรม กรมดิษฐ์" นั้นย่อมคุ้นหูอย่างยิ่งในวงการเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม

เพราะเขาทุ่มเทปลุกปั้นนิคมอุตสาหกรรมเครืออมตะจนฟูเพื่องมากในยุคนี้

แต่ปัจจุบัน "วิกรม" ในวัยต้นๆ 50 ตัดสินวางมือการบริหารธุรกิจไปเกือบหมด รั้งเพียงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และประธานมูลนิธิอมตะ อันมีจุดมุ่งหมายเพื่อจัดตั้งเมืองสมบูรณ์แบบ (perfect city) เท่านั้น

ส่วนงานด้านบริหารอื่นๆ ของเครือนิคมอมตะ "วิกรม" ได้มอบหมายให้น้องๆ ร่วมบิดาซึ่งมีถึง 20 กว่าคนไปดำเนินการบริหารกันเอง

จากประสบการณ์ที่สั่งสมตั้งแต่วัยละอ่อนจนถึงขั้นปรมาจารย์ ทำให้ต้องยอมรับว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญในเรื่องการลงทุน

"ประชาชาติธุรกิจ" ได้มีโอกาสไปเยี่ยมบ้านใหม่อันเป็นบ้านทรงไทยบนยอดตึกอันน่ายล

และจากการพบปะพูดคุยร่วม 2 ชั่วโมง จึงขอหยิบยกเรื่องการลงทุน ซึ่ง"วิกรม"แสดงความเห็นไว้อย่างน่าสนใจมานำเสนอต่อท่านผู้อ่าน

"นักลงทุนต่างประเทศ (FDI) ทั่วโลกมีเงินลงทุนกว่า 700,000 ล้านดอลลาร์ แต่มาลงทุนในเมืองไทยยังไม่ถึง 1% ส่วนอีก 99% นั้นลอยอยู่ในตลาดทั่วโลก เขาลงทุนที่จีนเป็นอันดับหนึ่ง ปี 2546 มีผู้ไปลงทุนถึง 53,000 ล้านดอลลาร์"

"วิกรม" ฉายภาพถึงเม็ดเงินที่มีการลงทุนกันทั่วโลกในทุกวันนี้

แต่มีคนมาลงทุนในเมืองไทยประมาณ 1% นั้นเป็นเรื่องรถยนต์เสียส่วนใหญ่ การผลิตรถยนต์ทั้งโลกนั้นผลิตปีละ 60 ล้านคัน ผลิตในเมืองไทยแค่ 7 แสนคันก็ถือว่าพีกที่สุดแล้ว หรือประมาณ 1.2% ของกำลังผลิตทั่วโลกโดยเฉพาะมิตซูบิชิตั้งแต่เข้ามาผลิตรถในเมืองไทยนั้นส่งออกไปแล้ว 6 แสนกว่าคัน ใน 130 กว่าประเทศ นี่แสดงว่าตลาดมันใหญ่

"วันนี้รถที่เข้าสิงคโปร์ 3 คันเป็นจากเมืองไทย 1 คัน"

รถบีเอ็มดับเบิลยูที่ผลิตในนิคมอุตสาหกรรม อมตะนครเป็นดัชนีชี้ให้เห็นว่าคุณภาพคนที่ทำรถยนต์ในประเทศไทยนั้นไปถึงระดับโลกแล้ว เพราะผลิตรถซีรีส์ 7 ที่ประกอบที่เมืองไทยนั้นคุณภาพใกล้เคียงกับรถที่ประกอบในเยอรมนี ซึ่งเป็นซีรีส์ที่แพงที่สุดของบีเอ็มฯ

ส่วนมอเตอร์ไซค์นั้นเราก็ผลิตมากมายมหาศาล

ทุกวันนี้ประเทศไทยยังมีพื้นที่ที่เหลือ (room) ที่จะไปทำอะไรอีกมาก

"FDI" เหลือตั้งมากแต่ทำไมอีก 99% นั้นไม่มาลงเมืองไทย ?

"เพราะบีโอไอการให้ความสะดวกแก่นักลงทุนต่างประเทศนั้นประเทศไทยยังไม่ได้แข่งขันเท่าที่ควร"

ทำไมสิงคโปร์จึงเป็นเซ็นเตอร์ของการเงินในภูมิภาค ?

เพราะสิงคโปร์นั้นเปิดเต็มที่มีบริษัทเกี่ยวกับการเงินในสิงคโปร์ 700 กว่าบริษัท มีบริษัทเกี่ยวกับการขนส่งสินค้า 8,000 บริษัท สิงคโปร์จึงกลายเป็นเมืองของสินค้าและการเงิน

ถามว่าแล้วทำไมเมืองไทยจึงไม่เป็น ?

เพราะเมืองไทยมีความคิดคอนเซอร์เวทีฟห้ามต่างชาติมาเดี๋ยวแบงก์ไทยจะเจ๊งทั้งที่เมืองไทยมีแบงก์ไม่กี่ครอบครัวที่รวย

เมืองไทยเป็นเมืองแบบว่าโปรเท็กต์ระบบผูก ขาด (protect monopoly) สิงคโปร์เขาไม่ รัฐบาลไทยในอดีตโปรเท็กต์ให้คน 10 ครอบครัวให้เขาทำแบงก์ แต่สิงคโปร์สนับสนุนเต็มที่ ให้สิทธิประโยชน์ ให้อะไรทุกอย่าง มันก็เลยกลายเป็นแหล่งการเงิน เดี๋ยวนี้ไปพม่า ไปอินเดีย ไปจีนก็ใช้เงินสิงคโปร์ได้ แต่ไม่รับเงินบาท

"วันนี้เรากลัวว่า FDI จะเข้ามายึดบ้านเรา เป็นความกลัวของคนที่อยู่ในระบบราชการ เป็นความกลัวของผู้ที่อยู่ในระบบการเงินที่เป็นคนไทย กลัวเพราะอะไร กลัวมีคนเก่งกว่า แต่คนที่ไม่เก่งอยู่แถวชายแดนเป็นล้านคนนี่ไม่เป็นไรเพราะพวกนี้มันไม่มาแข่งขันกับพวกตน ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด"

"วิกรม" เปรียบเทียบระหว่างไทยกับสิงคโปร์ ว่า ขนาดของสิงคโปร์แค่ 662 ตารางกิโลเมตร แต่กรุงเทพฯของเรา 1,500 ตารางกิโลเมตร ใหญ่กว่าเกือบ 3 เท่า แต่รายได้ต่อหัวของคนสิงคโปร์มากกว่าคนไทย 10 เท่า สิงคโปร์มีรายได้ต่อหัวต่อปี 20,000 เหรียญ แต่รายได้ของคนไทยยังไม่ถึง 2,000 เหรียญเลย

หรืออย่างความหนาแน่นของคนสิงคโปร์นั้น 1 ตารางกิโลเมตรมีถึง 6,000 คน แต่ของไทยแค่ 110 คน จะเห็นว่าไทยมีที่ดินมากกว่าสิงคโปร์มาก

ถามว่าสิงคโปร์มีอะไรดีกว่าเมืองไทยหรือ แม้ แต่น้ำกินยังต้องเอามาจากมาเลย์เลย

"หากย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่แล้วรายได้คนสิงคโปร์น้อยกว่าคนไทยอีก แต่การปกครองยุคนั้นของเราเอาแต่ทหารๆ มาเป็นนายกฯ ถามว่ามีทหารคนไหนที่ทำเซ็งลี้เก่งบ้าง แต่สิงคโปร์มีลี กวน ยู ที่มีหัวเซ็งลี้"

ทุกวันนี้คุณภาพชีวิตคนของสิงคโปร์ดีกว่าของเรามาก จากสนามบินแล้วเข้าไปในเมืองเต็มไปด้วยต้นไม้ ซึ่งแสดงว่าคนมีคุณภาพชีวิตที่ดี กินดีอยู่ดี คนแข็งแรง แต่คนไทยดูหน้าซีดๆ เหลืองๆ

"คนไทยเราหลอกตัวเองว่าดีกว่าที่อื่น เพราะคนรวยพูด ไม่ใช่คนจนพูด"

เวลานี้คนว่างงานในเมืองไทยมาก คนจนต้องไปทำมาหากินในต่างประเทศเป็นล้านคน อยู่ในอเมริกา 3-4 แสนคน เมื่อก่อนนี้มีคนไทยไปอยู่ไต้หวันถึง 2 แสนคน ตอนนี้ลดลงมาเหลือ 1.1 แสนคน และมีอีกไม่น้อยที่กระจายอยู่ในญี่ปุ่น มาเลเซีย และยุโรป

ในกลุ่มอาเซียนนั้นประเทศฟิลิปปินส์ถือว่าเผชิญปัญหาหนัก บ้านเมืองของเขาวันนี้กับเมื่อ 25 ปีที่แล้วแทบไม่ได้ต่างกันเลย มีคนออกไปทำงานต่างประเทศถึง 10 กว่าล้านคน เขามีคนมากและส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก จึงไม่มีการคุมกำเนิด ถ้าใครมาพูดเรื่องคุมกำเนิดก็ไม่ได้รับการเลือกตั้งแน่ บวกกับประธานาธิบดีที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นแม่บ้าน นักร้อง ดารา เวลาคุยกันมันคุยเรื่องยี่ห้อเสื้อ จึงเป็นปัญหาในการบริหารประเทศ

"สำหรับไทยต้องมามองว่าทำไมสิงคโปร์จึงมีงานทำ ก็เพราะมันเปิดประตูให้คนมาลงทุน ลี กวน ยู บอก เฮ้ยเข้ามาจะให้สิทธิประโยชน์ จะสร้างถนนให้ ต่างชาติที่อยากจะมาลงทุนก็เลยให้สิงคโปร์ เป็นฐาน"

นั่นคือสิ่งที่ "วิกรม" มองเห็นประโยชน์จากการเข้ามาลงทุนของต่างชาติ

แล้วจะชักจูงต่างชาติให้นำเม็ดเงินมาลง ทุนในเมืองไทยเพิ่มขึ้นได้อย่างไร ?

(โปรดอ่านต่อในฉบับหน้า)

ไม่เอาการเมือง !!

ชื่อของ "วิกรม กรมดิษฐ์" ผุดเป็นหัวข้อข่าวการเมืองอยู่เป็นระยะๆ ก่อนที่ "สุวัจน์ ลิปตพัลลภ" จะนำพรรคชาติพัฒนาไปซุกไออุ่นรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เขาก็มีชื่อเป็นรัฐมนตรีคนหนึ่งในสังกัดพรรคชาติพัฒนา

"เรื่องการเมืองนั้นผมไม่อยากเป็น ผมบอกมาตลอดว่าผมไม่สนใจเรื่องชื่อเสียง ไม่สนใจเรื่องอำนาจ ไม่สนใจเรื่องวาสนา ไม่สนใจเรื่องเหรียญตราหรือรางวัลอะไรทั้งนั้นในชีวิตผม"

ไม่สนใจเรื่องรัฐมนตรีช่วยว่าการหรือรัฐมนตรีว่าการอะไรทั้งนั้น แต่ที่พูดไปก็ต้องให้เกียรติสุวัจน์ ลิปตพัลลภ เขาอุตส่าห์มาเชิญไปเป็นเลขาธิการพรรค มาเชิญไปเป็นรัฐมนตรี ฉะนั้นก็ต้องลงอย่างไรให้มันดูดีกับเขา

"ผมได้บอกกับเขาไปตั้งแต่ทีแรกแล้วว่า ผมไม่สะดวกเพราะใจผมไม่เอา"

เมื่อถามว่าสนับสนุนพรรคการ เมืองไหน

"ผมสนับสนุนทุกคนแหละ ผมมีเพื่อน ดีก็ช่วยผมมีแต่พรรคพวกไม่มีพรรคการ เมือง"

ประชาชาติธุรกิจ หน้า 8


"วิกรม กรมดิษฐ์"วิพากษ์ลงทุนไทย (2) แนะกลยุทธ์ดูดเงินลงทุน FDI

รายงาน  จรัญ ยั่งยืน เรียบเรียง  ประชาชาติธุรกิจ หน้า 6  วันที่ 22 กรกฎาคม 2547  ปีที่ 28 ฉบับที่ 3602 (2802)

หากจะถามว่าแล้วไทยจะดึงเม็ดเงินลงทุน (FDI) ที่ลอยอยู่ทั่วโลกถึง 7 แสนล้านดอลลาร์ มาลงทุนในบ้านเราเพิ่มได้อย่างไร ?

"วิกรม กรมดิษฐ์" เห็นหนทางโดยเราต้องดำเนินการใน 4 ประการ

1.เรื่องสิทธิประโยชน์

ไทยต้องให้ผู้ลงทุนต่างชาติมากกว่าประเทศอื่นให้ เช่น วันนี้สิงคโปร์ให้เท่าไหร่ เราก็ต้องให้มากกว่า 30%

เมื่อต่างชาติเข้ามาบริษัทหนึ่ง ถามว่าเราได้อะไร ? "ที่ดินขายได้ สิ่งก่อสร้างขายได้ น้ำ ไฟ อาหาร วัตถุดิบขายได้"

"ถ้าวันนี้เราไม่ให้ต่างชาติเข้าสักคนหนึ่ง เราจะยิ่งกว่าพม่าอีก รถที่ใช้ก็เป็นรถอีแต๋น"

ผมเคยคุยกับนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ สมัยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง บอกท่านว่า สิทธิประโยชน์ของเรานั้นต้องให้มากกว่าที่สิงคโปร์กับมาเลเซียเขาให้ คุณธารินทร์บอกว่าเราก็ให้เหมือนๆ กับมาเลย์และสิงคโปร์แล้วทำไมต้องให้มากกว่า

"อันนี้ไม่ใช่หัวคิดเซ็งลี้ ไม่ได้เป็นพ่อค้า ถ้าใครมีความคิดแบบนี้บริษัทนั้นเจ๊ง ถ้าเป็นพ่อค้าต้องบอกว่า จะทำยังไงถึงจะได้งาน"

2.ต้องล้างกฎหมาย ตม.

เพราะเป็นอุปสรรคกับนักลงทุนต่างประเทศ แต่เราปล่อยให้พม่านุ่งโสร่ง ลาว เขมร และเนปาลเข้ามาเป็นล้านๆ คน ส่วนพวกต่างชาติที่มีเงินต่างชาติที่มีหัวต่างชาติที่มีเทคโนโลยีกลับเข้ามาไม่ได้

วันนี้คนไต้หวันไปอยู่ในเมืองจีนแล้วล้านกว่าคน มีเงินลงทุน 1 แสนกว่าล้านเหรียญในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี แต่เขามาลงในไทย 40 กว่าปีแค่ 1.1 หมื่นล้านเหรียญ (ประมาณ 5 แสนล้านบาท) ตอนนี้มีคนไต้หวันอยู่ 5 หมื่นคน เท่ากับว่ามีเงินลงทุนคนละ 10 ล้านบาทเท่านั้น

ถามว่าคนไต้หวันที่มาลงทุนในประเทศไทยมีเกเรสักกี่คน ?

"เราควรมาขีดใหม่ว่า ถ้าวันนี้เราต้องการเงินเข้ามาลงทุน 1 ล้านล้านบาท คนที่อยากจะมาถือสัญชาติไทย เช่น ไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์ ญี่ปุ่น หรืออเมริกา พวกนี้เขามาถึงเขาเห็นโอกาสเพราะพื้นที่ของเราใหญ่โต สมบูรณ์ เมื่อเขาเข้ามาก็จะขนเงินมาด้วย"

"โดยเรากำหนดว่าต้องจบคณะที่เราอยากได้ หรือคนหนึ่งต้องมีเงินอย่างน้อย 20 ล้านบาท กำหนดประเภทอุตสาหกรรมอย่างนี้จะต้องมีลง ทุนเท่านี้ อายุไม่เกินเท่านี้ ซึ่งเป็นสเป็กที่ชาวบ้านเขาทำมาตั้งชาติหนึ่งแล้ว ถ้าอยากให้ประเทศไทยโตต้องเปิดตรงนี้"

3.เรื่องการสร้างสาธารณูปโภคหรือความสะดวก

พวกต่างชาติตอนนี้เขาเข้ามา เขาไม่สะดวกเรื่องรถติดที่กรุงเทพฯ แต่ที่สิงคโปร์นั้นคนไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนสามารถต่อสายได้หมด เมืองไทยนั้นแค่ไปที่อีสเทิร์นซีบอร์ดน้ำยังไม่พอใช้เลย

"ผมเองก็ลงทุนน้ำไป 1,000 กว่าล้านสำหรับ อมตะนคร แต่ที่สิงคโปร์นั้นน้ำเขาไม่มีก็ต่อท่อมาจากมาเลย์"

4.ต้องปรับปรุงกฎหมาย

"กฎหมายเรามันไม่โปร่งใส มันลูบหน้าปะจมูก ทำให้คนไม่มั่นใจ"

ถ้าเราปรับปรุง 4 ข้อนี้ได้จะทำให้นักลงทุนเพิ่มขึ้นจาก 1% เพราะมีเงินลงทุนจากต่างประเทศลอยอยู่อีก 99% มันอาจจะกลายเป็น 2% ถ้าทำแบบนี้ได้รัฐบาลจะเพิ่มจีดีพีเป็น 10% หรือ 11% ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องยาก

"วันนี้ถ้าบอกว่าเงินของต่างชาติที่ต้องการเข้ามาลงทุนในประเทศไทยล้านล้านบาท ช่วงที่ผ่านมาเราแค่ 2 แสนกว่าล้านบาท ซึ่งเป็น 25% ของจีดีพี มันจะไปกระตุ้นเม็ดเงินในตลาดและทุกๆ อย่างได้"

ถามว่าทำไมการลงทุนของจีนจึงโตเป็นเบอร์หนึ่งตลอด มีเงินลงทุนเข้ามาตั้ง 53,000 ล้านดอลลาร์ ปีที่แล้วจีนได้ดุลการค้าจากอเมริกา 100,000 ล้านเหรียญ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ 400,000 ล้านเหรียญ ไต้หวันมีอีก 200,000 ล้านเหรียญ ฮ่องกงอีก 100,000 ล้านเหรียญ

"ผมไปเวียดนามปรากฏว่าผมเอาเงินไปทิ้งไว้มหาศาล เอากลับบ้านไม่ได้เช่นเดียวกัน หากต่างชาติมาลงทุนบ้านเราแล้วขนกลับไปได้หรือเปล่า ?"

"วันนี้เป็นปัญหาของรัฐบาลเรา แต่รัฐบาลเราไม่ใช้หัว คนบริหารไม่ได้วิชั่นเลย คิดดูถ้ามี FDI เหมือนประเทศจีนเข้ามา คนพวกนี้ก็ไม่ต้องออกไปทำงานที่ไหนหรอก"

เราไม่รู้จักตัวเอง!!!

มองเหมือนพวกม้า

"ประเด็นตอนนี้ คือ รัฐบาลก็ดี คนไทย ก็ดี ไม่รู้จักตัวตนของตัวเองว่าเรายืนอยู่ตรงไหน ก็เลยทำไม่ถูกว่าจะแก้ตรงไหน"

"คนไทยเวลาไปเวียดนามก็บอกว่า เฮ้ย... เวียดนามก็อีก 20 ปี พอไปเมืองจีนก็บอก เฮ้ย...อีก 20 ปี พอไปที่ไหนก็จะเอาสีลมไปเปรียบกับชาวบ้านเขาเสียเรื่อย คนไทยค่อนประเทศมองเหมือนพวกม้า มองเห็นแค่ตรงหน้า แต่ไม่มองไม่เห็นรอบข้าง"

ที่ว่าเราไม่รู้จักตัวเองนั้นมีอยู่ 3 ข้อ

1.ไม่รู้ว่าวันนี้เราอยู่ตรงไหนของโลก

ประเทศในโลกมีอยู่ 200 ประเทศ เราห่างไกลจากเขาเยอะเลย แต่คนไทยกำลังหลอกตัวเองว่า ไปที่ไหนแล้วเราดีกว่าคนอื่นอุดมสมบูรณ์นั่นก็ใช่เพราะเราไม่มีแผ่นดินไหว ไม่มีไต้ฝุ่น แล้วก็คิดว่าตัวเองดี คนไทยไม่รู้จักตัวเองที่แท้จริงว่าเราอยู่ตรงไหน

2.คนไทยไม่ค่อยยอมแก้ไขและชอบตำข้าวสารกรอกหม้อ

อย่างปัญหาเรื่องน้ำนี่เราตำข้าวสารกรอกหม้อมาตลอด ฝนตกทั้งประเทศไทย 8 แสนล้านคิวต่อปี เขื่อนทั้งหมดที่มีในประเทศไทยเก็บน้ำได้แค่ 10% เท่านั้นเอง

เวลาฝนตกน้ำท่วมก็เอากระสอบทรายมาเรียงๆ กัน ปีหน้าก็เอามาเรียงๆ อีก เพื่อให้น้ำมันผ่านๆ ไป พอจบหน้าน้ำเราก็ลืมกันแล้วซึ่งเขาเรียกว่า ตำข้าวสารกรอกหม้อ พอถึงหน้าแล้งชาวบ้านก็จะฆ่ากันเพื่อแย่งน้ำกันอีก

"ทำไมเราไม่เพิ่มการเก็บน้ำฝนที่ตกมา 100% เป็นสัก 30% ล่ะ"

3.การศึกษาเราห่วย

"มีแต่วอลุ่มแต่ไม่มีคุณภาพ เมื่อ 8-9 ปีที่แล้วยูนิโด้ให้เรตติ้งของไทยกับเวียดนามเท่ากัน ผมบอกบ้า คือคิดแบบคนไทยว่าไม่จริง เถียงใหญ่เลย แต่เมื่อไปดูการสอบแข่งขันโอลิมปิกนักเรียน เวียดนามได้เหรียญทองพวกเลข เคมี ฟิสิกส์กันเกลื่อนเลย แต่ประเทศไทยเพิ่งจะได้ ได้สักอันก็ดีใจกันยกใหญ่เลย"

ยกตัวอย่าง ไต้หวันเล็กกว่าประเทศไทย 13 เท่า พื้นที่ทำมาหากินเล็กกว่าประเทศไทย 20 เท่า แต่มีทุนสำรองระหว่างประเทศมากกว่าประเทศไทย 5 เท่า ขณะที่ประชากรน้อยกว่า เรา 3 เท่า พื้นที่ในประเทศก็มีแต่หินทั้งนั้น

มหาวิทยาลัยไต้หวันนั้น คนสอบเข้าได้เป็นเด็กอัจฉริยะแทบทั้งหมด เมื่อปีที่แล้วไต้หวัน มียอดขายเฉพาะไอทีอย่างเดียว 64,000 ล้านเหรียญ เกือบเท่ากับยอดส่งออกทั้งประเทศไทยที่มีประมาณ 7 หมื่นล้านเหรียญ

"วันนี้เราต้องเอกซเรย์ตัวเองแล้วปรับ ปรุงแก้ไขเสีย"

ประชาชาติธุรกิจ หน้า 6


"วิกรมกรมดิษฐ์" วิพากษ์ลงทุนไทย(จบ) จับตาเวียดนามคู่แข่งที่น่ากลัว!!!

รายงานพิเศษ  จรัญ ยั่งยืน เรียบเรียง  ประชาชาติธุรกิจ หน้า 6  วันที่ 26 กรกฎาคม 2547  ปีที่ 28 ฉบับที่ 3604 (2804)

สำหรับเพื่อนบ้านของไทยนั้น "วิกรม กรมดิษฐ์" มองว่าเวียดนามกำลังพัฒนาเศรษฐกิจอย่างน่ากลัวมากประเทศหนึ่ง

เวียดนามมีความน่ากลัวใน 3-4 อย่าง

อย่างแรกคือ อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมาก เช่น รองเท้า อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมเกษตร นั้นเราแพ้เวียดนามหลุดลุ่ยไปแล้ว

"มีเจ้าของโรงงานทำรองเท้าคนหนึ่งอยู่บ้าน โป่งเขาไปตั้งโรงงานทำรองเท้าในนิคมของเราที่เวียดนาม เอาสแตนดาร์ดจากโรงงานที่บ้านโป่งไปใช้ ขนาดของเครื่องจักรเท่ากัน จำนวนคนเท่ากัน เปิดได้แค่ 9 เดือน ปรากฏว่ามีกำลังผลิตมากกว่าผลิตที่บ้านโป่ง 30%"

ในด้านต้นทุนค่าแรงก็เช่นเดียว ในเวียดนามถูกกว่าเมืองไทย 2 เท่ากว่า แถมเวลาส่งออกรองเท้ายี่ห้อเดียวกันไปยุโรป ถ้าประทับตราว่าเป็นโปรดักต์ออฟเวียดนามยังเสียภาษีนำเข้าถูกกว่าส่งจากเมืองไทย

อย่างที่สอง สินค้าอะไรที่ต่อไปเป็นสินไฮเทคและใช้คนงานฝีมือสูงอีกไม่เกิน 5-7 ปีไทยก็ต้องแพ้เวียดนาม เพราะว่าพวกนี้ต้องใช้คนเก่งจำนวน มาก รวมทั้งเรื่องไอทีเรื่องซอฟต์แวร์ต่างๆ เราจะแพ้เวียดนามด้วย

อย่างที่สาม เวียดนามเป็นประเทศเดียวในโลกที่การันตีว่าเขาไม่มีผู้ก่อการร้าย

"ไม่มีประเทศไหนในโลกกล้าพูดว่าในประเทศตัวเองไม่มีผู้ก่อการร้าย แต่เวียดนามกล้า เพราะมีเมื่อไหร่มันเก็บ มันทำปุ๋ยหมด เคยได้ยินไหมว่าที่เวียดนามมีประท้วง มีสไตรก์ เผาโรงงาน ปิดถนน โดยไม่สนใจว่าชาวบ้านจะเป็นอย่างไร ทำให้นักลงทุนต่างประเทศประสบความสำเร็จมากในเวียดนาม"

ไต้หวันถือเป็นนักลงทุนต่างชาติเบอร์ 1 ในเวียดนาม โดยบริษัทฟอร์โมซา พลาสติก ยักษ์ใหญ่ที่สุดของนักลงทุนไต้หวันได้เข้าไปสร้างอะไรต่อมิอะไรแทบทุกอย่าง

"ตอนนี้เวียดนามเองก็กำลังกระจายอำนาจเข้าไปในแต่ละจังหวัด เหมือนจีนที่แต่ละมณฑลแข่งกันฉิบหายวายป่วงเลย เพราะรัฐบาลกลางจะไม่ช่วย ให้แต่ละมณฑลต้องไปหากินกันเอง ทำให้แข่งกันหูดับตับไหม้ เป็นระบบ "อินดีเพนเดนต์" ที่ไม่ต้องพะวงเรื่องความมั่นคง"

ถามว่าเขามีประสิทธิภาพหรือไม่ ? เวียดนามกระจายงานออกไปให้ท้องถิ่นแล้ว อย่างการอนุมัติบีโอไอ โปรเจ็กต์ที่มูลค่า 40 ล้านเหรียญ ไม่ต้องส่งก๊อบปี้ให้รัฐบาลกลาง

แต่เวียดนามก็มีจุดเสียอยู่ที่ว่ารายได้ของ ผู้บริหารต่ำมาก เพราะโครงสร้างเป็นคอมมิวนิสต์ อาจจะมีเรื่องคอร์รัปชั่นบ้าง แต่หากจับได้เขายิงทิ้งเลย ในประเทศไทยนี่มีการยิงทิ้งกันกี่คน? แต่เวียดนามมีความเด็ดขาดมาก

"เรื่องการอออกใบอนุญาตตั้งโรงงานก็เห็นชัด ในนิคมฯผมในเมืองไทยแม้จะมีเอกสารครบก็ตาม กว่าจะออกให้ได้เป็นอาทิตย์สองอาทิตย์ แต่นิคมในเวียดนามหากมีเอกสารครบและถูกต้อง ใช้เวลาแค่ 4-6 ชั่วโมงเท่านั้น เขาก็แสตมป์ให้เลย"

ถามว่าเวียดนามจะแซงหน้าไทยในด้านจีดีพีไหม?

"ผมยังไม่เชื่อว่าเวียดนามจะแซงหน้าเราในเรื่องจีดีพีได้ เพราะมันห่างกันมาก เวียดนามไม่มีทางตามประเทศไทยได้ทัน แต่จะแซงหน้าในผลิตภัณฑ์บางตัว เช่น รองเท้า อาหาร เสื้อผ้า และไฮเทคบางตัว"

เวียดนามนั้นพื้นที่เล็กกว่าไทยประมาณ 30% และอินฟราสตรักเจอร์ยังแย่มาก ส่วนอุตสาหกรรมรถยนต์นั้นไม่มีทางสู้ไทยได้แน่ เพราะฝรั่งและญี่ปุ่นมาตั้งอยู่ในเมืองไทยหมด

สำหรับจีนนั้นถ้าพูดกันจริงๆ การเติบโตทางเศรษฐกิจของเขาเริ่มแค่ 5 ปีเท่านั้น แต่พื้นฐานดีจากการสร้างความเป็นปึกแผ่นโดยเหมา เซ ตุง ทำให้จีนไม่แตกกระเซ็นกระซ่านเหมือนรัสเซีย คนจีนถูกคุมโดยคอมมิวนิสต์ทำให้คนจีนไม่เกเร ไม่มีใครอยากถูกจับขังคุก เพราะจีนเขามีความคิดเรื่องทรมานคน จนคนเข็ดขยาดหมด

"เวียดนามนั้นเลียนแบบจีนแทบทุกอย่าง เลียนแบบแม้กระทั่งตราของรัฐบาล เครื่องแบบของตำรวจทหารก็เหมือนกัน"

อีกอย่างหนึ่งที่จะทำให้เวียดนามเติบโตทางเศรษฐกิจได้เร็ว คือคนเวียดนามใฝ่เรียนรู้เอามากๆ

"ร้านหนังสือในเวียดนามแม้จะห่วย แต่ทุกเย็นจะมีเด็กเข้าไปอ่านกันยังกับหนอน มีที่กวดวิชาเต็มไปหมด ส่วนพนักงานไทยที่จะไปเรียนอะไรต่อตอนเย็นมีกี่เปอร์เซ็นต์ ผมว่าต่ำกว่าเวียดนามอย่างน้อย 5 เท่า ความกระหายที่จะใฝ่รู้ต่างกันมาก"

ไทยเป็น"ดีทรอยต์"ได้อะไร?

ไทยจะได้อะไรหากเป็นดีทรอยต์ของเอเชีย ?

ยังเป็นคำถามที่ถกเถียงกันอยู่

สำหรับ "วิกรม" มองเห็นว่า เราได้อะไรหลายอย่าง

"สมัยก่อนนี้ คนรวยจริงๆ ถึงจะมีรถได้ วันนี้ไม่จำเป็นต้องรวย เพียงมีเงินเดือนระดับหนึ่ง แค่ 2 หมื่นกว่า 3 หมื่นก็ซื้อรถได้ เพราะว่าอุตสาหกรรมรถยนต์มาผลิตที่บ้านเรา"

ต้นทุนของรถที่มาผลิตในประเทศไทยนั้นอะไหล่ต่อ 1 ชิ้นถูกกว่าเดิม ในภาคเกษตรนั้นรถกระบะเข้าไปแทนเกวียน ซึ่งมีประสิทธิภาพในการขนส่งต่ำ

อีกสิ่งหนึ่งที่ได้คือ มีบริษัทอะไหล่หรือชิ้นส่วนเกิดขึ้นอีก 840 กว่าบริษัท ซึ่งก็ส่งผลต่อรายได้ของครอบครัวพนักงานเหล่านั้น

"แม้รถจะเป็นเจ้าของโดยจีเอ็ม 100% กำไรทั้งหมดเป็นของจีเอ็มนั้นถูก แต่กำไรนั้นจะต้องหักจากต้นทุนการผลิต ซึ่งต้นทุนการผลิตก็มาจากคนไทยทำทั้งนั้น อย่างในนิคมฯผมมีคนงานทั้งหมด 120,000 คน มีคนต่างชาติอยู่ไม่เกิน 1,500 คนเท่านั้น"

แล้วตอนนี้ไทยผลิตรถยนต์ 50% ของอาเซียน!

"นอกจากสร้างรายได้ให้กับครอบครัวแล้ว เขายังให้การศึกษา บริษัทเหล่านี้จะเทรนคนไทย นอกจากได้ความรู้แล้วยังกระตุ้นให้คนไทยรู้จักสงสัย รู้จักถาม"

และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือได้ภาษี บริษัทพวกนี้ไม่ค่อยขี้โกงเพราะเป็นบริษัทอยู่ในตลาด ถูกคุมด้วยระบบ ปีที่แล้วในนิคมอมตะนครเสียภาษี 2 พันกว่าล้านบาท ซึ่งบริษัทเหล่านี้ได้บีโอไอก็เยอะ ถ้าบีโอไอหมดเราก็จะได้ภาษีเพิ่มอีกอื้อเลย

"อีกอย่างหนึ่งผมเชื่อว่า จะทำให้เรามีจีเนียสออกมาอีกเยอะ เพราะคนไทยไม่ได้โง่โดยยีน แต่ระบบการเรียนการสอนมันห่วย เมื่อได้ระบบการเรียนการสอนที่ดีเข้ามาจะทำให้พวกเราฉลาดขึ้น"

คำสำคัญ (Tags): #วิกรม กรมดิษฐ์
หมายเลขบันทึก: 201878เขียนเมื่อ 18 สิงหาคม 2008 18:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 17:06 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท