เลขาธิการสภาพัฒน์
ระบุการเมืองวุ่น ฉุด 8 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปีนี้ชะงัก
เหตุส่วนใหญ่เป็นโครงการใหม่ ต้องขออนุมัติงบประมาณ
โอกาสในการพัฒนา "สะดุด" สั่งจับตาตัวเลขใกล้ชิด
ก่อนรวบรวมข้อมูลแถลงผลกระทบ
ดร.อำพน กิตติอำพน
เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
กล่าวว่า การยุบสภาที่ผ่านมา
และการรอรัฐบาลที่จะจัดตั้งขึ้นตามผลเลือกตั้งครั้งใหม่
ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานมาตรการ 8 ข้อ เพื่อผลักดันเศรษฐกิจในปี
2549 ให้ขยายตัวในระดับ 5% ตามที่เคยประมาณการไว้ โดยเมื่อเร็ว
ๆ นี้ สศช. ได้เสนอแนวทางการบริหารเศรษฐกิจในปี 2549
ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณา
โดยมีมาตรการ
ที่จะดำเนินการทั้งหมด 8 ด้าน
และหลายด้านเป็นเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการ
"น่าเสียดายที่มาตรการหลายอย่างต้องชะลอออกไปก่อน
เพราะตามหลักการหลังจากยุบสภา ครม.
จะไม่อนุมัติงบประมาณให้แก่โครงการใหม่
ทำให้ยังไม่สามารถนำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ ๆ ออกมาใช้ได้
คงต้องรอให้มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ เรียบร้อยก่อน
จึงจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นโครงการใหม่" ดร.อำพนกล่าว
อย่างไรก็ตาม สศช. อยากให้การจัดตั้งรัฐบาลใหม่แล้วเสร็จโดยเร็ว
เพราะมาตรการหลายอย่างจำเป็นต้องตั้งงบประมาณในปี 2550 มาดำเนินการ
หากจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า อาจมีผลต่อการตั้งงบประมาณ
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมา นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ
เลขาธิการคณะรัฐมนตรี มีหนังสือเวียนด่วนที่สุด
เรื่องการบริหารนโยบายเศรษฐกิจปี 2549
ถึงรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี กระทรวง กรม ผู้ว่าราชการจังหวัด
ทุกจังหวัด และเอกอัครราชทูตแบบบูรณาการเพื่อการพัฒนา
อ้างถึงนโยบายบริหารเศรษฐกิจปี 2549 ที่ สศช. ได้เสนอให้
ครม.รับทราบ โดย สศช. มองว่าเศรษฐกิจในปี 2549
ยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ประมาณ 5% สูงกว่าการขยายตัวในปี 2548
แต่ยังมีประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือ ภาวะราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับสูง
ทำให้อัตราเงินเฟ้อยังคงมีแนวโน้มสูงอยู่
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชน
โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานที่ได้รับค่าแรงขั้นต่ำ แม้ว่าในช่วง 4-5
ปีที่ผ่านมา จะมีการปรับขึ้นค่าแรงไปบ้างแล้ว
แต่ยังเป็นการปรับช้ากว่าอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้
กลุ่มคนระดับกลางที่มีรายได้เฉลี่ย 20,000-30,000 บาทต่อเดือน
ก็ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อที่สูงขึ้น
ทำให้ค่าใช้จ่ายต่อเดือนเพิ่มมากกว่ารายได้
ขณะที่การขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัด ก็ยังมีแนวโน้มขาดดุล
จึงมีความจำเป็นต้องเร่งรัดการส่งออก
บริหารการนำเข้าวัตถุดิบและส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือก
รวมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยว
ขณะเดียวกัน สศช. มองว่า ในปี 2549
รัฐบาลจำเป็นต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
โดยกำหนดกรอบแนวทางการบริหารนโยบายเศรษฐกิจที่ชัดเจน
ดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อสร้างความมั่นใจ
สนับสนุนให้เศรษฐกิจในปีนี้มีเสถียรภาพ พร้อมกันนี้ สศช.
ได้เสนอ 8 มาตรการที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการในปี 2549 ประกอบด้วย
1.ส่งเสริมการใช้หลังงานทางเลือก และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปัจจัยการผลิต
ลดการพึ่งพิงการนำเข้าพลังงาน 2.
การเพิ่มประสิทธิภาพระบบโลจิสติกส์ ด้วยการจัดตั้ง
คณะกรรมการโลจิสติกส์ระดับชาติ
เพื่อเร่งผลักดันระบบโลจิสติกส์ให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม
ตลอดจนศึกษาแนวทางพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
และสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งเชื่อมโยงพื้นที่ฐานการผลิตที่สำคัญทั่วประเทศ
ทำให้เกิดประสิทธิภาพและความรวดเร็ว ลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้า
และลดการใช้น้ำมัน 3.
ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ โดยเร่งดำเนินการปรับโครงสร้างการผลิต
ตลอดจนห่วงโซ่มูลค่า เป็นรายกลุ่มสินค้า
พิจารณาแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน
ที่สำคัญรัฐบาลควรผ่อนปรนเงื่อนไขที่เป็นภาระให้กับผู้ประกอบการ เช่น
เงินค้ำประกันรายบุคคลที่สูงถึง 50,000 บาท
รวมทั้งควรพิจารณาขึ้นค่าแรงงานในภาคการผลิต
มากกว่าการนำแรงงานราคาถูกเข้ามาจากภายนอก
เพราะค่าจ้างแรงงานในประเทศที่สูงขึ้น
จะผลักดันให้ผู้ประกอบการพัฒนาเทคโนโลยีให้สูงขึ้น
4. มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวและค้าปลีก
โดยส่งเสริมให้ธุรกิจไทยออกไปลงทุนในกิจการค้าปลีกในต่างประเทศ เช่น
ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร โรงแรม รวมทั้งธุรกิจอื่น ๆ
ขณะเดียวกัน ควรผลักดันให้ไทยเป็นชอปปิง เซ็นเตอร์
โดยพิจารณาการลดภาษีสินค้าแบรนด์เนมเพื่อดึงให้นักท่องเที่ยวมาชอปปิงในเมืองไทย
นอกจากนั้น ภาครัฐควรเร่งเปิดตัวโครงการต่าง ๆ ที่ดำเนินการเสร็จแล้ว
และเร่งผลักดันโครงการพัฒนาท่องเที่ยวใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ
เร่งส่งเสริมพัฒนาธุรกิจบริการที่มีศักยภาพเพื่อเชื่อมโยงกับธุรกิจท่องเที่ยว
5. ส่งเสริมการลงทุน และการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่
ด้วยการปรับปรุงกองทุนร่วมทุน เพื่อเป็นเครื่องมือสนับสนุนเอสเอ็มอี
รวมทั้งการเสริมสร้างบรรยากาศ
และโอกาสการลงทุนแก่ผู้ประกอบการในประเทศ
6. การสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการรายย่อย
โดยสมาคมธนาคารไทยจะพัฒนาและสร้างความแข็งเเกร่งของกองทุนหมุนเวียนเอสเอ็มอี
โดยมีมาตรการของรัฐสนับสนุน
ติดตามตรวจสอบคุณภาพของผู้กู้อย่างเป็นระบบ
7. การปรับค่าแรงขั้นต่ำและค่าจ้างเงินเดือน
โดยสนับสนุนให้เอกชนพิจารณาปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้เหมาะสมกับภาวะค่าครองชีพ
และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายทั้งนายจ้างและลูกจ้าง ซึ่งกระทรวงการคลัง
กำลังศึกษาความเหมาะสมเรื่องงบประมาณ
และผลกระทบต่อฐานะการคลัง 8. มาตรการอื่น ๆ เช่น
การส่งเสริมการออมและการพัฒนาตลาดทุน การส่งเสริมการส่งออก
และการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ เช่น ศึกษาเรื่อง One Single System
ของระบบบำนาญของประเทศเพื่อส่งเสริมการออม
พัฒนาตลาดทุนให้มีขนาดเท่ากับผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (จีดีพี) ภายใน
5 ปี เร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณให้ได้ 93% ของกรอบวงเงินงบประมาณ
ดร.อำพน กล่าวว่า ขณะนี้ได้สั่งให้ข้าราชการ สศช.
ดูตัวเลขเศรษฐกิจทั้งหมดอย่างใกล้ชิด
ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกระทบเศรษฐกิจอย่างไร
ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินได้ คงต้องรอให้ตัวเลขต่าง ๆ
ชัดเจนก่อนจึงจะประกาศให้ทราบต่อไป
"ผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ในระยะสั้นคงมีไม่มาก เช่น
โครงการเมกะโปรเจค แม้ว่าจะชะลอออกไป
แต่งบประมาณก็ได้มีการจัดทำไว้แล้ว คงไม่มีปัญหา
สิ่งที่กังวลขณะนี้คือความเชื่อมั่น ในการลงทุนของเอกชน
และรู้สึกเสียดายโอกาสในการพัฒนาของประเทศที่ต้องสะดุดลง"
ดร.อำพนกล่าว
กรุงเทพธุรกิจ 20 มีนาคม 2549
ไม่มีความเห็น