ความรู้เรื่องนี้ ได้ใช้เครื่องมือด้านการจัดการความรู้ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้คือ การเล่าเรื่อง, การสกัดขุมความรู้, การทำตารางแห่งอิสรภาพ, การใช้ประโยชน์จากชุดเครื่องมือธารปัญญาและบันไดแลกเปลี่ยนเรียนรู้, Peer Assist, AAR และ มีการแนะนำการใช้ Blog ให้กับผู้เข้าร่วมด้วย และจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้สามารถสรุป "แก่นความรู้" ของครู/อาจารย์เพื่อศิษย์วัยใส (ฝ่าวิกฤติวัยรุ่น) ได้ ๕ แก่นความรู้ คือ
๑. การมีธรรมนูญโรงเรียน
๒. การใช้กิจกรรม (เชิงพฤติกรรม)
๓. การใช้กิจกรรม (เชิงกระบวนการ)
๔. การมีระบบดูแล
๕. การใช้เครือข่าย
ซึ่งผลของการอบรมครั้งนี้
นับว่าประสบความสำเร็จพอสมควร
มีเรื่องเล่าหรือความรู้ที่เป็นประสบการณ์ความสำเร็จของครูอาจารย์ในการแก้ไขปัญหาให้กับเด็กนักเรียนวัยรุ่นของตนได้ที่น่าสนใจหลายเรื่องทีเดียว
ซึ่งคาดว่า
ครู/อาจารย์ที่เข้าร่วมได้เรียนรู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ความสำเร็จร่วมกัน
และสามารถนำไปปรับใช้กับโรงเรียนหรือบริบทของตนเองได้ดีเช่นกัน
โดยปัจจัยหลักที่ทำให้ประสบความสำเร็จ คือ การที่ สพบ.
สามารถเฟ้นหาและคัดกรองโรงเรียนหรือครู ซึ่งเป็น
“คุณกิจ” ตัวจริง
ที่มีเรื่องเล่าและประสบการณ์ที่ตรงกับหัวปลาได้เป็นอย่างดี และ
สพบ. มีการเตรียมงานที่พร้อมสมบูรณ์
ส่วนผู้เข้าร่วมมีความสนใจในกระบวนการจัดการความรู้อย่างมาก
โดยได้เสนอแนะให้แต่ละโรงเรียนนำกลับไปปรับใช้ในโรงเรียนของตนเองและขยายเป็นเครือข่ายชุมชนครูเพื่อศิษย์
พร้อมทั้งนำเสนอขุมความรู้ต่างๆ ขึ้น Blog
หรือใช้เครื่องมือ IT อื่นๆ
เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันและสร้างเป็นชุมชนนักปฏิบัติ
(CoP) ต่อไป
สำหรับข้อสังเกตที่ได้เรียนรู้จากการเป็นวิทยากรนำกระบวนการจัดการความรู้ของผู้เขียน
คือ
ได้เรียนรู้ถึงการทำหน้าที่วิทยากรเพื่อนำกระบวนการจัดการความรู้
หรือนำกระบวนการจัดตลาดนัดความรู้เช่นนี้ว่า
จะต้องมีการเตรียมตัว เตรียมงาน
เตรียมความพร้อมเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการกำหนด
“หัวปลา” ให้ชัดเจน
ต้องเป็นหัวปลาที่ไม่กว้างจนเกินไป
และเป็นหัวปลาร่วมที่ผู้เข้าร่วมสามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้หรือ
Share ประสบการณ์ร่วมกันได้ ส่วนการเตรียม
“คุณกิจ” ก็จะมีความสำคัญมาก
หากสามารถคัดกรอง “คุณกิจ”
ที่มีเรื่องเล่าหรือประสบการณ์ที่ตรงกับหัวปลาได้
จะทำให้การแลกเปลี่ยนรู้ไประโยชน์และเกิดบรรยากาศที่ดีได้
สำหรับ “คุณอำนวย” และ “คุณลิขิต”
ก็ต้องมีการเตรียมบทบาทและทำความเข้าใจเป็นอย่างดี
เรื่องสถานที่และวัสดุอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ
มีความจำเป็นเช่นกัน
เพราะจะเป็นตัวช่วยทำให้กระบวนการตลาดนัดความรู้ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
ที่สำคัญตัววิทยาการจะต้องมีการเตรียมตัวเป็นอย่างดี
ต้องศึกษา”หัวปลา” , กลุ่มผู้เข้าร่วม,
เนื้อหาที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
ซึ่งต้องรู้ในส่วนเนื้อหาบ้าง
ไม่ใช่รู้แต่เพียงกระบวนการเท่านั้น
รวมทั้งต้องทำหน้าที่อธิบายถึงขั้นตอนหรือกระบวนการ,
ลักษณะและความสำคัญของเครื่องมือแต่ละชนิด
และต้องมีการสรุปประเด็นให้ชัดเจนในแต่ละช่วงของกระบวนการที่ดี
เพื่อให้ผู้เข้าร่วมเกิดความเข้าใจและสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงๆ
และต้องมีทักษะหรือ “ลูกเล่น”
ในการโน้มน้าวชักจูงใจให้ผู้เข้าร่วมรู้สึกผ่อนคลาย
ไม่เกร็งและไม่ตึงเครียดจนเกินไป ที่สำคัญต้องมี “สติ”
และวิธีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี
เพราะเมื่ออยู่ในช่วงตลาดนัดความรู้จริงๆ
จะมีปัญหาและอุปสรรคหรือคำถามต่างๆ
จากผู้เข้าร่วมมากมาย
ซึ่งเราจะต้องหาคำตอบและหาวิธีการตอบคำถามนั้นๆ
ให้ดีและเหมาะสมที่สุดในสถานการณ์นั้น
ส่วนสิ่งที่ผู้เขียนในฐานะที่เป็นวิทยากรนำกระบวนการอยากเห็นหรือต้องการให้เกิดผลที่ต่อเนื่องจากตลาดนัด
คือ
ต้องการเห็นครูอาจารย์แต่ละคนหรือโรงเรียนแต่ละแห่งที่เข้าร่วมตลาดนัดความรู้ในครั้งนี้
จะสามารถนำกระบวนการหรือวิธีการจัดการความรู้นี้
ไปปรับใช้ในโรงเรียนหรือบริบทของตนเองและขยายผลในวงกว้างต่อไปได้
โดยเฉพาะหากสามารถเชื่อมโยงระหว่างพ่อแม่, ผู้ปกครอง,
ครูอาจารย์, ผู้บริหารโรงเรียน, นักกิจกรรม,นักพัฒนา,
องค์กรพัฒนาเอกชน, นักวิชาการ, นักวิจัย ฯลฯ
ได้จะยิ่งดีมาก และหากครูหรืออาจารย์ได้ลดบทบาทลง
โดยทำหน้าที่เป็น “คุณอำนวย”
และยกบทบาทสำคัญนี้ให้แก่เด็กนักเรียน คือ
ให้เด็กวัยรุ่นเหล่านั้น
คิดและดำเนินการแก้ไขปัญหาในลักษณะ “เพื่อนช่วยเพื่อน”
หรือ “พี่ช่วยน้อง”
ให้เด็กนักเรียนที่ผ่านมรสุมชีวิตวิกฤติวัยรุ่นมาแล้ว
ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้,
เล่าประสบการณ์ให้กับเด็กนักเรียนรุ่นน้องได้รับฟัง
ถ้าทำได้เช่นนี้
สังคมไทยจะได้ความรู้เชิงปฏิบัติในการแก้ไขปัญหาหรือการป้องกันวิกฤติเด็กวัยรุ่นที่ตรงเป้าและได้ผลดีทีเดียว
ซึ่งที่สำคัญ
ต้องมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
โดยต้องมีการทบทวน และนำความรู้ที่ได้รับเหล่านั้น
ไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของตนเอง
แล้วบันทึกเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันต่อไปเรื่อยๆ
ไม่มีวันจบ จึงจะเรียกได้ว่า เป็นการจัดการความรู้ที่แท้จริง
ทั้งหมดนี้
เรียกได้ว่า
เป็นประสบการณ์ที่ดียิ่งของการทำหน้าที่วิทยากรหลัก
ด้านการจัดการความรู้ครั้งแรกในชีวิตของผู้เขียน
ซึ่งจะต้องมีการเรียนรู้
เพื่อปรับปรุงพัฒนาเทคนิควิธีการในการเป็นวิทยากรนำกระบวนการจัดการความรู้ต่อไปอย่างไม่รู้จบเช่นกัน