บันทึกการเมืองไทย (๑๙) : ความเห็นของ อ. มีชัย ฤชุพันธุ์
เปรียบพฤติกรรม2ผู้นำ "ทักษิณ-ลี กวน ยิว" บทสรุป"ซื่อกินไม่หมด"
ที่มา - นายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานรัฐสภา ตอบคำถามในเว็บไซต์
"มีชัยไทยแลนด์ดอตคอม" www.meechaithailand.com
กรณีมีคำถามจากประชาชนถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี เป็นนักธุรกิจที่เก่งกาจ จนถูกมองว่าเป็นลี กวน
ยิว 2
(อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์) แต่เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น
ทำให้สร้างปัญหากับตำแหน่งนายกฯ ด้วยการเรียกร้องให้ลาออก
อยากทราบความเห็น การเป็นนักธุรกิจที่เก่งกาจกับการเป็นนายกฯ
ที่เก่งกาจ
จะมีวิธีปฏิบัติหน้าที่ที่รับผิดชอบใกล้เคียงกันได้หรือไม่
"นักธุรกิจหรือนักบริหารภาคเอกชน
หากสามารถนำพาธุรกิจของตนไปสู่ความสำเร็จมีกำไรมหาศาล
ขยายเครือข่ายและกิจการออกไปมากเท่าไรก็ยิ่งถือว่าประสบความสำเร็จมากเท่านั้น
ยิ่งครอบตลาดหรือมีส่วนแบ่งในการตลาดยิ่งมากก็ยิ่งดี
ถ้าทำให้ต้นทุนต่ำด้วยการเสียภาษีให้น้อยที่สุดยิ่งเป็นที่ขึ้นชื่อ
ทำให้คู่ต่อสู้หมดทางแข่งขันหรือหมดทางที่จะตามทัน
ก็ถือว่ามีวิสัยทัศน์กว้างไกล เป็นคนเก่งที่จะต้องยกกันเป็นเลิศ
"แต่ในระยะหลังๆ วงการธุรกิจเริ่มเรียกหาความโปร่งใส หรือธรรมาภิบาล
แต่ความโปร่งใสหรือธรรมาภิบาลนั้นก็ยังหนักไปในทางคุ้มครองผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทเสียมากกว่าคุ้มครองประชาชนทั่วไป
รวมความว่า ความเก่งของนักธุรกิจหรือนักบริหารภาคเอกชน
มุ่งเน้นการทำประโยชน์ให้แก่เจ้าของหรือผู้ที่เกี่ยวข้องในแวดวงอันจำกัด
ส่วนใครจะเสียหายอย่างไร หรือเอารัดเอาเปรียบใคร เป็นเรื่องรองลงไป
หรือเกือบจะไม่ได้นึกถึง
"สำหรับคนที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐโดยเฉพาะเป็นรัฐบาลนั้น
มีหน้าที่กว้างไกลกว่านักธุรกิจและนักบริหาร มีอำนาจของรัฐอยู่ในมือ
อำนาจเช่นว่านั้นมีตั้งแต่การสร้างกฎกติกาเพื่อยังความสงบเรียบร้อย
ความเป็นระเบียบของสังคม ความไม่เอารัดเอาเปรียบ
การคุ้มครองผู้ด้อยโอกาสหรือผู้ที่มีปัจจัยในการต่อสู้น้อยกว่า
กฎกติกาใดที่มีช่องโหว่หรือรอยรั่ว
เจ้าหน้าที่ของรัฐก็มีหน้าที่ต้องคอยอุดรูรั่วเหล่านั้นเพื่อไม่ให้ใครอาศัยช่องโหว่เหล่านั้นไปเอาเปรียบคนอื่น
"ขณะเดียวกันก็มีหน้าที่ต้องบังคับการให้เป็นไปตามกฎกติกา
นำคนที่ทำผิดกฎกติกามาสู่กระบวนการเพื่อลงโทษ
หน้าที่ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการพัฒนาประเทศให้รุ่งเรืองทั้งทางเศรษฐกิจ
สังคม และวัฒนธรรม
มีหน้าที่จัดเก็บภาษีอากรเพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารบ้านเมืองและบริการประชาชน
ด้วยอำนาจและหน้าที่ ความเก่งของเจ้าหน้าที่รัฐ จึงไม่ได้มุ่งหากำไร
และโดยอำนาจและหน้าที่ที่มีอยู่ บางอย่างที่คนทั่วไปทำได้
แต่คนที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐจึงทำไม่ได้ และไม่สมควรทำ
"คนที่ทำมาหากินทั่วๆ ไป อาจพยายามหาช่องทางในการหลีกหลบภาษีอากร
ให้เสียน้อยที่สุด ใครทำได้ก็เป็นความเก่ง เป็นความสำเร็จ
แต่ถ้าลูกและเมียของเจ้าหน้าที่สรรพากรนั้นตั้งบริษัทเพื่อให้บริการแนะนำคน
เพื่อคอยบอกว่าทำอย่างไรจึงจะเสียภาษีน้อยที่สุด
จนบริษัทนั้นมีรายได้ร่ำรวยมหาศาล
เราจะยอมรับว่าเจ้าหน้าที่สรรพากรนั้นเก่งสมควรอยู่เป็นตัวอย่างในกรมสรรพากรต่อไป
หรือสมควรออกไปอยู่นอกแวดวงของกรมสรรพากร
"สมมุติว่ารัฐมนตรีคมนาคมและปลัดคมนาคมของประเทศหนึ่งมีอำนาจในการอนุญาตให้คนเปิดบริษัทการบินได้
ถ้าวันหนึ่งภรรยาและบุตรและบริวารของรัฐมนตรีและปลัดเปิดบริษัทการบิน
และมาขออนุญาตรัฐมนตรีและปลัดก็อนุญาต
"ขณะเดียวกัน
เส้นทางใดที่บริษัทการบินแห่งชาติของประเทศนั้นเคยมีอยู่ก็งดเสีย
เพื่อให้บริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่ได้ใช้เดินทาง บริษัทนั้นก็รุ่งเรือง
ถ้ามองในแง่ของนักธุรกิจ
ก็ต้องรับว่ารัฐมนตรีและปลัดกระทรวงคมนาคมเก่ง
เพราะไม่เคยมีใครคิดทำมาก่อนได้
(ซึ่งอาจเป็นได้ว่าไม่เคยมีใครฉลาดพอที่จะคิดออก
หรือไม่เคยมีใครกล้าพอที่จะคิด) แต่ถ้ามองในแง่ประโยชน์ของรัฐ
และความเป็นธรรม และประโยชน์ของบริษัทการบินของชาตินั้น
เราจะยอมรับได้หรือไม่ว่ารัฐมนตรีและปลัดนั้นเป็นคนเก่งสมควรแก่การยกย่อง
ในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ ถ้าถามว่าได้ทำถูกต้องตามกฎเกณฑ์หรือไม่
ก็คงต้องยอมรับว่าถูกต้อง
แต่จะมีอะไรอีกมากมายเลยที่สามารถเดินไต่เส้นลวดให้ถูกต้อง
แล้วเกิดความเสียหายต่อประเทศชาติและส่วนรวมได้
"คนธรรมดาเมื่อไปครอบครองที่ดินของคนอื่นโดยสงบ โดยเปิดเผย
โดยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี
กฎหมายยอมรับว่าเป็นการครอบครองปรปักษ์ เมื่อไปร้องขอต่อศาลๆ
ก็ต้องสั่งเจ้าพนักงานให้โอนที่ดินนั้นให้แก่ผู้ครอบครองปรปักษ์ได้
แต่ถ้าผู้ว่าราชการจังหวัดอาศัยไต่เส้นลวดเดียวกันนี้
ไปครอบครองปรปักษ์ที่ดินของชาวบ้านในจังหวัดของตน
เราจะยอมรับความเก่งของผู้ว่าหรือไม่
ถ้าชาวบ้านร่วมใจเดินขบวนประท้วงเพื่อขับไล่ผู้ว่าให้ออกไปจากพื้นที่
ผู้ว่าจะต่อสู้ว่าเป็นการเอากฎหมู่มาอยู่เหนือกฎหมายได้หรือไม่
เป็นเพียงการยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นว่าความเก่งของคนในแต่ละสถานะนั้นแตกต่างกัน
"ท่ามกลางฝุ่นตลบนี้ มีเสียงพูดที่น่าตระหนกว่า ใครมาก็โกงเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นถ้าโกงแล้วทำงานก็น่าจะดีกว่า ฟังแล้วก็ขนลุก
ถ้าทัศนะนี้เป็นที่ยอมรับกันเป็นเสียงข้างมาก
ก็น่าจะต้องเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญให้ชัดไปเลยว่า
ใครมาเป็นรัฐบาลก็ให้มีสิทธิหักเปอร์เซ็นต์ได้ตามจำนวนที่กฎหมายกำหนด
เอาให้ทั้งโลกงงกันไปเลย
เพราะเราก็ทำท่าว่าจะได้ไปนั่งตำแหน่งเลขาธิการสหประชาชาติกันแล้ว
จะได้ฝากฝังให้ท่านไปช่วยแก้ไขกฎบัตรสหประชาชาติเสียให้สอดคล้องกับแนวคิดแบบใหม่ของไทยเสียด้วย
"ส่วนลี กวน ยิว นั้น เป็นคนเก่ง
แต่คนสิงคโปร์ก็บ่นด้วยซ้ำไปว่าท่านออกจะเผด็จการ
แต่เนื่องจากท่านไม่ได้ทำธุรกิจให้ปวดหัว
ท่านจึงอยู่ในตำแหน่งได้จนท่านเบื่อไปเอง
"แม้เมื่อท่านออกไปแล้วบารมีของท่านก็ยังคุ้มครองคนของท่านให้อยู่ในตำแหน่งได้อีกยาวนาน
รอจนลูกของท่านเติบโตพอมารับตำแหน่งต่อไปได้อยู่จนทุกวันนี้
เข้าทำนองภาษิตของไทยที่ว่า ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่เหลือ
แต่ดูเหมือนคนสมัยใหม่เขาจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับภาษิตนี้
เขามักจะค่อนว่าคนที่คิดอย่างนี้เป็นคนโง่และไม่ทันกับยุคโลกาภิวัตน์