(๑)
นานร่วมสามเดือนได้แล้วกระมังที่ผมไม่เคยได้กลับบ้าน
ผมไม่เคยมีเหตุผลอื่นใดนอกจากเรื่อง “งาน และงาน” เท่านั้น จนบางครั้ง เคยมีคนหยิกหยอกผมอยู่เหมือนกันว่า “จะขอซื้อเวลางานในวันหยุดของผมทั้งหมด เพื่อให้ผมได้กลับบ้านสักครั้ง”
และนั่นก็เป็นเสมือนการปลอบประโลมหัวใจของผมอย่างวิเศษสุด เพราะมันช่วยให้ผมรู้สึกราวกับว่า ท่ามวิถีแห่งการงานอันแสนหนักนั้น ผมมีคนรอบกายที่เข้าใจ, เห็นใจ หรือแม้แต่ห่วงใยและอาทรผมอยู่บ้างเหมือนกัน
หลายต่อหลายครั้งที่ผมแว่วยินเสียงของพ่อลอดผ่านโทรศัพท์ที่กำลังคุยกับหลานรัก โดยพ่อบอกกับหลานชายให้รับรู้อย่างแน่นหนักและจริงจังว่า
“ทั้งปู่และย่า” คิดถึงพวกเขามาก และเฝ้าถามเสมอว่า เมื่อไหร่ผมจะว่างพอที่จะพาพวกเขากลับไปให้นอนกกกอดสักคืน !
ทุกคราครั้งที่แว่วยินเช่นนั้น ผมรู้สึกผิดบาปอย่างมหันต์ ภายในอันลึกเร้นของหัวใจ สั่นไหวราวกับภูเขาที่กำลังเสื่อมทรุด หลายต่อหลายครั้ง พ่อบอกกับหลานสุดที่รักว่าจะขนข้าวสารมาให้ , จะเอาเห็ดมาฝาก, เอาแกงขี้เหล็กมาให้ทาน, เอาแกงปลาดุกมาให้ชิมลิ้มรสอย่างเอร็ดอร่อย ซึ่งเจ้าหลานชายก็ได้แต่ขานรับ และเร่งเร้าให้ปู่กับย่ารีบมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
(๒)
เทศกาลเข้าพรรษามีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน
พ่อกับแม่สัญญากับหลานชายสุดโปรดทั้งสองว่าจะมารับพวกเขาด้วยตนเอง แต่จนแล้วจนรอด ด้วยภารกิจอันเร่งรีบในหน้าปักดำ ก็ทำให้ท่านไม่สามารถเดินทางมาตามคำสัญญานั้นได้
และเทศกาลวันหยุดเช่นนี้
ผมเองลังเลอยู่มากว่าจะจัดวางวันหยุดเช่นใดดี ?
ส่วนหนึ่งที่ผมไม่อยากเคลื่อนตัวไปไหนมาไหนนัก เพราะน้องดินมีอาการไม่สบาย ซึ่งนั่นก็เป็นผลพวงของการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ - รวมความถึงการที่ผมมีเวลาให้เขาไม่เพียงพอด้วยเช่นกัน จึงจำต้องหอบหิ้วเขาทั้งสองไปโน่นไปนี่อยู่บ่อยครั้ง พลอยให้เขานอนไม่เต็มอิ่ม กินไม่เต็มท้อง สุดท้ายก็อ่อนเพลียและล้มเจ็บไปตามประสาเด็ก
แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ ท่ามกลางอาการเจ็บไข้ออด ๆ แอด ๆ นั้น น้องดินยังมีใจรบเร้าให้ผมขับรถพาไปเวียนเทียนที่พระธาตุนาดูน ซึ่งเดินทางไปกลับก็ในราว ๆ เกือบ ๑๙o กิโลเมตรเลยก็ว่า โดยเจ้าตัวยืนยันว่า ถ้าไม่ไปเวียนเทียนคราวนี้มีหวังไม่ได้บวชอีกเป็นแน่ !
ผมไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่แกบอกนั้น มีความเป็นเหตุเป็นผลกี่มากน้อย แต่ผมก็ยินดีที่จะพาทั้งเขาและน้องชายไปเวียนเทียนยังพระธาตุนาดูนอย่างไม่อิดออด และนั่นก็พลอยให้เขาได้ชื่นบาน และมีชีวิตชีวาผุดผ่องขึ้นมาอย่างแทบไม่น่าเชื่อ
(๓)
เช้าวันที่ ๑๘ กรกฎาคม
ชีวิตทุกชีวิตในครอบครัวของผมยังคงเกลือกกลิ้งกันอยู่ในห้องพักอันแสนจำเจ จนเกือบจะเที่ยงวันโน่นแหละ ทุกชีวิตจึงพร้อมใจกันออกเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดของผม
เราใช้เวลาเดินทางไม่นานนัก แต่นั่นไม่ใช่เพราะความเร็วของการขับขี่ แต่เป็นระยะทางอันแสนใกล้นั่นเอง - ใกล้จนรู้สึกใจหายว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทำไมผมพ่ายพับกับระยะทางแห่งความรักนี้ไปได้ ? ทำไมผมถึงยอมให้การงานพรากผมห่างไกลไปจากบ้านของตนเองได้ถึงเพียงนี้ ?
เราใช้เวลาเดินทางเพียงไม่ถึง ๓๐ นาที ก็ถึงใจกลางตัวเมืองกาฬสินธุ์
เราแวะเข้าห้างสรรพสินค้าเพื่อจับจ่ายใช้สอยในบางสิ่งบางอย่าง จากนั้นไม่นานก็พุ่งทะยานออกสู่เส้นทางที่ทอดยาวไปสู่บ้านเกิดอย่างอบอุ่น
เพลงในรถท่ามแอร์อันเย็นฉ่ำขับขานด้วยทำนองลูกทุ่งอันคุ้นชิน - ท้องถนนยังคงดูไม่ผิดแผกและเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเท่าใดนัก บรรยากาศรายรอบเส้นทางห่มคลุมด้วยม่านละอองฝน ท้องนาหลายแห่งมีน้ำเอ่อล้น ข้าวกล้าหลายที่กำลังหยัดยืนและเขียวงาม เถียงนาหลายหลัง ดูมีชีวิตชีวาเป็นยิ่งนัก ด้วยมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่สัญจรขึ้นลงอยู่อย่างคุ้นชิน –
ในทุก ๆ หมู่บ้านที่รถคู่ชีพเคลื่อนกายผ่านไปนั้น
ผมก็มักที่จะชวนลูก ๆ ถามทักกันอย่างสนุกสนานว่า หมู่บ้านนี้มีชื่อว่าอะไร ?
เราเล่นเกมทายชื่อหมู่บ้านกันหลายหมู่บ้าน เด็ก ๆ ออกอาการจำได้บ้าง จำไม่ได้บ้าง และนั่นยิ่งทำให้ผมอดสะท้อนใจและพร่ำโทษตัวเองอย่างสุภาพไม่ได้ - ..ผมไม่ควรละเลยการกลับบ้านนานถึงเพียงนี้ , มันนานเกินพอที่จะทำให้ลูก ๆ ลืมเลือนต่อเส้นทางที่ควรต้องคุ้นเคยอย่างน่าใจหาย !
(๔)
ทั้งผมและคนของความรักมาถึงบ้านในราว ๆ เกือบจะ ๔ โมงเย็น
บ้านทั้งหลังถูกปิดเงียบ มีเพียงเจ้าสุนัขแสนรู้ ๓ ตัวเท่านั้นที่ทะยานมาทักทายด้วยอาการอันลิงโลด และการที่บ้านถูกปิดเงียบเช่นนั้น ผมก็รู้ได้โดยสัญชาตญาณว่า ทั้งพ่อและแม่ คงกำลังกรำงานอยู่กลางทุ่งเป็นแน่
ดังนั้น ทั้งผมและลูกชายสองคน จึงไม่ลังเลที่จะเดินทางไปยังทุ่งนาที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน โดยมีเพื่อนชีวิตปักหลักรออยู่ที่บ้าน
เราใช้เวลาเพียงไม่ถึง ๔ นาทีก็มาถึงทุ่งนาท้ายหมู่บ้าน
จากจุดที่เราจอดรถมองไกลไปในราว ๆ เกือบ ๕oo เมตร มองเห็นพ่อกำลังนั่งพักอยู่บนคันนา ส่วนอีก ๒ คน คือแม่และพี่ชาย กำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ในแปลงนา
ยังไม่ทันที่จะก้าวเท้าใด ๆ ลงสู่ท้องทุ่งอย่างเป็นทางการ เจ้าหนุ่มน้อยสองคนก็พร้อมใจกันตะเบ็งเสียงแข่งกับระยะทางด้วยเสียงอันดังพร้อม ๆ กันว่า “อีพ่อ ..อีแม่..” และพร่ำเรียกเช่นนั้นอย่างต่อเนื่อง พร้อม ๆ กับการโจนทะยานลัดเลาะไปตามคันนาอย่างมีชีวิต
น้องดินดูแช่มชื่น เบิกบานขึ้นเท่าตัว ริ้วรอยอาการหม่นซึมของพิษไข้จากจางไปอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่เจ้าจุกก็ยิ่งดูคึกคักและคะนองฤทธิ์เป็นที่สุด
พวกเขาทั้งเดินและวิ่ง ราวกับต้อการไปให้ถึงจุดหมายที่ท้ายทุ่งนาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยไม่แยแสต่อพื้นผิวอันฉ่ำแฉะ และไม่สนใจว่าจะย่ำเหยียบอะไรบ้าง หากแต่โลดทะยานไปอย่างเริงร่า –
(๕)
พ่อไม่รอให้หลานชายเป็นฝ่ายเคลื่อนเข้าไปหาเพียงฝ่ายเดียว หากแต่ย่นระยะทางแห่งความรักให้ใกล้เข้ามา ด้วยการลุกขึ้นมาจ้ำพรวด ๆ กึ่งวิ่งกึ่งเดินมาหาหลานรัก และทันทีที่ทั้งสามพานพบกันในระยะประชิด เจ้าจุกซึ่งถึงตัวคุณปู่ก่อนพี่ชาย ก็โผเข้ากอดคุณปู่อย่างน่าชัง จากนั้นน้องดินก็เข้าประชิดให้คุณปู่ได้สวมกอดอย่างแนบแน่นไม่แพ้กอดแรกที่น้องชายเพิ่งสัมผัสได้ในเสี้ยวที่ผ่านมา
พ่อพร่ำบอกกับหลานรักว่า “คิดถึงเหลือเกิน..” พร้อม ๆ กับการออกตัวให้หลาน ๆ ได้รู้ว่า “ยุ่งเหลือเกิน ..และยุ่งจนไม่สามารถไปรับได้”
ผมไม่เห็นว่าเจ้าตัวซนทั้งสองจะติดอกติดใจในคำสัญญาที่เลือนหายของคุณปู่เลยแม้แต่น้อย เห็นแต่แววตาอันเปี่ยมสุขที่อยู่ในอ้อมกอดของคุณปู่ ดูเหมือนอ้อมกอดแห่งความรักในผืนแผ่นดินอันคุ้นเคยนี้ จะมีความหมายและพลังอย่างมหาศาล เสื้อผ้าชุดเก่าโทรมเปียกชื้นด้วยหยาดเหงื่อ โคลนตมและม่านฝน ไม่ใช่กำแพงกั้นของคนต่างวัยอย่างปู่กับหลาน -
ผมเฝ้าดูพ่อในชุดชาวนาอันทรงเกียรติก้มลงหอมแก้มเจ้าสองหนุ่มอย่างชื่นจิต เศษโคลนเล็ก ๆ มีอันติดอยู่ที่แก้มของเจ้าคนน้องอย่างน่ารัก ราวกับนั่นเป็นส่วนหนึ่งของความรักที่ถูกแบ่งปันและสื่อสารมายังผู้รับอย่างมีความหมาย มันเป็นของฝากจากท้องทุ่ง และเป็นของฝากที่บรรพบุรุษฝากไว้ในทุก ๆ ฤดูกาลของชีวิต ,
และที่สำคัญก็คือ มันเป็นของฝากที่ไม่อาจพกพาไปให้ในที่อื่น ๆ เพราะมันมีเงื่อนไขแห่งชีวิตผูกรัดไว้อย่างแน่นหนา นั่นคือ การต้องมารับด้วยตนเอง และต้องมารับท่ามกลางท้องทุ่งอันคุ้นเคยนี้เท่านั้น –
(๖)
ภายหลังการอิงแอบกันอย่างอบอุ่นในอ้อมกอดอันแสนรักบนแผ่นดินอันคุ้นเคยของปู่กับหลานรัก
ถัดจากนั้น ทั้งสามชีวิตก็จูงมือกันเดินดุ่มไปยังแปลงนาที่แม่กับพี่ชายกำลังถอนกล้าอยู่อย่างขะมักเขม้น ขณะที่ผมกลับรู้สึกราวกับว่า การงานที่แม่และพี่ชายกำลังลงมือทำอยู่นั้น เสมือนจิตรกรที่กำลังทุ่มเทให้กับการวาดภาพมหกรรมแห่งท้องทุ่งอย่างน่าเคารพ โดยมีแปลงนาเป็นเสมือนเฟรมผ้าใบผืนใหญ่ที่ขึงพืดเป็นแนวราบกับผืนดิน หลากหลายด้วยสีสันอันสดเขียวและงามตาเป็นที่สุด -
แม่ในชุดชาวนาเต็มยศเดินมาจ่อรอที่คันนา พร้อม ๆ กับเอ่ยปากขอกอดและหอมแก้ม ราวกับรู้ว่าทั้งสองชีวิตน้อย ๆ นั้น เป็นพลังชีวิตที่แม่ต้องเติมเต็มให้กับตัวเอง
แม่ดูแก่ขึ้นเยอะ ..
แต่ความเป็นคุณแม่และคุณย่ายังคงฉายเด่นอยู่ในแววตาอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
แม่ยังคงเคี้ยวหมากไปพร้อม ๆ กับการถอนกล้า
รอยยิ้มของแม่บ่งบอกถึงการมาเยือนอันแสนสุขจาก ๓ ชีวิตที่ดูราวกับห่างหายไปแสนนาน พร้อม ๆ กับการชักชวนหลานรักให้ลงไปช่วยถอนกล้าในแปลงนา ซึ่งน้องดินก็ไม่ลังเล ก่อนจะสวมรองเท้าบูทคู่ใหญ่อย่างเร่งรีบ โดยหมายจะลงไปเป็นส่วนหนึ่งกับการงานของท้องทุ่ง แต่ท้ายที่สุดก็เปลี่ยนใจ หันกลับมาชวนเจ้าแดนไทออกวิ่งเล่นตามคันนาอย่างฮาเฮแทน
(๗)
ท้องนาเป็นโรงเรียนอันกว้างใหญ่สำหรับชีวิต
มีบทเรียนจำนวนมากที่ซ่อนซุกรอการพลิกค้นอย่างไม่รู้จบ
ท้องนาเป็นผืนแผ่นดินแห่งการให้อันบริสุทธิ์แก่ชีวิต ขณะเดียวกันก็เป็นผืนแผ่นดินแห่งการเยียวยาชีวิตของคนเราด้วยเหมือนกัน
และนี่คือบันทึกประจำวันอีกวันหนึ่งของชีวิต ที่ผมถือได้ว่ามันเป็นความสุขที่มีตัวตน , แตะต้องและสัมผัสได้ ซึ่งเกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินอันคุ้นเคยของชีวิต
และนี่คือพื้นที่คุณภาพแห่งชีวิตอันดับต้น ๆ รองมาจากบ้านที่ผมปรารถนาจะมาเยี่ยมเยียนด้วยความรักเสมอมา ซึ่งนั่นก็รวมความถึงการนำพาคนของความรักมาเยือนด้วยเหมือนกัน !
และการมาเยือนในแต่ละครั้ง ก็เป็นการมาเยือนด้วยความรัก หาใช่การมาเยือนแบบสร้างภาพให้กับชีวิต และการพาคนของความรักมาเยือนในแต่ละครั้ง ก็เป็นการมาเยือนเพื่อให้รู้ถึงรากเหง้าของพวกเขาเอง ....
รวมถึงการตอกย้ำให้เขาได้รับรู้อย่างแน่นหนักว่า
ที่ตรงนี้
ไม่ว่าผ่านพ้นกี่ห้วงปี
ผืนแผ่นดินนี้ก็มิใช่แผ่นดินอื่น
หากแต่เป็นแผ่นดินของเรา
และเป็นผืนแผ่นดินอันคุ้นเคยอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
.......
๑๘ ก.ค.
๑๗ นาฬิกาเศษ
ทุ่งรักท้ายหมู่บ้าน
เป็นบันทึกที่แสนอบอุ่นมากค่ะ....ถ้าเม็ดดินทุกเม็ดได้รับความอบอุ่นแบบนี้...ปลูกต้นไม้ใดไปก็มีแต่งดงามค่ะ
คืนท้องทุ่งท้องถิ่นที่กำเนิด
กลับบ้านเกิดบ้านรักพบญาติมิตร
อุ่นไออุ่นจากอ้อมกอดซึ้งดวงจิต
หอมกลิ่นดินกลิ่นท้องนาน่าภิรมย์
สวัสดีครอบครัวผู้ได้คืนถิ่น
ฝากกอดหลานด้วยครับ
สวัสดีค่ะ
สวัสดีครับ คุณครูนก noktalay
ผมไม่ได้เขียนบันทึกว่าด้วยการเปลือยความสุขมานานแล้ว การได้กลับบ้านครั้งนี้ เป็นการเติมเต็มพลังชีวิต ให้ชีวิตได้กลับมาเขียนบันทึกแห่งความสุขของตนเองอีกครั้ง
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยม, นะครับ
อ่านบันทึกแห่งความสุขนี้แล้ว พลอยทำให้มีความสุขที่ได้สัมผัสความอบอุ่นท่ามกลางท้องทุ่ง ขอบคุณมากค่ะ
มาชื่นชมเกษตรกรน้อยสองหนุ่มครับ...
ขอบคุณมากครับ...
สวัสดีครับ คุณ ไก่...กัญญา
อ่านแล้วรู้สึกอบอุ่นมากๆเลยครับ
การให้ลูกได้ใกล้ชิดกับกับธรรมชาติ การให้ลูกใกล้ชิดกับปู่ย่าตายายและญาติพี่น้องอันเป็นครอบครัวใหญ่ ผมเชื่อว่าความอบอุ่นจากความรักเหล่านั้นจะทำให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรักมากมายที่จะให้กับสังคมครับ
สวัสดีครับ . paleeyon
คืนท้องทุ่งท้องถิ่นที่กำเนิด
กลับบ้านเกิดบ้านรักพบญาติมิตร
อุ่นไออุ่นจากอ้อมกอดซึ้งดวงจิต
หอมกลิ่นดินกลิ่นท้องนาน่าภิรมย์
ขอบคุณบทกวีที่แสนไพเราะข้างต้นนี้นะครับ
บางทีผมก็เขินที่จะเล่าเรื่องบ้านเกิดของตนเองเหมือนกัน เพราะผมไม่ค่อยมีเวลาได้กลับบ้าน ..
ผมมักมีภารกิจให้ดูแลกิจกรรมของนิสิตแทบทุกวัน ถึงแม้ทุกวันนี้จะละวางจากงานบริหารแล้ว แต่ก็ถือได้ว่า หลายอย่างยังเกี่ยวโยงกันอยู่ ครั้นจะทิ้งเฉยเลยก็คงไม่เข้าท่า
การกลับบ้านแต่ละครั้ง เป็นเสมือนการไปเติมไฟให้กับชีวิตดี ๆ นี่เอง ...
ผมเชื่อว่าหลายคนเป็นเช่นนั้น ..
และยังจะเวียนวนอยู่กับภาวะอารมณ์นี้อีกนานแสนนาน
...
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ...คุณครู หญ้าบัว
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมนะครับ เห็นเงียบหายไปพักหนึ่ง เข้าใจว่าการงานคงยุ่งมิใช่น้อย (ผมเองก็เช่นกัน - อิอิ)
สองหนุ่มกำลังโตวันโตคืน..
เล่นกันหนักขึ้นหนักขึ้น
บ่อยครั้งผมก็ช้ำ ..เพราะต้องเป็นเครื่องเล่นให้แกสองคนได้ประลองกำลังกัน
....แต่ก็สนุกและมีความสุขมากโขเลยทีเดียว...
ขอบคุณครับ
เห็นบรรยากาศแล้วคิดถึงบ้านครับ เป็นสิบปีแล้วครับที่ไม่ได้ลงนา
เตาฟิก ลูกคนเล็กของผมขวบครึ่ง ได้เจอย่าทวดแค่ครั้งเดียวครับ ทั้งหมดเพราะผมบ้างานนั่นเอง
อ้าว หายไปเหม็ดเลย มาอีกรอบเขียนใหม่ค่ะ
.... ดีมาชมภาพ น้องจุกน้องจอม หลายๆ ครั้ง ก็มิเบื่อ ....
*
และแล้ว คุณแผ่นดิน ก็ได้กลับสู่ ภูมิลำเนา
* ... * เห็นภาพแล้ว ดีใจ ชื่นใจแทนเลยค่ะ ...
* ... ทุ่งนานี้ ทุ่งนารัก ท้ายหมู่บ้าน
* ... อยากขับขาน ความนัยไปถึงเจ้า
* ... คิดถึงจริง คิดถึงจัง นะนงเยาว์
* ... ก็หายเหงา ได้มีเรา ร่วมรักเรียง
* - *
*... พรักพร้อม หน้าปู่ย่า ลูกหลาน
* ... เชื่อมสมาน สายใยรัก ถักทอศรี
* ... สีสันเจิด จ้าท้ารัก ริมนที
* ... อบอุ่นล้น กระไอรัก ประจักษ์ทรวง ...
* ...
* ท่าทาง 2 หนุ่มน้อยจะชอบ จนหายป่วยเลยกระมังค่ะ
* ชอบดู 2 หนุ่มมากๆ ค่ะ .. พุงกล๊ม กลม น่ากอดมากๆ
* ... มีความสุขมากๆ นะคะ คุณแผ่นดิน และครอบครัว
ขออนุญาติขำ ... นึกถึงหลานกับป๋าปูค่ะ ...
บ่อยครั้งผมก็ช้ำ ..เพราะต้องเป็นเครื่องเล่นให้แกสองคนได้ประลองกำลังกัน
อีก 2 ปี สงสัย คุณแผ่นดิน คงต้องรีบไปเพาะกาย นะคะ :)
สวัสดีครับพี่นัส...
เห็นน้องดินกะน้องแดนในภาพดังกล่าวแล้ว...(คันแค้ว..)ในความน่ารักน่าเอ็นดู
ผมค่อนข้างห่างหายและไม่เอาจริงเอาจังกะช่องทางการสื่อสารนี่ ส่วนมากเล่นเน็ตทีไรก็ดุแต่ASTVฮ่า...
พี่ครับซีไรต์ปีนี้พี่ว่าเป็นไงครับกับผลงาน9เล่มสุดท้าย...
สวัสดีคะ
สวัสดีครับ อ. ใบบุญ
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมนะครับ.
ผมเติบโตมาจากท้องทุ่ง ท่ามวิถีคนบ้านนอก และรู้สึกเสมอมาว่า สิ่งเหล่านี้อาจดูขาดเขินบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับกลายเป็นปมด้อยของตนเอง
การพาลูก ๆ ไปท่องเล่นเช่นนี้ เป็นการพาเขาไปสัมผัสเรื่องจริงและปฏิบัติจริง ส่วนเขาจะเล็กเกินกว่าการซึมซับเรื่องเหล่านี้หรือไม่นั้น ...
ตรงนี้, ..ก็สุดแท้แต่วาสนาก็แล้วกัน
ขอบพระคุณครับ
55555555555
เจ้าหัวจุก เอารูปมาฝากค่ะ กวนไหม อิอิอิ
สวัสดีครับ Mr.Direct
สบายดีนะครับ..
การได้พาเกษตรกรรุ่นเยาว์ทั้งสองไปลุยทุ่งครั้งนี้ ไม่เพียงเห็นความฉ่ำชื่นของพวกเขา
ผมเองก็ได้รับผลพวงของความฉ่ำชื่นเหล่านั้นด้วยเหมือนกัน
สวัสดีครับ อัยการชาวเกาะ
ผมอ่านถ้อยคำเหล่านี้แล้ว ทำให้ตนเองโล่งสบาย คล้ายกับมั่นใจในแนวทางที่ตนได้พาลูก ๆ ไปเรียนรู้อย่างมาก
การให้ลูกได้ใกล้ชิดกับกับธรรมชาติ การให้ลูกใกล้ชิดกับปู่ย่าตายายและญาติพี่น้องอันเป็นครอบครัวใหญ่ ผมเชื่อว่าความอบอุ่นจากความรักเหล่านั้นจะทำให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรักมากมายที่จะให้กับสังคม
....
ขอบพระคุณมาก ๆ นะครับ
สวัสดีครับ พี่ยาว เกษตรยะลา
สำหรับผมแล้ว.
ในระยะหลังนี้
พร่ำบอกกับตัวเองเสมอว่า
ท้องนา
ไม่เพียงให้กำเนิดและหล่อเลี้ยงชีวิตเท่านั้น
แต่ยังเป็นพื้นที่แห่งการเยียวยาชีวิตด้วยเหมือนกัน
โชคดีที่ทุ่งนาของผม
ไม่ค่อนขาดน้ำนัก
มีปลา หอย ..พอได้จับ
หากแต่น้อยกว่าอดีตอย่างเท่าตัว - เท่านั้นเอง
...
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ. อาจารย์จารุวัจน์
ยินดีที่ได้ทักทายกันอีกรอบ.
ชะตาชีวิตอาจคล้ายกันมาก ผมอยู่ใกล้แต่ไม่ค่อยยอมกลับบ้าน เพราะชีวิตบ้างานอย่างต่อเนื่อง บางทีก็อายที่เห็นพ่อกับแม่เป็นฝ่ายเดินทางมาหาหลาน ๆ เอง
สำหรับดินและแดนนั้น.
เขาโชคดีมากครับที่ได้พบเจอย่าทวดอยู่ประมาณ 4 - 5 ครั้ง หรือมากกว่านั้น เพราะเฉลี่ยแล้วผมจะพากลับไป จ.อำนาจเจริญอย่างน้อยก็ปีละ 2 - 3 ครั้ง
ท่านเพิ่งเสียแล้ว และเพิ่งได้รับพระราชทานเพลิงศพไปเมื่อสงกรานต์ที่ผ่านมา
สวัสดีครับ คุณปู poo
ตอนนี้ครอบครัวผม ยืนเรียงกันพ่อแม่ลูก เขาเรียกว่า ครอบครัวตัวกลมไปแล้ว .
ขอบคุณกลอนเพราะ ๆ ในสไตล์คุณปู นะครับ อ่านแล้วได้บรรยากาศอีกแบบ เขียนง่าย เข้าใจง่าย. และความง่ายนั้น ก็หมายถึงความงามด้วยเช่นกัน
ทุ่งนานี้ ทุ่งนารัก ท้ายหมู่บ้าน
* ... อยากขับขาน ความนัยไปถึงเจ้า
* ... คิดถึงจริง คิดถึงจัง นะนงเยาว์
* ... ก็หายเหงา ได้มีเรา ร่วมรักเรียง
* - *
*... พรักพร้อม หน้าปู่ย่า ลูกหลาน
* ... เชื่อมสมาน สายใยรัก ถักทอศรี
* ... สีสันเจิด จ้าท้ารัก ริมนที
* ... อบอุ่นล้น กระไอรัก ประจักษ์ทรวง ...
....
การมีทุ่งนาอยู่ท้ายหมู่บ้าน ดูจะเป็นลักษณ์ที่พบมากโขในสังคมไทย แต่โบราณก็มีคำเปรยไว้น่าคิดนะครับว่า "คนขี้เกียจต้องไม่มีนาอยู่ใกล้ถนน"
เพราะเดี๋ยวคนผ่านไปผ่านมาจะอับอายเสียเปล่า ๆ ..ไหนจะไม่ทำนา ไหนจะทิ้งขว้างให้ผืนนารกเรื้อไปอย่างน่าเสียดาย
ขอบคุณอีกครั้ง ครับ.
สวัสดีครับ น้องเหน่ง คนชายขอบ
ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับการเป็นคนแรกที่ได้รับทรานสคริปกิจกรรมนะครับ
ทุกวันนี้หลานซนทั้งสองก็ยังจำเหน่งได้เสมอ และบ่อยครั้งก็ถามถึงอย่างน่ารัก.
....
กรณีซีไรต์นั้น พี่ยังไม่ได้อ่านหรือตามประเด็นนัก รู้แต่ว่าเข้ารอบ 9 เล่มแล้ว และหนึ่งในนั้นก็มีพี่ฟิวส์ หรือ ทัศนาวดี (อ.สุทัศน์ วงศืกระบากถาวร) ด้วย ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดากลุ่มวรรณกรรมป่งใบที่เคยใช้ชีวิตอยู่ใน มศว.มหาสารคาม
ไว้จะพูดคุยถึงเรื่องนี้อีกรอบนะครับ.
พี่ขอให้เราเติบใหญ่อย่างมีคุณค่าสืบต่อไป
และโชคดีกับชีวิต
....
โชคดีครับ - พี่เป็นกำลังใจให้
สวัสดีครับ . คุณ ก้ามปู
....
.....
ผมเชื่อว่าหลายท่านก็มองในมุมเดียวกันนี้นะครับ. เพียงแต่ว่า จะมีใครสักกี่คนที่ผ่านพ้นไปสู่ ณ ที่ตรงนั้นได้
สำหรับผมแล้ว. ผมยังรู้สึกราวกับว่ากำลังทำสงครามกับการพลัดพรากจากบ้านเกิด. ยิ่งโตยิ่งเหมือนไกลออกไปจากบ้านทุกขณะ ตรงกันข้ามกับบ้าน หรือพ่อแม่กลับกลายเป็นฝ่ายเดินและวิ่งตามเรามาอย่างอ่อนแรง.
นึกแล้วก็เศร้าใจไม่น้อยเหมือนกัน
ขอบคุณครับ
ขอบคุณ นุ้ย มากที่ไม่เบื่อนำภาพเจ้าเด็กคนนี้ให่เรา ๆ ท่าน ๆ ได้ดูได้ชมอย่างต่อเนื่อง
พี่ว่าเจ้าแดนติดนุ้ยมากเลยนะ.
ไปกันสองคน ดีไม่ดีหลายคนทักเป็แม่ลูกเลยแหละ.
กะจะยกให้เป็นลูกบุญธรรม -พอไหว มั๊ย
อิอิ และอิอิ
สวัสดีค่ะอาจารย์
อ่านบันทึกแล้วมีความสุขใจมาก
ภาพทุกภาพสวยประทับใจค่ะ
หลานๆน่ารัก
สวัสดีครับ lesson
สบายดีนะครับ.
ผมเองพักนี้ก็ยังคงทำงานหนักเหมือนเดิม. มีอะไรให้คิดให้สะสาง หรือแม้แต่ริเริ่มอยู่อย่างท้าทาย
เดี๋ยวคงได้นำภาพของหนุ่มน้อยทั้งสองตะลุยทุ่งข้าวมาให้ชมอีกรอบ
ขอบคุณครับ
ดูแล้ว ก็อยากจาไปกาฬสินธุ์ขึ้นมาทันทีดูอบอุ่น นี่แหละเค้าเรียกว่า ครอบครัว .... ชอบน้องจุก มากค่ะ ขอบอกน่ารักมากมาย ขอเจอตัวเป็นๆสักครั้ง..... ได้อ่านกระทู้และโพสต์ก็มีความสุขทุกๆครั้งค่ะ...อยากไปบ้านแฟน(( แม๊ค ))ที่กาฬสินธุ์อยู่ที่นี่แหละค่ะ แต่ไม่ยอมให้กลับ.....เศร้า....^ ^
ครับ..อั๋นอิงค์ สะไภ้ ล๊อก 12
ดีใจที่ได้รู้จักนะครับ
วันหลังแอบกลับพร้อมผมและครอบครัวก็ได้นะครับ
เผื่อจะได้กราบปู่ย่าไปในตัว (ยิ้มๆ)..
อุ๊ย! ความสุขซุกซ่อนเต็มแผ่นดินเลย
น่ารักจัง ขอบคุณค่ะ