เพิ่งมีเวลาได้ดู “The Last Samurai” จนจบ ... คาดไม่ถึงว่า การเปลี่ยนผ่านทางสังคมจะเป็นเรื่องเจ็บปวดถึงเพียงนี้ ..... สังคมไทยที่มี “ความหลวม” ไม่ยึดมั่นกับอะไรมากนัก ยอมรับความเปลี่ยนแปลงได้ง่าย คงไม่รู้สึกอะไรมากนักกับการเปลี่ยนผ่าน ความรู้สึกเศร้าตอนหลวงประดิษฐ์ไพเราะถูกห้ามเล่นระนาด (ห้ามเล่นดนตรีไทยเพราะไม่ทันสมัย) ใน “โหมโรง” ยังไม่ให้ความรู้สึกบีบคั้นเท่าตอนที่ ซามูไรถูกกดตัวให้นั่งลง กระชากศีรษะเพื่อตัด “มาเกะ” หรือ ผมซามูไร
คนที่ไม่สนใจความหมายของ “การมีชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี” และวิธีคิดแบบ “บูชิโด” นั้นอาจจะไม่รู้สึกอะไรกับฉากนี้เท่าไร เกียรติของซามูไรคือการได้ทำหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่เพื่อปกป้องจักรพรรดิและประเทศ ดาบและผมซามูไร เป็นสัญลักษณ์ของจิตวิญญาณของชนชั้นนักรบที่ทำหน้าที่อย่างกล้าหาญมาแต่ครั้งบรรพบุรุษ เมื่อวันหนึ่งประเทศต้องการความทันสมัยและต้องการสิ่งที่มีประสิทธิภาพมากกว่า ปืนและเครื่องแบบทหารอย่างตะวันตกก็ถูกนำเข้ามาแทนที่ ซามูไรกลายเป็นสิ่งล้าสมัยและไม่จำเป็น เข้าใจได้ว่า การถูกจับตัดผมและการที่จักรพรรดิ์ไม่ยอมรับดาบซามูไรไว้จะเจ็บปวดสักเพียงใด การสู้เพื่อศักดิ์ศรีจนวินาทีสุดท้ายแม้จะรู้ว่าต้องแพ้ และการทำฮาราคีรี หรือฆ่าตัวตายเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของตนจึงเป็นเรื่องถูกต้องและควรกระทำ
เราเพิ่งได้คิดและตั้งคำถามกับตัวเองว่า ได้เคยเรียนประวัติศาสตร์ช่วงเปลี่ยนผ่านของหลายๆสังคมโดยไม่รู้สึกรู้สมอะไรมากนัก แท้จริงคงมีผู้คนมากมายที่เจ็บปวด สังคมผ่านช่วงต่างๆเหล่านี้มาได้อย่างไร “ความตาย” “ความขมขื่น” เป็นส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่ว่าในกระบวนการปฏิวัติหรือปฏิรูป โดยเฉพาะในที่ที่ผู้คนจริงจังกับชีวิตและความเป็นไปของสังคม
นึกถึงงานเขียนของกนกพงศ์ เรื่อง “แผ่นดินอื่น” ตอนที่พ่อเฒ่านั่งมองผืนดินที่แกเคยรู้จักมากว่าหกสิบปีคล้ายมองคนแปลกหน้า ตาน้ำที่เคยไหลซึมเข้ามาในดินหายไปไหน ธรรมชาติที่แกเคยรู้จักหายไปไหน แกไม่เข้าใจ และแกก็เริ่มจัดการชีวิตของตัวเองไม่ถูก (นั่นเป็นผลพวกของเทคโนโลยีใหม่ที่รัฐเข้ามาขุดเจาะ ทำให้แผ่นดินเปลี่ยนไป) เป็นฉากของ “การเปลี่ยนผ่าน” อีกฉากหนึ่งที่น่าเศร้าใจสำหรับผู้คนสามัญ
ความคิดมาจบลงที่สถาบันที่เติบโตมา ผู้คนในสังคมแห่งนี้เปลี่ยนไป “จิตวิญญาณ” และการให้ความหมายต่อหน้าที่ความรับผิดชอบเปลี่ยนแปลงไป ผู้คนเริ่มสื่อสารกันคนละความหมายเพราะมีเป้าหมายกันคนละอย่าง ก็เป็นอีกฉากของ “การเปลี่ยนผ่าน” ที่เกิดคำถามว่า จะอยู่กับมันอย่างไร
พุทธศาสนาบอกว่า อย่ายึดมั่นถือมั่น
แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยึดมั่นถือมั่น คือ "ความดี"
การเปลี่ยนผ่านของนิยาม "ความดี" และ "ความถูกต้อง" คือปัญหาที่แท้จริง
ที่นำไปสู่ความขัดแย้งและความขมขื่น
เขียนได้ดีมากๆเลยครับ
สวัสดีค่ะ
สวัสดีครับอาจารย์ปัทมาวดี
ผมเพิ่งมีโอกาสได้ดูภาพยนตร์ September 11 ซึ่งเป็นหนังสั้นสิบเอ็ดเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ 9/11
[ช่วงต่อไปนี้ เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์ครับ] พออ่านบันทึกของอาจารย์แล้วเลยนึกถึงเรื่องหนึ่งในภาพยนตร์นี้ ซึ่งเป็นเรื่องสุดท้ายในภาพยนตร์ กำกับโดย Shohei Imamura เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับ 9/11 โดยตรง เพราะกล่าวถึงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเสนอเรื่องราวของทหารที่กลับจากสงครามแล้วก็เปลี่ยนพฤติกรรมกลายเป็นสัตว์เลื้อยคลาน ไม่ยอมพูดจากับใคร ครอบครัวก็ลำบาก คนในชุมชนก็ไม่สบายใจ แม่ของทหารก็ช้ำใจ พูดตัดพ้อกับเขาว่าไปเจออะไรมาในสงคราม ถึงไม่อยากจะเป็นคนแล้ว สุดท้ายเขาก็ถูกไล่ออกไปจากหมู่บ้าน ข้อความส่งท้ายของเรื่องนี้คือ "no war is holy."
เรียกน้ำตาได้เลยครับประโยคนี้ ผมเข้าใจว่าข้อความส่งท้ายนี้มีพลังมาก เนื่องจากคนญี่ปุ่นถือเกียรติการปกป้องจักรพรรดิ และการทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ การที่ผู้กำกับญี่ปุ่นสื่อออกมาแบบนี้ ก็เท่ากับเป็นการยอมรับว่าการอ้างเอาความศักดิ์สิทธิ์เข้าทำร้ายทำลายผู้อื่นนั้น ก็เท่ากับเป็นการทำร้ายฝ่ายตนเองไปด้วย ผมเข้าใจว่าความต่างของชาติพันธุ์ ศาสนาและความเชื่อถูกใช้เป็นข้ออ้างในการทำร้ายทำลายกันมาตลอดประวัติศาสตร์มนุษย์ชาติ ทั้งที่จริงแล้วทุกศาสนาไม่ได้สอนให้คนฆ่ากัน
แต่การยอมรับความเปลี่ยนแปลง และความแตกต่างนั้นเป็นเรื่องที่ออกจะน่าลำบากใจครับ โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยเห็นความต่างหลากหลายในสังคมมาก่อน ยิ่งถูกสั่งสอนให้เชื่ออะไรสักอย่างฝังหัวแต่ยังเล็กและได้รับการตอกย้ำมาโดยตลอด (โดยเฉพาะในเรื่องความรุนแรง) ก็ยิ่งยากที่จะยอมรับความต่าง
ส่วนตัวผมรู้สึกเศร้าใจกับสถานการณ์ของบ้านเราตอนที่ผมเห็นนักวิชาการหลายท่านเข้าร่วมการชุมนุม และใช้ถ้อยคำไม่สุภาพ ตะโกนด่าฝ่ายตรงข้าม ผมว่าไม่น่าจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเลย คนเราพูดจาโวยวาย ด่าทอ สร้างความเกลียดชัง ก็ยิ่งทำให้ตัวเองตกต่ำลงไป จำได้ว่ามีอาจารย์มหาวิทยาลัยท่านหนึ่งเคยขึ้นไปให้ความรู้เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แบบนี้น่าจะดีกว่านะครับ
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับอาจารย์
สวัสดีครับท่านอาจารย์ปัทม์
มนุษย์ทุกยุคคงมีช่วงเปลี่ยนผ่านทั้งภายในจิตใจตนเอง และจากสภาพแวดล้อมภายนอกทั้งปรากฏการณ์ธรรมชาติ และปรากฏการณ์ทางสังคม
ตอนน้ำท่วมใหญ่คีรีวงปี2531 ผมฟังเรื่องเล่าที่สะเทือนใจว่าแม่ตะกรุยหาลูกที่ยังแบเบาะในน้ำที่เพิ่งหลุดมือจมหายไป นั่นเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิตที่มาจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ
สำหรับปรากฏการณ์ทางสังคมย่อมมีค่านิยม ความเชื่อ ฯลฯ หลอมรวมเป็นวัฒนธรรมที่แผกต่างกัน กดทับ แผ่ขยาย คุกคามชีวิตที่เปราะบาง
การศึกษาควรสร้างคนที่พร้อมเรียนรู้ในความเปลี่ยนผ่าน ที่สำคัญคือ การเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจที่เกิดขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์เป็นวงจรเกิดดับของความทุกข์และความสุข โดยมีความสงบเย็นเป็นที่หมาย เรื่องภายนอกก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะฝ่าข้าม
เป็นสัจจธรรมทุกประการครับ
ประเทศเรากำลังเผชิญ
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยียนและแสดงความคิดเห็นนะคะ ขอบคุณคุณชยพร คุณ pa daeng และคุณธัญศักดิ์มากค่ะ
สวัสดีอาจารย์เอก คุณแว้บ และคุณบางทราย อีกครั้งค่ะ ไม่ได้คุยกันนาน แต่ก็ยังอ่านงานของทุกท่าน และขอบคุณสำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ค่ะ ดูเหมือนทุกท่านก็มีข้อคิดและมุมมองในใจของตัวเอง ดีใจที่ได้ช่วยกันคิดช่วยกันมองค่ะ
สวัสดีอาจารย์ภีมค่ะ นอกจากความเห็นในเรื่อง "การเปลี่ยนผ่าน" แล้ว ในฐานะที่เป็นผู้ชม "the last samurai" เหมือนกันอาจารย์ภีมตีความเรื่องนี้อย่างไร อาจจะมีมุมมองอื่นที่แตกต่าง
การเปลี่ยนผ่านภายในจิตใจบุคคล อาจจะละเลยการเปลี่ยนผ่านทางสังคม (ตัวเองทำดีขึ้น หรือแย่ลง ไม่สนใจว่าสังคมจะเป็นอย่างไร) แต่การเปลี่ยนผ่านทางสังคม ย่อมกระทบต่อบุคคลที่เป็นสมาชิกของสังคมนั้น ไม่มากก็น้อย คนดีจึงอาจอยู่ยากขึ้นในสังคมที่แย่ลง