จิตตปัญญาเวชศึกษา 72: INTENTION


INTENTION

เราเคยพูดถึงปัญญาสามฐาน สมองสามชั้น กันมาก่อน มีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงของฐานกายกำเนิดความมุ่งมั่น ฐานใจกำเนิดความรัก ความเมตตา และฐานความคิดกำเนิดจินตนาการความสร้างสรรค์ เกิดชีวิตที่มีความหมาย หรือจะมองในด้าน beings เป็น ฉัน เธอ/เรา มัน ที่ในระดับสมุหะก่อกำเนิดเป็น ความงาม ความดี ความจริง สาระเหล่านี้ล้วนตอกย้ำให้เราได้มองเห็นถึงความสำคัญ และนัยแห่งความจำเป็น ที่เราควรทำความเข้าใจถึงความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงของสรรพสิ่ง เข้าใจถึงความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับเหตุปัจจัย และการมีสติ สมาธิ ที่จะเป็นตัวสำคัญในการดูแล รับรู้่ พฤติกรรม การกระทำ และเหตุการณ์ต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน

เบื้องหลังพฤติกรรม หรือกิจกรรม การกระทำต่างๆของเราทุกคน ก็จะมีเป้าหมาย ความตั้งใจ ความหวังแอบแฝงอยู่ ถ้าหากเรามีสมาธิ ตั้งอกตั้งใจฟังเรื่องใดเรื่องหนึ่ง นั่นคือเรามี Attention ในเรื่องนั้นๆ ไม่ทราบว่าถ้าจะเปรียบเป็น "จิตตะ" ในอิทธิบาท 4 จะได้หรือไม่ แต่ถ้าหากเราตั้งใจ ใส่ใจ ในเรื่ิองอะไรแล้ว เกิดความต้องการ มีวัตถุประสงค์ที่อยากจะให้เกิดอะไร มีการเปลี่ยนแปลงอะไร และไปจนถึงวางแผน หาทางที่จะทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ว่านี้ จาก attention ก็จะกลายเป็น intention ขึ้นมา ในภาษาไทยอาจจะเรียกเป็น เจตจำนง ความมุ่งมั่น หรือ "อธิษฐาน" จะได้หรือไม่

เจตจำนง อธิษฐาน

อธิษฐาน เวลาพูดถึง บางทีเราอาจจะคิดไปถึงแค่การภาวนาขอให้เกิดอะไร ต่อมิอะไร แต่อย่างที่เทพารักษ์กับคนตัดไม้ การภาวนาอยากให้เกิดอะไรนั้น มันจะมี "ที่มา" ที่แตกต่างกัน ว่าเป็น wholesome, unwholesome หรือเป็นเพราะความเห็นแก่ตัว หรือเพราะความรักความกรุณา ปัจจัยด้านที่มาของสิ่งที่เราภาวนา อธิษฐาน หรือตั้งใจมุ่งมั่นอยากให้เกิดนี้ "สามารถกลายเป็นส่วนหนึ่งของกลไก ผลักดันไปสู่สัมฤทธิผลได้ด้วย" พวกเราบางคนอาจจะเคยมีประสบการณ์ที่ว่าคิดถึงใครมากๆ ปรากฏว่าคนๆนั้นจู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้น หรือโทรมาหา หรือ email มาหา ฯลฯ เราก็ดีอกดีใจใน "ความบังเอิญ" ที่ว่านี้ คนบางคนอยากจะเรียนอะไรมากๆ ตระเตรียมความพร้อมเป็นอย่างดี จู่ๆครูคนที่เราอยากเรียนด้วยก็ปรากฏตัวมา หรือมีเหตุการณ์สนับสนุนที่ทำให้เราได้สมประสงค์ในรูปแบบต่างๆ อาจจะมีทุนการศึกษา อาจจะมีการเชิญคนๆนี้มาพูด ฯลฯ มีคำพูดว่า "เมื่อนักเรียนพร้อม ครูก็ปรากฏ" นั้นก็ การที่นักเรียน "อยากเรียนเหลือเกิน" ก็เป็นองค์ประกอบของคำว่า "พร้อม" ด้วยเช่นกัน การศึกษาเรื่อง intention ที่โยงใยไปถึง heart rhythm และคลื่น Electromagnetic Wave ที่แผ่รัศมีออกมาภายนอกร่างกาย สามารถแสดงให้เห็นการเกิดดุลประสานระหว่าง heartrate กับ brainwave ของคนสองคนเมื่อมีการสัมผัสกัน อาจจะช่วยอธิบายว่าทำไม เมืื่อเรามี intention เกิดขึ้นแล้ว บางครั้งอาจจะเกิดผลทางกายภาพต่อวัตถุ ต่อสิ่งแวดล้อม หรือแม้กระทั่งต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ

เมื่อวันก่อน ผมนั่งเครื่องบินจากหาดใหญ่จะไปดอนเมือง ปรากฏว่าต้องนั่งติดกับครอบครัวน่ารักครอบครัวหนึ่ง มีเด็กทารกอายุประมาณ 4 ขวบกว่าๆหนึ่งคนมาด้วย ผมนั่งอยู่แถวหลังเด็กคนนี้ก็จะชะโงกหน้าหันกลับมาล้อหลอกกับผมก่อนที่เครื่องจะออก แต่พอเครื่องกำลังเริ่ม take off เสียงมันดังมาก ปรากฏว่าเด็กคนนี้ก็ร้องไห้ดิ้นรนเสียงดังมาก พ่อแม่จะช่วยยังไงก็ไม่อยู่ ทั้งดิ้นรน ทั้งกรีดร้อง ทุบตีกรีดข่วนใครต่อใครที่พยายามจะมาช่วยเหลือ ผมกำลังอ่านหนังสือเรื่อง Intention Experiment ของ Lynne McTaggart เกี่ยวกับเจตจำนง เจตนารมย์ ที่มีผลต่อกายภาพรอบๆตัวอยู่พอดี เห็นว่าสงสัยจะอ่านต่อไปก็ไม่รู้เรื่อง ก็เลยปิดหนังสือ หลับตา บอกกับตัวเองให้สงบลง ให้ calm down ลง และขอเชื่อมโยงหัวใจของเราออกไปหาคนรอบๆข้าง ขอเชื่อมโยงความสงบของเรากับคนรอบๆข้าง อีกวูบหนึ่งผมรู้สึกตัว กำลังคิดว่าสงสัยจะหลับไป ปรากฏว่าเครื่องบินพึ่งตั้งลำได้ รักษาเพดานบิน แต่บรรยากาศรอบข้างดูจะสงบลงเยอะ เจ้าเด็กน้อยที่เมื่อสักครู่กำลัง scream แผดเสียง ยืนหันหลังเกาะเก้าอี้ มองผมตาแป๋วอยู่ ก็เลยยักคิ้วไปทีนึงให้ การเดินทาง trip นี้ก็สงบสุขสันติมาโดยตลอด

ครับ ก็คงจะมีเหตุผลมากมายที่จะอธิบายว่าทำไมเด็กที่กำลัง tantrum ถึงสงบลง เครื่องบินอาจจะนิ่งแล้ว เด็กอาจจะเหนื่อยแล้ว แต่แว่บนึงที่ผมรู้สึกว่าเราได้ "เชื่อมโยง" กัน และความสงบที่เกิดขึ้นในใจของเรา ถูก resonance หรือกำทอนกับอารมณ์ของคนรอบๆข้างได้

ภาพถ่ายเคอร์เลียน (Kirlian photography)

เป็นเทคนิกการสร้างภาพโดย high voltage electric field ที่แสดงปรากฏการณ์น่าสนใจของการ "แผ่" รูปแบบของอะไรบางอย่างจากวัตถุ หรือจากสนามพลังของสิ่งมีชีวิต

 

จากการศึกษาทั้งปรากฏการณ์ของ electromagnetic field, การใช้เครื่อง polygraph ของ Cleve Backster มาดัดแปลงเพื่อใช้ในการตรวจจับการตอบสนองของพืชต่อสิ่งแวดล้อม เครื่องมือของ Backster มีความไวในการตรวจมาก การเปลี่ยนแปลง biocommunication เพียงเล็กน้อย เครื่องมือนี้ก็จะสามารถบันทึกไว้ได้ Backster พบว่าเมื่อเราเอื้อมมือจับใบไม้ ต้นไม้ เครื่องมือ polygraph ที่ดัดแปลงของเขา สามารถจับการเปลี่ยนแปลงบางประการของสนามพลังรอบๆต้นไม้ได้ เขาได้ทำการทดลองต่อเกี่ยวกับ intentions โดยการ "ทดลองตั้งใจจะเผาใบไม้" ของต้นไม้ โดยที่ยังไม่ได้เผาจริงๆ แค่ตั้งใจเท่านั้น ปรากฏว่าทันทีทันใด ต้นไม้ที่เขากำลัง attention อยู่นั้น ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงของสนามพลังขึ้นมาทันที

มีคนทำการทดลองผลกระทบของ intention / attention หลายระบบ หลายระเบียบการวิจัย ที่น่าสนใจคือในเรื่องของการ healing หรือการเยียวยา ที่ถ้าหากใช้ healer หรือหมอรักษาความเจ็บป่วยโดยสนามพลัง (healer มีหลากหลายวิธี Reiki ก็เป็นหนึ่งในวิธีการเยียวยาโดยการแผ่พลังการรักษาจากมือของ healer) ก็มีการรวบรวมเอา healers หลายๆคน มาทดลองส่ง Intention ในการเยียวยา ปรากฏว่าคนไข้กลุ่มนี้มีอัตราการหาย การบรรเทาโรค แสดงออกมาได้ชัดเจนในหลายๆ parameters ที่วัดอยู่ อาทิ การวัดจำนวนเม็ดเลือดขาวในเลือดของผู้ป่วย AIDs เป็นต้น

สังคมในตอนนี้ เรากำลัง "รู้สึกกันอย่างไรต่อกันและกัน"?

ถ้าหาก "สนามพลัง intention" มีจริง เราอาจจะเริ่มสงสัยกันแล้วว่า สนามพลังที่ปลดปล่อยออกมาตลอดเวลา เพราะคนเราที่เดินไป เดินมา อยู่รอบๆตัวเรานี้ ก็มี intention หรือมีความปราถนา ความต้องการ อธิษฐานอะไรอยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน

คลื่นที่ปลดปล่อยออกมารอบๆตัวเรา เป็นพลังงานที่ยังไม่ได้จัดระเบียบ นักฟิสิกส์เคยบอกว่า อนุภาคแสงที่ออกมาจากหลอดไฟเล็กๆดวงหนึ่งนั้น ที่จริงมีพลังงานที่สูญเสียเปล่าจำนวนมหาศาล เพราะลักษณะของคลื่นพลังงานทั้งหมดเหล่านี้หักล้างกันไปหมด เหลือความสว่างกระจายรัศมีจากหลอดไฟออกมาไม่กี่เมตร แต่ถ้าหากเราคิดค้่นวิธีที่จะจัดระเบียบพลังงานทั้งหมด ทุกๆโฟตอน ที่ออกมาจากหลอดไฟ ให้เสริมซึ่งกันและกันได้ เราจะได้พลังงานที่สูงกว่าพลังงานบนพื้นผิวของดวงอาทิตย์เสียอีก concept เรื่องการจัดระเบียบพลังงาน และการสูญเสียพลังงานนี้ อธิบายว่าทำไมปรากฏการณ์ intentions ที่ไม่ได้มีการควบคุมบริบทสิ่งแวดล้อมที่ดี จึงไม่ได้พบบ่อยมากนัก

แต่เราก็ทราบดีว่า มีหลายครั้งครา ที่ "อารมณ์ร่วม" ของคนหมู่มาก ทำให้เกิดคลื่นความบ้าคลั่งที่ถ่ายทอดจากปัจเจกบุคคลไปเป็นสมุหะได้ ที่เราเรียกว่า mass hysteria หรือจิตหลอนหมู่ พลังงานที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์บางอย่าง อาทิ สนามรบ สนามกีฬา เทศกาลเฉลิมฉลองบางอย่าง ที่พลังงานหลากหลายดูเหมือนจะมีการ align ตรงกัน และเสริมกัน ผู้คนรู้สึกตนเองมีพลังงานมากขึ้นกว่าเดิม มากกว่าตอนอยู่ตามลำพัง เกิดความฮึกเหิม เกิดความมั่นใจ

เพียงแต่ว่าสังคมในปัจจุบันนี้ ดูจะมีความเสี่ยงอยู่ไม่น้อย เนื่องจากว่า "ความรู้สึกร่วม หรืออารมณ์สมุหะ" เดี๋ยวนี้ มันไม่ค่อยเป็นอารมณ์บวกเท่ากับอารมณ์ด้านลบ คลื่นพลังงานของความเกลียดชัง ความโกรธ ความอยากให้เกิดเรื่องเลวร้าย ดูเหมือนจะมีการจัดระเบียบเสริมพลังได้มากกว่า บ่อยกว่า คลื่นพลังงานด้านบวก ด้านการสร้างความดี ด้านการสร้างสันติ แม้แต่คนที่บอกว่ากำลังทำอะไรเพื่อความสุข ความสงบ ก็กำลังทำด้วยพลังงานอันพลุ่งพล่านดังน้ำเดือด ตะโกน ก่นด่า เต็มไปด้วยความรุนแรง จนกระทั่งพลังงานดิบพวกนี้แสดงออกเกินความหมายของสิ่งที่กำลังพูดไปอย่างหมดสิ้น

 

 

เป็นไปได้หรือไม่ ที่เราจะสร้าง collective thoughts ที่เป็นบวกมากขึ้น แทนที่จะมีแต่ collective hatre อย่างที่เราพบกันในปัจจุบัน?

คำสำคัญ (Tags): #intention#ms-pcare
หมายเลขบันทึก: 194508เขียนเมื่อ 16 กรกฎาคม 2008 12:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:18 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

อาจารย์หมอว่ามาหลายนัย ค่อนข้างจะเข้าใจยาก เป็นไปเชิงคาดหมายมากกว่า...

เฉพาะประเด็นสุดท้าย อาตมาคิดถึงการส่งใจเชียร์บอลหรือประกวดนางงาม... ถ้าเป็นไปได้แล้ว บอลของทีมชาติจีนหรือนางงามชาติจีนน่าจะชนะเลิศทุกคน เพราะมีผู้ส่งใจไปเชียร์เยอะกว่าตามจำนวนประชากร... แต่ผลไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป...

ไม่แน่ใจว่า อาตมาจะคุยเรื่องทำนองเดียวกัน หรือต่างประเด็นไปจากที่อาจารย์ต้องการบอกเล่า...

เจริญพร

นมัสการหลวงพีชัยวุธครับ

ผลไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะ intention เป็นเพียง "หนึ่งในเหตุปัจจัย" กระมังครับ

อืม... ก็น่าสนใจว่า "ถ้าทุกคน" ในประเทศจีนส่ง intention ไปให้กรรมการ หรือให้ใครก็ตามจริงๆ ผลจะเป็นเช่นไร แต่ขณะเดียวกัน คนทั่วโลกก็อาจจะมีใจให้นางงาม Venezuela มากกว่าจีนประเทศเดียวรึเปล่าก็ไม่ทราบ ผมคิดว่าเราคงจะ "สรุป" โดยปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่ได้จากการสังเกตผลใน community นั่นจึงเป็นที่มาของ intention experiments ที่ว่า

Intention เองก็มีหลายระดับความเข้มข้น และผลทางกายภาพก็ยังต้องไปประสานรวมกับอิทธิพลทางกายภาพอื่นๆด้วย กรณีนางงามก็คงจะเช่นเดียวกัน เราคงจะใช้ intention อย่างเดียวสะกดจิตให้นางงามตาเหล่ หน้าบิดเบี้่ยวชนะไม่ได้ เพราะ intention นี้ไม่มี "ทีมา" อันเป็นแรงผลักบริสุทธิ์

intention ที่เป็นแรงผลักบริสุทธิ์เช่นไร? ก็น่าจะเป็น intention ที่ออกมาจาก "ตัวตนที่แท้" ที่หล่อหลอมมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก รวมทั้งจากวัฒนธรรม จากอะไรที่เป็นเนื้อเป็นตัวเรา ไปสานรวมกับ "เหตุปัจจัยอื่นๆ"

ในการทดลอง intention experiments จึงเป็นการทดลองที่มี methodology ที่จะขจัดเอาตัวกวนต่างๆออกไป สิ่งตอบสนองก็เลือกเอาที่ที่มีปัจจัยเกี่ยวข้องน้อยกว่า (เช่นเลือกเอาสัตว์หรือพืชเซลล์เดียว) ควบคุมและ monitors สิ่งที่จะมี/ไม่มี intention หรือเหตุปัจจัยที่จะส่งผลไปยังผลลัพธ์ ตัวอย่างที่ simple มาก ที่มีคนทำการทดลองทั่วโลกก็คือการพยายามควบคุมการออกของลูกเต๋า ที่ผลลัพธ์ของ intention นั้น ถึงแม้ไม่ใช่ absolute คือ 100% เหมือนๆกับพลังจิตในทีวี แต่ Odd Ratio ของผลการทดลองเหล่านี้ มันเกิน "ค่าความบังเอิญ" ไปหลายล้านเท่าแค่นั้นเอง

ประเด็นที่อาจจะน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม ก็คือ จะเป็นไรไหม ถ้าหากเราเติม intention factor เข้าไปในกิจกรรมที่เราทำ ในชีวิตที่เราดำเนิน

แต่ก็นั่นแหละครับ ความน่าสนใจ ก็เป็นเหตุปัจจัย (และเป็นผลของเหตุปัจจัย) อีกประเภทหนึ่งเช่นกัน

นมัสการครับ

เคยได้อ่านบทความหลายๆ แห่ง บอกว่าการฝึก Tai Chi และ Qigong ช่วยเรื่องการฝึกสร้าง intention ได้ดี เลยสงสัยค่ะว่า healer ฝึก Tai Chi หรือวิธีการที่คล้ายคลึงกันหรือเปล่าค่ะ

อ.จันทวรรณครับ

อืม..รายละเอียดว่า healer ใช่เทคนิกอะไรบ้าง ไม่ได้มีบอกไว้ครับ มีการทดลองหนึ่งเขาแยก healers เป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งเป็น Reiki Expert อีกกลุ่มเป็น very well-known healer ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง (เข้าใจว่าเพิ่ม intensity จะได้เห็นค่าความต่างชีัดขึ้น ใน sample ที่น้อยลง)

Healers ในอเมริกาและอังกฤษดูเหมือนจะมีวิธีฝึก หรือเป็นความสามารถพิเศษของเขาเองด้วยส่วนหนึ่งครับ

สวัสดีค่ะ อ.หมอสกล

  • แหววสนใจประเด็นนี้มากๆ และก็เห็นด้วย จากประสบการณ์หลายๆ อย่าง ความรักความเมตตา ส่งผ่านกันได้ แม้ไม่ได้สัมผัส และยิ่งสัมผัส ก็ยิ่งแรงขึ้น  เคยสังเกตผลลัพธ์อย่างจริงจังเมื่อใช้กับครอบครัว กับผู้ป่วย เด็กเล็กที่ร้องให้ กับสัตว์เลี้ยงของคนอื่น สัตว์หรือปลาที่นำมาปล่อย หรือแม้แต่กับต้นไม้ที่เราปลูก
  • ส่วนปรากฏการณ์ที่ได้เจอกับครูอาจารย์ที่อยากพบนี่ น่าทึ่งมากๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ที่อ่านหนังสือ the Top Secret ก็รู้สึกว่าใช่เลย ยังเขียนไว้ ที่นี่ ค่ะ
  • ขอบพระคุณกับความรู้ในบันทึกนี้มากๆ ค่ะ เพราะต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ นี่ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งค่ะ..อยากรู้ก็ได้รู้ (รวมทั้งเรื่องราวหลากหลายที่มาหาความรู้แต่มิได้บันทึกร่องรอยไว้...ขอบคุณนะคะ)

ประเด็นเรื่อง intention กับการเยียวยา ใครไม่เจอกับตัวก็คงยากจะเชื่อค่ะ

เคยฝึกการรักษาแบบ Reiki แต่ไม่ได้เอามาใช้เพราะไม่ค่อยเชื่อว่าตัวเองจะทำได้ จนกระทั่งวันหนึ่ง มีน้องผู้หญิงที่มาเข้าแคมป์ฝึกอบรมป่วยเป็นไข้แต่ใจเธอสู้ ยังไงก็ไม่ยอมกลับบ้านจะอยู่ให้จบโปรแกรม เห็นแล้วรู้สึกสงสาร ในใจก็นึกอยากให้เธออาการดีขึ้นเลยเข้าไปทำ Reiki ให้ ผลปรากฏว่าน้องคนนั้นอาการดีขึ้นจริงๆ แถมบอกกับเราว่า "มือพี่ร้อนมากๆ เลยตอนที่รักษา"

กลับจากแคมป์ ก็มาทดลองทำ Reiki อีกให้กับเพื่อนอีกคนในที่ทำงานซึ่งมีอาการป่วย ที่ทำเพราะอยากพิสูจน์ ผลคือ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นค่ะ

Intention เป็นเรื่องที่สำคัญมากจริงๆ

สวัสดีครับคุณพชรวรัตถ์ (ขออนุญาตชมชื่อ เท่ห์มากเลยครับ ถ้าเขียนแบบไม่มีไม้หันอากาศ ก็ยิ่งน่าทึ่ง ฝรั่งคงงงว่าอ่่านได้อย่างไร พยัญชนะล้วนๆ)

ประสบการณ์ intention เป็นประสบการณ์ตรง และมักจะถูกยกเอาไปใส่ไว้ในเรื่องของความ "บังเอิญมั้ง" หรือ "แปลกดี"

ที่น่าสนใจก็คือ ถ้าเราไม่ได้คิดว่ามันแค่บังเอิญ หรือแปลก แต่เป็น "กลไก" อะไรบางอย่าง คิดแบบนี้จึงจะเกิด purposeful plan หรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

สวัสดีครับ คุณ suchada

Reiki เป็นหนึ่งในวิธีที่ Healers ใช้ในการเยียวยา และที่น่าสนใจมากก็คือ ดูเหมือนจะสามารถถูกถ่ายทอดให้ทำเป็นได้ ด้วย Learning curve ที่น่าตื่นเต้นทีเดียว อาจจะเป็นเพราะการเยียวยาให้กันและกันนั้น เป็นอะไรที่มนุษย์ถูกออกแบบมาให้ทำเป็น ทำได้ และอยากจะทำอยู่แล้วกระมัง (แต่เราลืมไป) และเหมือนกับที่ว่า คือ intention มีสัดส่วนของ "เจตจำนง" ที่ชัดเจน เจตจำนงที่ทรงพลังที่สุด ก็คือความหมายของสิ่งที่เป็นตัวตนของเรา เชื่อมโยงเราไปสู่ที่มา ไปสู่ "ความหมายของการมีเรา" ดังนั้นกิจกรรมที่แฝงไว้้ด้วย intention ทำนองนี้จึงมี "อะไรบางอย่าง" ที่นอกเหนือไปกว่า how to หรือ protocol ในขณะที่ทำอยู่

ในแง่การศึกษา ผมสนใจการจัดประสบการณ์การเรียนให้นักเรียนแพทย์​มี awareness หรือสติรับรู้ intention ของพวกเขา ณ ขณะปัจจุบัน ขณะที่กำลังทำแผล ขณะที่กำลังสัมภาษณ์ผู้ป่วย เพราะมาทำทีหลัง มันผ่านไปแล้ว intention ตอนนึกๆทีหลังมันไม่อยู่ที่เดิมอีกต่อไป อีกประการหนึ่งที่น่าสนใจ

ประเด็นที่คิดว่าอาจจะนำไปใคร่ครวญต่อก็คือ intention นั้นไม่ได้ "ทำให้เกิด" เสียทีเดียว

ตรงนี้อาจจะต้องท้าวความไปที่ quantum physics สักเล็กน้อย ในการศึกษาระดับ sub-atomic หรือระดับอณูย่อยๆลงไป ของที่เราเห็นๆว่าเป็นของแข็ง ของเหลว กาซ นั้น แท้ที่จริงประกอบไปด้วย "ช่องว่าง" เต็มไปหมดที่รายล้อมด้วย electron บ้าง  particles อะไรต่างๆบ้าง นั่นคือ เรา "รับรู้" ban of possibility ของการจัดรายล้อมอนุภาคเหล่านี้

เราไม่สามารถจะวัดตำแหน่งของอะไรได้แม่นยำเที่ยงตรงที่สุด ในขณะเดียวกับการจะวัดความเร็วในการเคลื่อนที่ของสิ่งนั้นๆ มันกลายเป็น "กลุ่มควันของความน่าจะเป็น" ของอนุภาคแทน

ผมคิดว่าในแง่ของ intention นั้น เราได้ shift ขยับ "ความน่าจะเป็น" อันนี้ไปในทิศทางหนึ่ง เนื่องจากเหตุที่เกิดออกมาเป็น "หนึ่งในความเป็นไปได้" ดังนั้นมันคงจะไม่ได้เห็นเป็นกลจักรที่ชัดเจน เหมือนการแทงลูกบิลเลียด กระแทกไปทางนี้ บอลจึงไหลไปทางนี้ แต่เหมือนการจับบ้านทั้งหลังเอียงนิดนึง ลูกบิลเลียดที่ไหลบนโต๊ะบิลเลียดในบ้านนี้ จึงเพิ่ม "ความเบี่ยงเบน" ไปตามการขยับของบ้าน (ต้องการให้จินตนาการเห็น scale ของการแทรกแซงของเรา กับความห่างของ event สุดท้าย) แน่นอน ตอนเราขยับบ้าน ทั้งนิเวศมันกระเทือนไปหมด ไม่ได้มีผลแค่พื้นเอียง แต่มีผลต่ออะไรต่อมิอะไรมากมาย 

น่าสนใจและน่าศึกษาต่อครับ

สวัสดีค่ะ คือ ตอนนี้หนูกำลัง ทำ topic conference เรื่อง reiki ค่ะ หนูอยากทราบรายละเอียด่ะ ว่าเริ่มต้นเขาทำกันยังไง และมีวิธีทำอย่างไรบ้างค่ะ

ขอบคุณค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท