*** คำขอร้อง ถึงนักศึกษาทุกคน ***พอเถอะค่ะกับการ copy มาตอบ**


การคิด วิเคราะห์ เริ่มต้นดูเหมือนยาก แต่ถ้าเรารู้จักใช้บ่อยๆก็กลายเป็นนิสัย

ถึงนักศึกษาทุกคน

 

สิ่งที่อาจารย์เรียนรู้จากพวกเราคือ วัฒนธรรมการ Copy ” มาตอบโดยไม่ผ่านการประมวลผลใดๆ และอาจารย์คิดว่านี่คือผลเสียของ Google นักศึกษา ควรใช้เครื่องมือให้ถูกที่ ถูกประโยชน์

 

หาก Search แล้ว Copy แล้ว Paste สิ่งที่นักศึกษาได้คือ  รู้ว่าเนื้อหานั้นอยู่ที่ไหน แต่ ไม่รู้ ว่ามีความรู้อะไรบนเนื้อหานั้น

 

อาจารย์พยายามบอก และย้ำเสมอกับพวกเราว่า

อยากให้ คิด วิเคราะห์ประมวลข้อมูลทั้งหมดที่เรามี เป็นความเข้าใจของเรา แล้วอธิบายมันออกมา

 

ฝึกให้เป็นนิสัย พวกเราจะได้ โตเป็นเด็กช่างคิด ไม่ใช่เด็ก Copy

 

เลิกเสียเถอะกับวัฒนธรรมการ copy”

 

ด้วยรัก

 

อาจารย์อร

 

หมายเหตุ

 

การ copyข้อมูลเค้ามาทั้งหมดโดยไม่มีการอ้างอิง นอกจากจะเป็นการเสียมารยาทแล้วยังเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เขียนด้วยนะคะ

 

 

คำสำคัญ (Tags): #ethic#it#sdu
หมายเลขบันทึก: 193582เขียนเมื่อ 11 กรกฎาคม 2008 18:57 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 00:59 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

 

ขอชมกับอีกหลายๆคนที่ทำความเข้าใจและยกตัวอย่างที่ตนเองคิด ดีมากค่ะ

รวมถึงบางคนอาจารย์ก็ได้ทำการแก้ไขแล้วส่ง email กลับไปให้พวกเราแล้ว

เข้าใจอาจารย์ค่ะ เจอมาเยอะเหมือนกันทั้งๆ ที่ไม่ได้สอน งานเอกชนก็เจอ นักศึกษาวุฒิภาวะยังด้อย บางครั้งก็ทำไปโดยไม่รู้ว่าผลร้ายนั้นสุดท้ายก็ตกแก่ตัวเขาเอง พูดไปเราเครียด เขาเซ็ง แต่ไม่พูดก็ไม่ได้เพราะเป็นหน้าที่ แนะนำบันทึกนี้ให้อ่านแล้วอาจารย์อาจจะสบายใจขึ้น หรือไม่แน่อาจจะจิตตกกว่าเดิมก็ได้ ลองวิเคราะห์เองค่ะ ชีวิตนี้ กับการ คัดลอกและวาง (Copy & Paste)

ที่มา http://gotoknow.org./blog/mrschuai/193355

จากความเห็นข้างบนอาจารย์เห็นว่าเป็นประโยชน์ให้พวกเราลองอ่านกันดูนะคะ

 

ชีวิตนี้ กับการ คัดลอกและวาง (Copy & Paste)

กราบสวัสดีครับทุกท่าน

    สบายดีกันนะครับ ช่วงนี้วุ่นๆ กับการเคลียร์หลายๆเรื่องก่อนจะมีการคัดลอกและวาง (Clear for copying and pasting) นะครับ มีหลายๆ บันทึกพูดเรื่องการ คัดลอกและวาง หรือบางคนย่อว่า C&P หรือ Copy and Paste นะครับ ดังนั้นผมคิดว่า ผมจะขอเล่าเรื่องการคัดลอก เลียนแบบ และวางของผมให้ฟังกันดีกว่านะครับ

    ตั้งแต่ปฏิสนธิ ก็เริ่มคัดลอกแล้วโดยการเอาโครโมโซม X จากแม่ และ Y จากพ่อคัดลอกลงไปวางในไข่เพื่อการปฏิสนธิ จากนั้นเซลล์ก็มีการเจริญแบบคัดลอกเพิ่มทำซ้ำจนเติบโตพร้อมจะออกมาจากครรภ์คุณแม่ครับ ร้องออกมาแกวๆ ตอนนั้น ไม่รู้ไปคัดลอกเสียงของบรรพบุรุษมามาอีกอย่างไร อาจจะเป็นเสียงร้องของพ่อแม่ที่เคยร้องมาก็ได้ครับ เลียนแบบตั้งแต่อยู่ในท้องเลยครับ ตอนแรกๆ ตายังไม่เปิด แล้วค่อยๆ เปิด มองอะไรยังไม่เห็นชัด ก็ค่อยๆ เห็นชัด เอาล่ะ เครื่องมือในการรับสารเริ่มพร้อมขึ้น  การส่งสาร การประมวลผล

    รับสิ่งต่างๆ ผ่านหน่วยรับข้อมูล ตา หู จมูก กายสัมผัส ใจ ลิ้น รับเข้าไปผ่านการประมวลผลจากนั้น ก็คือการ วางหรือการแสดงออกนั่นเองครับ  ตั้งเริ่มหัดยิ้มเลียนแบบพ่อแม่  เริ่มคลาน คัดลอกมาจากอะไรก็ไม่รู้ครับ บ้างก็ว่าสัญชาตญาณ หรืออะไรก็แล้วแต่ครับ ผมก็เริ่มยิ้ม หัวเราะ ส่งเสียง เลียนแบบไปเรื่อยๆ ครับ

    โตขึ้นมาหน่อย เริ่มหัดเดิน เลียนแบบเด็กๆ คนอื่น เลียนแบบสัตว์เลี้ยง แมว หมา ก็นี่ล่ะ คนกับการเรียนรู้ มันจำเป็นต้องเลียนแบบทำตาม อะไรคิดได้ก็คิด อะไรคิดไม่ได้ตอนนั้นตามวัยก็เลียนแบบ หาต้นแบบ เห็นทีวีก็เต้นรำ ตามละครทีวี ภาษาละครพูดไม่ชัดก็เลียนแบบในนั้น โตมาหน่อย เริ่มพูดตามเสียงพ่อแม่ พูดตามที่เคยพูด เคยเรียนรู้ จนเริ่มสร้างประโยคเองได้ผิดๆ ถูกๆ พอถึงวัยเริ่มวาดได้เขียนได้ ก็วาดใหญ่ครับ พ่อแม่วาดให้ดูก็วาดตาม ก่อนเข้าโรงเรียน ก็พ่อเขียนให้แล้วก็เขียนตาม คัดลอกและเอามาวางว่าทำแบบนี้ เลียนแบบให้เหมือนมากที่สุด กระบวนการเหล่านี้ผ่านสมองก่อนเป็นสวนใหญ่ จะมากหรือน้อยแล้วแต่รูปแบบกิจกรรมครับ

    จนเข้าโรงเรียน กิจกรรมการคัดลอกแล้ววางก็เกิดขึ้นมากมาย ตั้งแต่ ก.เอ๋ย กอ ไก่ เลยครับ เอาละคราวนี้เป็นจุดของการคัดลอก แล้วต้องคัดลอกให้เหมือนครูด้วยซิครับ เพราะออกเสียงผิด จะโดนบิดได้ หรือไม่ก็น้ำขึ้นน้ำลง สมัยนั้นเค้ายังยินดีที่จะรักศิษย์ให้ดีได้ ต่างจากปัจจุบันนิยมนี้ ตั้งแต่  ก. ถึง ฮ. และ กอ อา กา ... ไปจนถึง อำใอไอเอา ภาษาเราจะได้จากครูโดยไม่รู้ตัว  การคัดลอกสำเนียงจากครูต้นแบบจะเป็นไปโดยไม่รู้ตัว ลิ้นเราจะถูกปรับพฤติกรรมให้ตรงตามลิ้นของครูและเราฟังตัวเราเองไม่ออกหรอกว่าเราพูดอย่างไร เราคิดว่าเราพูดถูกแล้ว เว้นแต่จะคัดลอกลงแผ่นเทป แผ่นเสียงแล้วเอามาวางใหม่เข้าทางรูหูเราเข้าไปประมวลผล ว่า อ๋อ พูดทองแดงนี่นา อิๆๆๆๆ เชื่อไหมครับ ว่าผมเพิ่งมารู้ตัวว่าผมพูดทองแดงสำเนียงใต้เอาก็ตอนขึ้น ปริญญาตรีแล้ว ห้าๆๆๆๆๆ ทราบเพราะว่าอ่านบทเรียนเข้าไป คัดลอกเสียงตัวเองลงเทปแล้วเอามาวาง Paste ใส่เข้าไปในรูหูของตัวเอง อิๆๆ ขำดีแท้ครับ และหากเด็กในหมู่บ้านถูกส่งไปในเมืองหลวง เสียงเค้าก็จะต่างจากเราๆ เพราะเรามีต้นแบบที่แตกต่าง กัน ระบบการคัดลอกเลียนแบบก็ต่างกัน

 

    จนเรียนมาเรื่อยๆ ทักษะการคัดลอกและวาง ก็จะชำนาญมากขึ้น ประกอบกับความสมบูรณ์ของพัฒนาการทางสมองเติบโต ส่วนระบบคิดนั้นก็ต้องฝึกครับ เพื่อค้นหาว่าชีวิตตัวเองมีอะไรบ้างที่คิดเองได้ใหม่บ้าง คิดได้ต่อยอดได้เองบ้าง เพราะส่วนใหญ่ก็รับการคัดลอกมาจากข่าว สื่อทีวี วิทยุ ครู ในห้องเรียน นอกห้องเรียน จากธรรมชาติ แม้แต่การถ่ายรูปยังเป็นการคัดลอกและวาง เลยครับ เพียงแต่มันขึ้นกับเวลา บางทีเราหลงผิดไปว่า นี่เรารู้เราทำเอง ทบทวนกันแล้วเราจะทราบว่า เราคัดลอก Copy ผ่านการประมวลผล Process แล้วถ่ายทอดออกมาทางการวาง Paste พูดง่ายๆ คือ มีเข้า ประมวลผล มีออก เรื่องการเข้านั้น และออกนั้นสัมผัสได้ ส่วนการประมวลผลนั้น เราพิสูจน์กันยากครับ เพราะระบบคิดแต่ละคนต่างๆ กัน

    ผมเองโดยส่วนตัว มองเรื่องเหล่านี้เป็นการเรียนรู้ เพราะแต่ละคนมีกระบวนการเรียนรู้ที่แตกต่างๆ กันไปครับ คิดเอาเอง หรือรับจากธรรมชาติภายนอก ภายใน ด้วยกระบวนการรับรู้ ประมวลผล และแสดงออกนั่นเอง

    จนมาถึงการเขียนรายงาน หลายๆ คนในโกทูโนว์ ก็คงชินและสัมผัสกับการเรียนรู้แบบนี้กันอยู่แล้วครับ แม้แต่การเขียนงานวิจัยทางวิชาการ บางทีกว่าจะมาได้งานที่เราทำนั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลยเพียงแต่การตัดต่อคัดลอกและวางผ่านกระบวนการประมวลผล ใครตอบไม่ได้นอกจากตัวเราเอง บางทีประเมินคนอื่นก็ยาก เพราะเราคิดต่างจากคนอื่นเช่นกันครับ ซึ่งส่วนนี้อยู่ที่เราครับ ว่าจะคิดอย่างไร ผมเชื่อว่าแต่ละคน แต่ละวัน เรารับสารมากมาย สารที่รับมาเก็บไว้ เวลาผ่านไปถ่ายทอดที่จำๆ เอาไว้ ลืมต้นตอ เล่าต่อใหม่ เอาประโยคเดิมออกมา ก็มีคนฟังจากเราไป ก็ชื่นชมกันไป หากไม่ได้พูดถึงที่มาว่าใครกล่าวไว้ ตลอดจนการหลงตัวเองในบางครั้ง มีโอกาสทำให้เสียคนได้ง่ายๆ ตลอดจนข่าวลือต่างๆ นาๆ นี่ก็รวมอยู่ในกระบวนการ คัดลอกและวาง ทั้งนั้นครับ เพียงแต่ว่าจะเจือปนด้วยข้อผิดพลาดต่างๆแค่ไหนครับ  แม้แต่ตอนกลางคืนการเล่านิทานให้ฟัง พ่อแม่ผมก็ชอบเล่านิทาน ผมก็ต้องจำให้แม่น ไม่งั้นผมจะเอาไปเล่าเพื่อนที่โรงเรียนเพี้ยนไปจากเดิม นับว่าเป็นการคัดลอกจากเสียงเข้าไปเก็บไว้ในสมอง วางไว้ในสมอง ทบทวน แล้วต่อไปผมก็จะคัดลอกจากในสมอง เอาไปวางในอากาศผ่านทางเสียง หรือตัวอักษรให้เพื่อนๆ รับสารไปคัดลอกและวางต่อๆ กันไปครับ..........

    แม้แต่การนั่งเรียน ก่อนจะสอนเอ็นท์โควต้าเข้ามหาวิทยาลัย ก็ต้องคัดลอกจากทีวี ลงไปเก็บไว้ในสมองด้วย และสำรองไว้ในกระดาษเอาไปสอนเพื่อนกันต่อๆ ในตอนเช้าก่อนเข้าแถวหน้าเสาธง แบบนี้ก็ล้วนเป็นการคัดลอกและวาง อีกระบบหนึ่งเช่นกัน ผมทำงานในหน้าที่เป็นเพียงตัวนำสารเท่านั้น ไม่ได้เก่งอะไรเลย

    เข้ามาสอนในมหาวิทยาลัย ติวน้องๆ นักศึกษา ว่าไปแล้วไปหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ก็คือการคัดลอกประมวลผลและวาง เช่นกันครับ ไม่มีใครที่จะคิดเองทั้งหมด อันนี้ถามๆ กันได้ครับ คนที่เชี่ยวชาญเรื่องการอบรมทั้งหลายในประเทศนี้ บ้างก็คิดใหม่ ค้นพบเองใหม่ก็ต้องการจะถ่ายทอด ก็คัดลอกจากสิ่งที่ได้ วางลงไปบนสื่อให้คนอื่นรับทราบกันต่อไป..........

    การทำวิจัยก็เช่นกันครับ ส่วนใหญ่เป็นการต่อยอดเกือบทั้งสิ้น เป็นการเล่นแร่แปรธาตุ ผสมกับอะไรใหม่ๆ (ที่อาจจะไม่ใหม่จริงก็ได้) นำเสนอที่คนรับการเสนอ ไม่เคยพบมาก่อน (ไม่ได้หมายถึงว่าไม่เคยมีมาก่อน) ส่วนการคิดใหม่นั้นก็ต้องยอมรับนะครับว่ามีแน่ๆ แต่ส่วนใหญ่คือการคัดลอกแล้วประมวลผลอีกรอบ ด้วยฐานคิดของตัวเองและประสบการณ์แล้ววางลงไปบนสื่อ หรือสื่อที่เก็บข้อมูล ก่อนจะนำไปถ่ายทอดใหม่อีกรอบครับ...... แม้ผมเองเขียนโปรแกรมให้ใช้กันฟรีๆหลายๆ โปรแกรมผมก็ยังไม่กล้าบอกเลยว่ามันใหม่ เพราะสิ่งที่อยู่ภายในก็ล้วนดึงความรู้จากคนอื่นที่เค้าคิดกันมา นำมาปรับให้เข้ากับบริบทเพื่อแก้ปัญหาของเรา

ทุกวันนี้จริงๆ แล้วเราคิดอะไรเองใหม่กันบ้าง ในยุคไอทีนิยม?

    ร่วมแลกเปลี่ยนกันนะครับ  ความเห็นทั้งหมดนี้อาจจะผิดนะครับ....ผมคิดเอาเองเออเองนะครับ มีอะไรแลกเปลี่ยนร่วมกันครับผม  บทความนี้ไม่ได้มีหวังจะทำลายความภูมิใจของใคร เพียงแต่จะบอกว่าหากคิดลึกๆ แล้ว อะไรสำคัญที่สุด เกี่ยวกับความรู้..........สำหรับผมแล้วนั้น สิ่งที่ยิ่งใหญ่สุดคือ....การให้  ส่วนก่อนที่จะให้ได้นั้น เราจะทำอย่างไร คิดกันต่อ นะครับ

 

กราบขอบพระคุณมากครับ

เม้ง

 

แม้แต่การนั่งเรียน ก่อนจะ"สอน"เอ็นท์โควต้าเข้ามหาวิทยาลัย

ผิด1ที่ครับ

สมัยนี้เรื่อง การ C&P เป็นเรื่องที่ใครไม่ทำเนี่ยเหมือนจะเชยไปแล้วมั้งครับ

ไม่ว่าจะเป็นสถาบันไหน คณะไหน ขนาด คณะที่ไม่เป็นสองรองใครอย่างคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.ชื่อดังแห่งหนึ่ง ที่ผมเคยเรียนอยู่1ปีก่อนจะย้ายมาที่ สวนดุสิตแห่งนี้ ก็มีการ C&P ในบางวิชา ซึ่งมันดันเป็นวิชาหลัก ซึ่งมันใช้ในการประกอบอาชีพ หลังจากเรียนจบแน่นอน คุณยังทำกันไม่ได้ ถึงเรียนจบเป็นผมผมก็ไม่ยินดีกับตัวเองเท่าไหร่นักหรอก ผมลาออก เพราะผมรู้ตัวผมเองว่า ไม่มีความสามารถพอในคณะนี้

ขอพูดความในใจหน่อยนะครับ

"หากคุณตั้งใจเข้ามาเรียนที่คณะที่คุณอยากจะเรียนจริงๆไม่ว่าคณะไหนๆ คุณจะไป "คัดลอก" กันทำไม คุณคัดลอก เสร็จ มีงานส่ง คุณสบายใจ แต่ก็แค่ชั่วข้าม วัน ข้าม คืน หรืออาจจะข้ามปี แต่พอถึงคราวสอบ ไปทำงาน คุณแน่ใจหรือว่าคุณสามารถทำได้ จริงอยู่ที่บางคนคิดว่า เรียนจบแล้วมันจะได้ใช้หรอ อันนี้ผมไม่เถียงเพราะบางอย่างมันไม่ได้ใช้ แต่มันก็แสดงถึงความพยายาม ความใฝ่รู้ และคุณภาพ ของตัวคุณเอง ที่สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้หรือไม่ หากคุณคิดแค่ว่าเรียน ให้มันครบ 4 ปี เรียนให้มันจบ แล้วหางานทำ

ถ้าคุณเรียนอย่าง รวกๆแบบนี้ ผมรับประกันได้เลยคุณจะไม่มีทางได้เป็นเจ้าคนนายคน เพราะขนาดงานของพวกคุณ พวกคุณยัง ไปขอคนอื่นลอกกัน ซึ่งมันก็หมายความว่า คุณตกเป็นทาสของคนที่คุณขอ ซึ่งมันไม่ดีเลยต่อตัวพวกคุณเอง ซึ่งเค้าให้ข้อมูลเรามาแบบผิดๆรึเปล่าก็ไม่รู้ รู้แต่ว่า ของคนนี้ชัวร์ถูกแน่ ลอกเลย ถ้าหากคุณทำอย่างนี้ตั้งแต่ปี1 มันจะติดจนเป็นสันดารมากกว่านิสัย

เลิกเถอะครับ ลองทำด้วยตัวเอง ลองเรียนรู้ด้วยตัวเอง ลองศึกษาข้อมมูลจากอินเตอร์เน็ตด้วยตัวเอง

และสุดท้าย ลองสอบถาม ปรึกษากับอาจารย์ เชื่อผมเถอะครับ ไม่มีอาจารย์คนไหนที่จะปฏิเสธลูกศิษย์ที่กำลังร้องขอความช่วยเหลือ

คุณอย่าไปสนใจเกรด อย่าไปสนใจกับคะแนนมากนัก มันก็แค่กระดาษใบนึง ในวันจบการศึกษา

แต่หลังจากนั้น หากคุณไปสมัครงาน ถึงคุณจะมีปริญญานับสิบใบ สิบสาขา แต่คุณภาพคุณไม่มีเลยซักสาขาเดียว ก็ไม่มีใครเค้าจ้างคุณไปทำงานหรอกรับ และก็ต้องคิดที่จะไปเปิดกิจการเองนะครับ ขนาดตัวคุณยังบริหารไม่ได้เลย พังแน่ครับ

ส่วนคนที่ ลอก แต่ลอกแล้วทำความเข้าใจก่อนที่จะลอก หรือ ลอกแล้วมาทำความเข้าใจ อันนี้ผมถือว่าดีครับ อย่างน้อยก็ยังทำความเข้าใจ แต่ที่ดีที่สุด คืออย่าไป C&P เลยครับ

นักศึกษาที่ได้อ่าน ลองกลับไปคิดดูนะครับในหลายๆแง่

1.หากคุณเป็นอาจารย์แล้วเจอลูกศิษย์มา COPY งานมาส่งคุณจะรู้สึกยังไง

2.หากคุณเป็นคนที่รับสมัครพนักงาน คุณเจอคนจบเกรดดีมาก แต่คุณภาพไมมี กับคนที่เกรดปานกลาง แต่คุณภาพ เกิน100 ทำงานเป็น คุณจะเลือกใคร

3.หากคุณเป็นอาจารย์ แล้วลูกศิษย์มาขอความช่วยเหลือ เช่น ให้สอนการบ้าน แนะแนวทางในการทำรายงาน หรือปรึกษาสารทุกข์สุขดิบ คุณจะให้ความช่วยเหลือมั้ย

สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณอาจารย์นะครับ ที่ไม่ได้สอนแต่หนังสือ ยังสอนจริยธรรมให้ลูกศิษย์ อาจารย์แบบนี้ในยุคสมัยปี 2000+ หายากเต็มทีแล้วครับ

ปล.หากข้อความนี้ไม่เหมาะสมลบได้ครับ

แอบดูบันทึกอาจารย์เสียหน่อย แล้วนึกถึงบันทึกที่ผมเคยเขียนไว้ ไม่ทราบเหมือนกันว่า ไปกันได้ไหม ?

ขอให้กำลังใจครับ :)

ถึงนักศึกษาทุกคน

 

เนื่องจากอาจารย์ได้ตรวจงานของพวกคุณแล้ว และมากกว่า 90% ของนักศึกษาที่ส่งจะเป็นการ copy จาก website หรือ copy จากชีตที่อาจารย์ให้

 

ซ้ำร้ายยังมีการ copyแล้วส่งข้อความเดี๋ยวกันถึง 10 คน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นเป็นอย่างยิ่งกับการเรียน

 

ซึ่งอาจารย์ย้ำกับพวกคุณหลายรอบแล้วให้รู้จัก การคิด การวิเคราะห์ รู้จักอ่าน รู้จักหาข้อมูลแล้วมาทำความเข้าใจ ไม่ใช่การเอาของคนอื่นมาหาผลประโยชน์ (คือการทำส่งๆเพื่อให้ได้คะแนน)

 

ดังนั้นการตอบ email อาจารย์จะไม่ให้คะแนนส่วนนี้กับทุกคน

และหวังว่างานอื่นๆที่มอบหมาย อาจารย์จะได้รับการทำงาน ด้วยความพยายามในการเรียนรู้  การคิดและวิเคราะห์ ไม่ใช่ การ "คัดลอกของคนอื่นมาเป็นของตนเอง"

 

อาจารย์ขอชื่นชม......

สำหรับนักศึกษาหลายท่านที่ได้มีความพยายามในการทำงาน

และนำเสนองานตรงตามวัตถุประสงค์ของอาจารย์ คือการทำความเข้าใจเนื้อหา และนำเสนอด้วยแนวคิดของตนเอง

 

นักศึกษาได้ทำดีแล้ว อย่าเพิ่งท้อ

 

อาจารย์ศัชชญาส์  ดวงจันทร์

 

 

 

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท