ญี่ปุ่น เมื่อพูดถึงประเทศนี้ ทุกคนจะนึกถึงอะไร ชินกันเซ็น ซากุระ โตเกียว เทคโนโลยี ความเจริญต่างๆ ความมีวินัย ความรักชาติและอื่น ๆ ซึ่งประเทศญี่ปุ่น ถ้าว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว เป็นประเทศที่แพ้สครามโลกครั้งที่สองมาได้ไม่นานเท่าไหร่ ถ้าคนไม่มีวินัยจริง โอกาสพัฒนาประเทศจะน้อยลง ญี่ปุ่นที่เป็นอย่างนี้ได้ก็เพราะว่าระบบการศึกษาของเขามีมาตรฐาน ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ว่าจะชื่นชมเขาจนลืมความเป็นไทย เพียงแค่อยากจะถ่ายทอดให้เพื่อนๆ ได้รับทราบข้อมูลข่าวสารจากประสบการณ์ตรงของหนูมะขาม ที่มีโอกาสเดินทางไปสอนวัฒนธรรมไทยเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับนักเรียนโรงเรียนประถมในเขตจังหวัดมิยากิ
อันดับแรก ขอพูดถึงทรัพยากรก่อน ด้านบุคลากร ไปโรงเรียนประถมในเขตที่ห่างไกล ทั้งโรงเรียนมีนักเรียนทั้งหมด 25 คน ครู 10 คน ด้านห้องปฏิบัติการ ทุกโรงเรียนไม่มีความต่างกันด้านห้องปฏิบัติการคือ มีห้องปฏิบัติการครบครัน ตั้งแต่ห้องซ้อมดนตรีและเครื่องดนตรี เช่น เปียโน ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่นักเรียนทุกคนจะได้รับการสอนตั้งแต่อยู่ระดับประถมศึกษา เครื่องดนตรีอื่น ๆ จากนั้นเป็นห้องทำอาหารซึ่งในห้องปฏิบัติการทุกห้องนั้นจะมีอุปกรณ์พร้อมใช้งานเสมอ ๆ ห้องกระจายเสียง ทั้ง ๆ ที่เป็นโรงเรียนประถมแท้ ๆ แต่ตอนพักกลางวัน นักเรียนจะเป็นผู้ดำเนินการกระจายเสียง เล่าข่าวสารต่าง ๆ มีการทำหนังสือพิมพ์น้อย ๆ เพื่อเผยแพร่ข่าวสาร จากนั้นก็เป็นโรงฝึกพลศึกษา ห้องศิลปะ ห้องพยาบาล ห้องสมุด ซึ่งก็ดำเนินการโดยนักเรียนเช่นกัน แปลงปลูกผัก และห้องอื่น ๆ
อันดับสอง ระบบการศึกษา ครูกับนักเรียนจะไม่มีช่องว่างระหว่างกัน โดยตารางเรียนใน 1 วัน จะเริ่มที่
ตอนเช้า นักเรียนจะเดินมาโรงเรียน นักเรียนประถมไม่ได้รับอนุญาตให้ขี่จักรยานมาโรงเรียนนะคะ แต่นักเรียนจะเดินมาเอง รัฐบาลพยายามจัดการศึกษาให้มีมาตรฐานเท่ากันหมด ไม่ว่าจะอยู่ในชนบท หรือในเมือง เรื่องเกรดจะไม่มีความสำคัญกับนักเรียนเท่ากับความรู้ที่นักเรียนมี นักเรียนระดับมัธยมศีกษาตอนปลายเกรดจะไม่ถูกนำมาพิจารณาเพื่อเข้ารับการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย จะเน้นถึงความรู้ที่นักเรียนมีมากกว่า เข้าเรื่องต่อเลยนะคะ เมื่อนักเรียนมาถึงโรงเรียน ก็จะมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดพลศึกษาที่เก็บไว้ที่โรงเรียนและไปรวมกันทีโรงยิม จากนั้นครูกับนักเรียนก็จะพากันออกกำลังกาย วันที่ไปเป็นการออกกำลังกายโดยการเล่นกระโดดเชือกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ เข้าไปพร้อมกันหมด ทำเอาหนูมะขามขึ้นลงบันไดไม่ได้ไปหลายวันเลย ทั้งนักเรียนทั้งครูสนุกมาก จากนั้นเมื่อถึงเวลาเข้าเรียน ก็เลิกเล่น ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า อ้อลืมบอกไปนะคะว่านักเรียนสามารถแต่งตัวตามสบาย แต่ต้องใส่รองเท้าผ้าใบมา และมีรองเท้าผ้าใบไว้ที่โรงเรียน มีรองเท้าที่ใส่ในร้องเรียนทิ้งไว้ทีโรงเรียน นักเรียนจะไปรวมกันที่ห้องประชุมและแยกย้ายเข้าห้อง รอเวลาเข้าเรียน คาบเรียนละ 45 นาที พัก 10 นาทีระหว่างคาบเรียน
พักกลางวัน นักเรียนประถมจะต้องรับประทานอาหารกลางวันที่โรงเรียนจัดให้ จะพูดว่าโรงเรียนจัดให้ก็ไม่ถูก ต้องบอกว่า ในเขตจะมีศูนย์ทำอาหารและจะมีรถบรรทุกส่งไปตามโรงเรียนต่าง ๆ ซึ่งอาหารจะมีประมาณไม่มากเท่าไหร่ อิ่มพอดีสำหรับเด็ก ๆ มีนักโภชนาการคิดเรื่องสารอาหารที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน เมื่ออาหารมาถึงโรงเรียนก็จะมีเจ้าหน้าที่จัดแยกไว้ว่าสำหรับห้องไหน มีนักเรียนมาในแต่ละวันทเหร่ จัดตามจำนวน ครูใหญ่จะเป็นคนรับประทานอาหารก่อนว่ารสชาติแปลกไปหรือเปล่า เสียหรือไม่ ถ้าเสียก็จะห้ามรับประทาน ซึ่งที่ผ่านมาดำเนินงานมา 9 ปีก็ยังไม่เคยมีอาหารเสีย ด้านอาหารก็มีทั้งอาหารแบบญี่ปุ่นและแบบอเมริกัน เมื่อถึงเวลาพัก นักเรียนที่เป็นเวรบริการก็จะสวมเสื้อคลุม หมวก และไปรับอาหารมาจากห้องอาหารที่จัดแยกห้องไว้เรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็มาจัดโต๊ะในห้องเรียน ตักแจกเพื่อนในปริมาณเท่า ๆ กัน นักเรียนก็จะเดินเป็นแถวเข้ามารับอาหาร เป็นการปลูกฝังเรื่องการเข้าแถวไปในตัว เมื่อรับอาหารแล้วก็จะไปนั่งรอที่โต๊ะซึ่งจัดเป็นกลุ่มรอไว้ อาหารจะประกอบด้วย ข้าวกล่อง กับข้าว นม ซึ่งทุกคนต้องกินให้หมด เมื่อตักครบแล้วก็มานั่งให้เรียบร้อย มีผู้นำกล่าว อิตาดาคิมัส เริ่มกิน เมื่อเสร็จก็จะมีผู้นำกล่าว โกะจิโซะซามะเดชิตะ นักเรียนแยกขยะแต่ละประเภท กล่องนม พลาสติก เดินเรียงแถวไปวางไว้ที่โ กลุ่มบริการนำไปคืนห้องอาหาร บางโรงเรียนเมื่อทานเสร็จก็จะแปรงฟันพร้อมกันในห้องเรียนและเปิดเพลงไปด้วย ครูทีปรึกษาจะต้องทานอาหารกับนักเรียนด้วย จากนั้นก็ได้เวลาทำความสะอาดโรงเรียน ถูพื้นทางเดิน ถูห้อง ทำความสะอาดในเขตที่ตนเองรับผิดชอบโดยช่วยกัน ไม่มีการเกี่ยงงาน เสร็จแล้วไปเล่น
ตอนบ่าย เรียน เมื่อเรียนเสร็จก็กลับบ้านได้เลย ไม่ต้องรอกัน
เป็นอย่างไรบ้างคะสำหรับนักเรียนญี่ปุ่น พอไปเห็นก็รู้สึกทึ่งมาก ๆ ที่ทุกคนตั้งแต่ปอหนึ่ง ต้องฝึกช่วยเหลือตนเอง ทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ตนเอง กล้าแสดงความคิดเห็น คราวหน้าจะเป็นเกร็ดความรู้เกี่ยวกับการเรียนการสอนในห้องเรียนมาฝากค่ะ จ้าเนะ
ป.ล อยากฟังเรื่องอะไรถามมาได้นะคะ ถ้าเล่าได้จะเล่าให้ฟัง เป็นมุมมองของหนูมะขามนะคะ จากประสบการณ์ตรงค่ะ บาย มะขามจัง
ขอบคุณครับได้เปิดหูเปิดตา เด็กน่ารักมากครับ
น่าสนใจมากครับเรื่องนี้
ถึงจะไม่อยากเปรียบเทียบแต่ควรต้องเปรียบเทียบครับ
เราลองนึกเล่นๆนะครับ ความสมบูรณ์แบบของเรากับญี่ปุ่น ผมว่าไม่ต่างกันเท่าไหร่นะ แต่จุดสำคัญคือ "ความรักชาติ" ครับ เค้ามีเยอะ เราก็มีครับ แต่ไม่แสดงออก ที่บอกว่าไม่แสดงออกคืออะไร คือคนที่แสดงออกว่ารักชาตินั้น ลองถามตัวเองดูดีดีครับว่า รักจิงหรือไม่ ส่วนที่ไม่แสดงออกนี่มีมากครับ แต่เป็นคนเสียงเล็ก ไม่มีกำลังที่จะไป ดูแล
เอ ผมร่ายเข้าไปเกี่ยวกับการเมืองหรือเปล่าเอ่ย พอดีกว่าครับ
แต่สรุปว่า น่าชื่นชมครับ และอยากให้คนไทยเป็นแบบนี้ครับ
เช่นเดียวกันค่ะ อยากให้เด็กไทยเรามีวินัยบ้างค่ะ
สัดส่วนครูกับนักเรียนของเรา ถ้าได้สักครึ่งหนึ่งของเขาก็สุดยอดนะซี..คูณภาพจริงจริง
จ้า จะมากหรือน้อย ครูต้องเพียงพอก่อนจ้า
ต้องบอกว่า ประเทศไทย...ในวิมาน...อยากให้ประเทศไทยเป็นแบบนี้จังเลย วันนี้คำนวณเรื่องอัตรากำลัง(แบบไทย ๆ ครู 1/นักเรียน 20) ..ขาด 25 ปี 2553 จะได้สักกึ่งหนึ่งหรือเปล่า...ถ้าได้ก็ดีซิ..เด็กจะได้มีคุณภาพมากขึ้น
อืม ปัญหาสำคัญจริง ๆนะ ไม่มีครูก็ไม่รู้จะทำยังไงดี
วันนี้ได้นำเรื่องตะลุยโรงเรียนญี่ปุ่นของหนูมะขาม และหลาย ๆ เรื่องทั้งออนเซ็น ห้องส้วม
แบบไม่ต้องใช้น้ำ.. ไปเล่าให้เด็กม.1 ฟัง เขาอยากให้มีโรงเรียนอย่างนี้จังเลย คุณภาพจริง ๆ
ดูท่าทางเด็กๆเค้ามีความสุขกับการเรียนจังเลยค่ะ
แม่นีโอเคยไปชมพิพิธภํณฑ์หลายแห่งในญี่ปุ่น
รู้สึกชื่นชอบที่เค้ามีแหล่งเรียนรู้ให้เด็กๆ มากมายค่ะ
ค่ะ หนูมะขามพบว่าในหนึ่งจังหวัดเขามีพิพิธภัณฑ์มากมายหลายแบบสำหรับให้เด็กๆเขาเรียนรู้น่ะค่ะ พร้อมๆกับมีการร่วมมือกันระหว่างโรงเรียนกับบรรดาพิพิธภัณฑ์เพื่อจัดกิจกรรมเสริมความรู้ให้กับเด็ก ๆ อีกด้วยค่ะ
อยากทราบว่านักเรียนมีเรียนวิชาการงาน(งานฝีมือ งานประดิษฐ์ งานบ้าน งานเกษตร งานช่าง) เหมือประเทสไทยหรือเปล่า พอดีอาจารย์ให้ทำรายงาน การสอนวิชาการงานในญี่ปุ่น ไม่รู้เลยค่ะว่าเขาจัดกิจกรรมกาเรียนการสอนอย่างไรบ้างคะ