PARTICIPATION รูปแบบการจัดการความรู้ในชุมชน
จำได้เคยแสดงความคิดเห็นถึงรูปแบบการจัดการความรู้ในสถานศึกษา ช่วง17-23 มิถุนายนที่ผ่านมาได้มีโอกาสร่วมกิจกรรมการจัดการความรู้ของชุมชนในละแวกโรงเรียน ซึ่งเป้นเขตบริการของโรงเรียน ระดับหมู่บ้านได้จัดกิจกรรมถ่ายทอดความรู้การแปรรูปปลาดุกเป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบต่างๆ เช่นการทำปลานดุกร้า ปลาดุกแดดเดียว ปลาดุกฟู ก้างปลาดุกทอดกรอบ เป็นต้น อันเป็นโครงการของกระทรวงมหาดไทย ต่อเนื่องจากโครงการอยู่ดีมีสุขของรัฐบาลสมัยท่านสุรยุทธ์ เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นในบริเวณโรงเรียน ทางโรงเรียนได้ส่งเด็กนักเรียนระดับชั้น ป.5-6 จำนวน 13 คน เข้าร่วมเรียนรู้ด้วย ผู้เขียนมีโอกาสได้ร่วมกิจกรรมดังกล่าวอยู่หลายขณะ ได้พบเห็นกระบวนการถ่ายทดความรู้จากทฤษฏีสู่การปฏิบัติจริง ได้เห็นกระบวนการสร้างองค์ความรู้อย่างแท้จริงจากผู้รู้จำนวนหนึ่งสู่คนกลุ่มหนึ่ง จากผู้รู้รุ่นหนึ่งถ่ายโอนสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง กลายเป็นการเรียนรู้ที่แท้จริงของสังคมที่มีผู้เรียนคละเคล้ากันอยู่ของคนหลานร่น ตั้งแต่ป้าๆลุงๆ พี่ๆน้องๆ(นักเรียน) ผู้เขียนลึกๆมความรู้สึกดีใจที่กิจกรรมอย่างนี้เกิดขึ้นในชุมชน ด้วยเหตุผลดังนี้
กระบวนการจัดการความรู้เข้ากับทฤษฏี/หลักการCIPPA model ทีเดียว
1กิจกรรมดังกล่าวดำเนินการตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้เข้าร่วมโครงการ/กิจกรรมได้เรียนรู้และเกิดเป็นองค์ความรู้ในเรี่องที่รับการอบรมอย่างแท้จริง ทุกคนมีโอกาสเรียนรู้รับรู้ภาคความรู้การแปรรูปปลาดุก ได้ลงมือปฏิบัติจริง จนสรุปเป็นองคืความรู้ ตรงนี้ละคือconstruction
2. กิจกรรมดังกล่าวผู้เข้าร่วมการอบรมได้มีโอกาสสร้างปฏิสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด ได้เรียนรู้อุปนิสัยอย่างแท้จริง (ได้เห็นกิจเลสกันและกันด้วย)เราเรียกว่าinterection
3. กิจกรรมดังกล่าวมุ่งเน้นการนำความรู้ไปสู่การปฏิบัติจริง เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยทักษะหลายๆด้าน เช่นทักษะทางสังคม ทักษะทางปัญญา ซึ่งมีรายละเอียดอยู่มากมาย เราเรียกกระบวนการนี้ว่า process
4. กิจกรรมนี้สิ่งที่ได้เป็นรูปธรรมคือ product นั่นเอง
5. เราคาดหวังลึกๆว่าสมาชิกผู้เข้ารับการอบรมทุกคนสามารถนำองค์ความรู่ที่ได้ตลอดระยะเวลาการอบรม ไปประยุกต์ใช้ เพื่อยกระบชีวิตของตนเองและครอบครัว โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ข้าวของเครื่องใช้มีราคาแบบกระชากวิญญาณจริง ทางออกที่ดีในการประหยัดเงินตราในตรอบครัวก็คือการมีชีวิตอยู่อย่างพอเพียง ตรงนี้น่าจะเรียกว่า applecation/apply ได้นะ
สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ได้จากการอบรม ผู้เขียนว่าน่าจะดีมากๆ ก็คือ ผู้นในสังคม/ชุมชน จะลดการมั่วสุมไปในทางอบายมุขเป็นอย่างดี ไม่มีเวลามาอิจฉาริษยา นินทาชาวบ้านจะได้ลดๆลง จริงไหมครับ
ไม่มีความเห็น