อาจาริโยวาท เกี่ยวกับ "ความตาย" จากพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ (สุรจิตโต ภิกขุ)


มันจึงเป็นเช่นกฎธรรมชาติ เช่นนั้นเอง ... ไม่มีใครชอบการสูญเสีย เพียงแต่ต้องเข้าใจและรู้เท่าทัน

ท่านสุรจิตโต ภิกขุ ได้ประพันธ์หนังสือ "ตายแล้วไปไหน" แล้วอภินันทนาการมายังห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ผมชอบใจจึงได้หยิบยืมมาอ่าน นำแก่นมาใช้

อาจาริโยวาท เกี่ยวกับ "ความตาย" เป็นบทอยู่ท้าย ๆ ของหนังสือเล่มนี้ รวบรวมคำสอน หลักธรรม เกี่ยวกับ "ความตาย" โดยพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ อันเป็นที่เคารพกันในพุทธศาสนจักรของไทยนี้

ขอนำความเสนอท่านทั้งหลาย ดังต่อไปนี้

 

ผู้มีโภคทรัพย์ภายนอก มัวแต่หวงไว้ ไม่ใช้

เพื่อประโยชน์แก่ตน และ แก่ผู้อื่นตามสมควร

ก็ทำทรัพย์ให้ไม่มีประโยชน์เหมือนเศษดิน

ในที่สุดก็ต้องละทรัพย์นั้นไปด้วยความตาย

(สมเด็จพระสังฆราช กรมหลวงวชิรญาณวงศ์)

 

ถ้าใครกลัวตายเสียดายทุกข์

ชอบถือเอาความสนุกในการเกิดว่าเลิศเลอ

ผู้นั้นต้องจัดว่าลืมตัวมัวประมาท

และชอบผัดเพี้ยนเลื่อนเวลา ว่า เช้า สาย บ่าย เย็น

ไม่อยากบำเพ็ญความดี สำหรับตน ในเวลาที่มีฐานะพอทำได้อยู่

ความประมาทยังจะพาให้หลั่งน้ำตาด้วยความทุกข์ในสงสาร

ไม่อาจประมาณได้ว่า ยังอีกนานเท่าไหร่

จึงจะผ่านพ้นแหล่งกันดารอันเป็นที่ทรมานไปได้

(ท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตโต)

 

คนเราเวลาตาย ทำให้คนร้องไห้เศร้าใจ

แต่เวลาเกิด ทำให้คนหัวเราะชอบใจ ดีใจ

คนหัวเราะก็หลง คนที่ร้องไห้ก็หลง ไม่รู้ อะไรเป็นเหตุเป็นผล

ความจริง "ตายและเกิด" ก็อันเดียวกันนั่นเอง

เพียงแต่ว่าเขาเปลี่ยนกันทำหน้าที่เท่านั้นเอง

(หลวงปู่ตื้อ อาจลธมโม)

 

"ความเกิดมีแล้ว ความแก่ ความตายมันก็มีอยู่ ไม่มีใครพ้นตาย

ตายก็ตายเต็มแผ่นดินอยู่ เกิดก็เกิดเต็มแผ่นดิน

เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดอยู่นี้แหละ

สัจธรรมข้อนี้ใคร ๆ ก็พ้นไปไม่ได้ นั่งอยู่ก็ตาย นอนอยู่ก็ตาย

กินอยู่ก็ตาย ไม่กินก็ตาย เจ็บป่วยก็ตายได้ ไม่เจ็บป่วยก็ตายได้

ความตายมีอยู่ทุกฐานะสถานที่ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ

ความตาย มันครอบงำเราอยู่ทุกเมื่อ

เราต้องหาที่พึ่งอันประเสริฐไว้เสียแต่บัดนี้ แต่ยังมีชีวิตอยู่อย่างนี้

ยังแข็งแรงอยู่อย่างนี้ ถ้าร่างกาย จิตใจมันไม่อำนวย แล้วจะไป

คิดถึงอะไร จะไปยึดไปถือเอาอะไร เป็นที่พึงมันยาก"

(หลวงปู่แหวน สุจิณโณ)

 

แท้จริง จิต วิญญาณ มันมิใช่ของแตกของทำลาย

แลไม่ใช่ของสูญหาย .. ดังนั้น ใครอยากสวย ให้รักษาศีล

อยากรวยให้ทำทาน อยากปัญญาชาญให้ภาวนา

(หลวงปู่ฝั้น อาจาโร)

 

เราเกิดขึ้นมากี่ภพกี่ชาติ ก็มาหัดสติตัวเดียวนี้

แต่ไม่สมบูรณ์กันสักที

เหตุนั้นควรที่พวกเราจะพากันรีบฝึกหัดสติแต่บัดนี้

เราจวนจะตายอยู่แล้ว ไม่ทราบว่าจะตายวันไหน

ควรจะฝึกหัดสติให้อยู่ในเงื้อมมือของตนให้ได้

อย่าให้จิตไปอยู่ในเงื้อมมือของความหลงมัวเมา

ผู้ใดจิตไม่อยู่ในอำนาจของตนก็ได้ชื่อว่า เราเกิดมาเสียเปล่า

ได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าเสียเปล่า

ตายไปก็เปล่าจากประโยชน์

(หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)

โลก คือ รูป นาม กาย ใจ ของเรา ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้แน่นอน

ความไม่เที่ยง มีอยู่ที่ไหน ความเป็นทุกข์ ก็มีอยู่ที่นั้น

และความตายก็ไม่มียกเว้นแก่คนใดคนหนึ่ง

เรามีสิทธิ์ตายได้ทุกเวลา

(หลวงปู่สิม พุทธจาโร)

 

เมื่อเราเกิดมา ก็คือ เราตาย นั่นเอง

ความแก่กับความตายมันก็คืออันเดียวกันนั่นแหละ

เหมือนกับต้นไม้ เมื่อมีโคน มันก็มีปลาย เมื่อมีปลายมันก็มีโคน

ไม่มีโคน ปลายก็ไม่มี มีแต่ปลาย โคนก็มีไม่ได้

ดังนั้น เกิดนั่นแหละคือตาย ตายนั้นละคือเกิด

(หลวงพ่อชา สุภทโท)

 

เวลามีชีวิตอยู่ เราพึ่งอะไร เวลาตายไปเราจะพึ่งอะไร

เวลาตายไปโลกหน้าไม่มีการทำไร่ ทำนา

หรือว่าทำไร่ ทำสวน ซื้อถูก ขายแพง

แต่อาศัยคุณงามความดีที่สร้างไว้ เป็นอาหารทิพย์ เป็นเครื่องเสวย

นั่นแหละให้เราสร้างเอาไว้ นั่นแหละเป็นแก้วสารพัดนึกอย่างหนึ่ง

และเป็นคู่พึ่งเป็นพึ่งตนหนึ่งพึ่งไปตลอดจนอวสาน

ได้ถึงนิพพาน ก็เป็นอันว่าหมดปัญหา

เป็นผู้พึ่งตัวเองได้โดยสมบูรณ์

(หลวงตามหาบัว ญาณสมปนโน)

 

ความตายนี้ ใครจะเสียใจก็ตาม ไม่เสียใจก็ตาม

ใครจะชอบก็ตาม ไม่ชอบก็ตาม

ใครจะยินดีก็ตาม ไม่ยินดีก็ตาม

เมื่อถึงวาระมีอันเป็นไป ก็จะต้องเป็นไปตามกฎธรรมชาติ

ตราบใดที่เรายังปฏิเสธความจริง หรือ กฎธรรมชาติ

เราก็เป็นทุกข์ตราบนั้น

(หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)

 

 

มันจึงเป็นเช่นกฎธรรมชาติ เช่นนั้นเอง ... ไม่มีใครชอบการสูญเสีย เพียงแต่ต้องเข้าใจและรู้เท่าทัน

บุญรักษา ทุกท่านครับ :)

 

ป.ล. หากมีเวลา ผมจะปรับคำสอนเหล่านี้เป็นกราฟิกให้อ่านง่ายขึ้น ครับ :)

 

 

แหล่งอ้างอิง

 

สุรจิตโต ภิกขุ.  ตายแล้วไปไหน.  กรุงเทพฯ: ชมรมกัลยาณธรรม, ๒๕๔๙. 



ความเห็น (10)
  • สวัสดีครับ
  • มาอ่านและลงชื่อไว้ครับ ขอบคุณสำหรับ บทความดีๆ อาจาริโยวาท เกี่ยวกับ "ความตาย" จากพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ที่อาจารย์ได้กรุณานำมาโพสไว้นะครับ  อ่านแล้ว ก็ได้ฉุกคิดหลายๆ ประการ
  • ผมพึ่งอ่านหนังสือ กรรมทีปนี (วัดป่าอ่างศิลา จ.อุบลราชธานี) จบไป เมื่อวันก่อน
  • ทำให้อายชั่วกลัวบาป ขึ้นมามากโขอยู่ ครับ :)
  • ดีๆๆทั้งนั้นเลย
  • แต่ชอบอันนนี้มาก
  • แท้จริง จิต วิญญาณ มันมิใช่ของแตกของทำลาย

    แลไม่ใช่ของสูญหาย .. ดังนั้น ใครอยากสวย ให้รักษาศีล

    อยากรวยให้ทำทาน อยากปัญญาชาญให้ภาวนา

  • สาธุๆๆๆ

  • อาจารย์สบายดีไหมครับ

ขอบพระคุณ คุณ กวิน ครับ

หนังสือ กรรมทีปนี (วัดป่าอ่างศิลา จ.อุบลราชธานี) ... ผมเห็นอยู่ที่ห้องสมุดฯ เดี๋ยวจะลองไปหยิบ ลูบ ๆ คลำ ๆ ดูครับ

 

ขอบพระคุณ อาจารย์ ขจิต ฝอยทอง ผู้เป็นครูปฏิบัติดี ปฎิบัติชอบ เสมอ (เอ หรืออาจารย์ปฏิบัติไม่ดี ปฏิบัติไม่ชอบ ครับ)

สาธุ  .. สาธุ ค่ะ ท่านอาจารย์เสือ

- - แฟนพันธุ์แทะ เพิ่งกลับมาจากงานบวชน้องชายค่ะ

... มาขอแปะ ยังมิแทะแต่ประการใด .. ฝากไว้ก่อนนะคะ

- - ท่านอ. เป็นไงบ้างคะ บันทึกคงไม่สึกหรอ เพราะไม่มี

ปลวกหลวง มาทะลุทะลวง  ...  ไว้ไปอ่านก่อนนะคะ

ขอบคุณครับ คุณ poo ... ยังมิมีปลวกหลวงมาแทะ ครับ

อนุโมทนาสาธุบุญกุศลงานบวช ครับ :)

สวัสดีค่ะอาจารย์ Wasawat Deemarn

  • รู้สึกดี มีกำลังใจทุกครั้งที่เข้ามาอ่านใน บล็อกนี้
  • ....
  • ขอให้อาจารย์มีความสุขทุกวัน มีสุขภาพแข็งแรงนะคะ
  • ขอบคุณค่ะ

ความตายนี้ ใครจะเสียใจก็ตาม ไม่เสียใจก็ตาม

ใครจะชอบก็ตาม ไม่ชอบก็ตาม

ใครจะยินดีก็ตาม ไม่ยินดีก็ตาม

เมื่อถึงวาระมีอันเป็นไป ก็จะต้องเป็นไปตามกฎธรรมชาติ

ตราบใดที่เรายังปฏิเสธความจริง หรือ กฎธรรมชาติ

เราก็เป็นทุกข์ตราบนั้น

ยินดีและขอบคุณมากครับ คุณพยาบาล สีตะวัน :)

ความตาย เป็น กฎของธรรมชาติ .. หามีมนุษย์คนใดหลีกเลี่ยงไปได้

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท