เมียเขียน : คิดนอกกรอบ


บันทึกนี้ จิ๋ม เมียผมเขียนเองตั้งแต่เดือนพฤษจิกายน 2547 บังเอิญเหลือเกินที่ผมไปคุ้ยของเก่ามาเปิดเห็น ก็เลยคิดว่า เอาลงมาเก็บไว้ในบันทึกนี้ดีกว่า เดี๋ยวมันจะหายไปแล้วเสียดาย

         วันก่อนได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง พูดถึงการ คิดนอกกรอบ ซึ่งเริ่มได้ยินกันบ่อยๆในยุค ทักษิโณมิก : คิดใหม่ ทำใหม่ ซึ่งก็มีทั้งเรื่องดี และไม่ค่อยดี(จริง)ให้เห็นกัน ดังจะเห็นเรื่องราวในอดีตมากมาย โดยเฉพาะในเรื่องวิทยาศาสตร์ การสังเกต ทดลองทฤษฎีต่างๆ ล้วนแต่เกิดจากความคิดนอกกรอบของนักวิทยาศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ หรือนักอะไรก็แล้วแต่ การคิดอะไรแปลกๆแหวกแนวไปจากคนอื่น ซึ่งคิดว่าบ้าๆบอๆ เป็นไปไม่ได้ หรือผิดไปจากกฎเกณฑ์ที่มีมาก่อน เมื่อเวลาผ่านไป มันอาจจะกลายเป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ที่เป็นผลมาจากความคิดสร้างสรรค์ก็ได้ และยังได้ยินมาว่า ขณะนี้ ขนาดบริษัทมหาชนยักษ์ใหญ่ของไทย อย่างเครือซีเมนต์ไทย ยังรณรงค์ให้มีการคิดนอกกรอบกันเป็นการใหญ่

         

          เมื่อเขียนมาถึงตรงนี้ ก็ต้องนึกถึงลูกๆของพวกเรา บางครั้งความคิดของเด็กอาจจะคิดนอกกรอบ หรือถามอะไรแบบที่เราคิดว่าไม่เห็นจะน่าถามเลย และก็ไม่น่าตอบ ไม่น่าใส่ใจเลย จนบางครั้งทำให้เราไปปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขา ไปตีกรอบให้พวกเขาคิดตามเรามากเกินไปโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว ยกตัวอย่างง่ายๆ ตั้งแต่เราเกิดมา เราได้ยินและได้รับการสอนว่า แมวต้องร้องเมี๊ยวๆ แต่ทราบไหมคะว่า วันหนึ่งลูกสาว (น้องแป้ง) ทำเสียง เบ๊าววว....เบ๊าววว.... ก็เลยถามเขาว่า ลูกทำเสียงอะไร เธอก็บอกว่า เสียงแมวร้องไงคุณแม่ ก็เลยมานั่งนึกๆดู จริงสิ แมวข้างบ้านเรามันส่งเสียงออกมาอย่างนี้จริงๆ ยิ่งตอนนี้มันร้องหาคู่และแย่งคู่กันเกือบทุกคืนแทบไม่ได้นอน หากคุณไปทักท้วงหรือปฏิเสธความคิดนี้ของเขา แล้วบอกว่า ไม่ใช่หรอกลูก แมวมันร้องเมี๊ยวๆต่างหาก นั่นก็เท่ากับว่า คุณได้หยุดความคิดสร้างสรรค์ของเขาตั้งแต่วันนั้นไปแล้วก็ได้ แต่วันนั้นดิฉันกับคุณพ่อของเขาไม่ได้ทักท้วงอะไรไป ได้ยอมรับและร่วมทำเสียงแมวแบบที่เราไม่เคยทำมาก่อนเล่นกับลูกไปสนุกดี ส่วนเพื่อนของน้องแป้งอีกคน บ้านอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน วันหนึ่งพูดแต่คำว่า ต๊า..รืออออ   ต๊า..รืออออ พ่อแม่เขางงอยู่เป็นสัปดาห์ จนในที่สุด แม่ลูกสาวสุดที่รักก็เฉลยว่าเป็นเสียงแมวเหมือนกัน มันจึงทำให้เราคิดว่า แม้แต่สัตว์ชนิดเดียวกัน เด็กแต่ละคนยังคิดและฟังไปได้ต่างกันจริงๆ หากเป็นเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เด็กแต่ละคนตีค่า ให้ความหมาย และคิดสร้างสรรค์ที่แตกต่างกัน มันก็อาจจะทำให้เกิดมุมมองที่ไม่เหมือนกัน และอาจจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาและสังคมของพวกเขาในอนาคตได้

         

               ความคิดสร้างสรรค์หรือคิดนอกกรอบที่ไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์เก่าๆ มันไม่ได้พบในเด็กทุกคนก็จริง สอนกันไม่ได้ก็จริง แต่เราๆที่เป็นพ่อแม่ ครู ผู้ปกครอง สามารถกระตุ้นพรสวรรค์ ความคิดสร้างสรรค์ที่ซุกอยู่ในสมองส่วนใดส่วนหนึ่งในตัวลูกหลานของเราได้บ้าง อย่างน้อยก็ไม่ไปปิดกั้นความคิดของพวกเขาก็พอ

         

              ดังนั้น หากลูกเราช่างถาม ช่างสงสัย ช่างข้องใจไปเสียทั้งหมด มีคำว่า ทำไม จำไม อยู่ตลอดเวลา ผู้ใหญ่อย่างเราๆก็อย่าเพิ่งรำคาญหรือคัดค้าน ลองเปิดใจกลับมาคิดทบทวนและตอบคำถามของพวกเขา ชื่นชมเขาในความเป็นคนช่างคิด พิจารณา เพราะใครจะไปรู้ว่า คำถามหรือความคิดของเขาในวันนี้ มันอาจจะทำให้ทีชีวิตที่ดี ประสบความสำเร็จในอนาคตก็ได้ แต่ก่อนจะตอบคำถามนั้น เราควรจะบอกลูกรักก่อนว่า วันหลังจะถามคุณแม่ ลูกควรพูดชัดๆกว่านี้นะคะ ทำไมค่ะ ไม่ใช่จำไม

หมายเลขบันทึก: 187568เขียนเมื่อ 11 มิถุนายน 2008 22:32 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:46 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

หนุกๆ ชวนหมอจิ๋มมาเขียนเองที่นี่นะค่ะ เขียนนิดเขียนหน่อยก็ได้ค่ะ :)

คงจะยากครับแม่ลูกจัน

รายนี้ไม่ค่อยชอบเขียน อีกทั้งกว่าจะพิมพ์สักตัว บอกได้เลยว่า พี่แป้งพิมพ์เร็วกว่าเสียอีก แต่ถ้าเรื่องอ่านหนังสือนี่ บ่ยั่น

ปล. ท่าทางลูกจะหลับแล้วสินะ 23.06 เออสิ 5 ทุ่มกว่าแล้วนี่นา

สมัยก่อน ตอนที่ลูกยังเล็ก จิ๋มหลับเร็วมาก เพราะลูกผมตื่นบ่อย กินนมแม่ทั้งคืน ดังนั้น ว่างปุ๊บ หลับ (เอาแรง) ปั๊บ

ขออนุญาตคุณแม่ของลูกหรือยังคะ นำเรื่องของเธอมาเล่าน่ะ  คุณหมอ

ไม่ต้องขอครับ สามี ภรรยา ให้ถือเป็นบุคคลเดียวกันตามกฏหมาย

555  ขำคุณหมอ ในคคห.ที่ 4 อ่ะ  ระวังกลุ่มเฟมินิสต์นะคะ   อิอิ

โถพี่หนิงครับ

ผมน่ะเป็นพวกเสมอภาคและเท่าเทียมระหว่างเพศเสมอครับ ไม่ว่าจะเป็น ชาย หญิง ตุ๊ด ทอม ไม่เคยสนใจเลย

แต่นี่เขียนตามแบบกฎหมายครับ เห็นไหม ตอนเสียภาษี รายได้ของเมีย 40(2) ยังเป็นของสามีเลย บังเอิญเมียผมรายได้มาก แต่กลายเป็นว่า รายได้ส่วนนั้นมาลงที่ของผม (But Sob ที่สุดเลยครับ ฮา ล้อเล่นนนนนน)ฐานภาษีผมจึงมากขึ้นไปอีก

ใครๆก็รู้ว่าผมเทิดทูนเมียแค่ไหน ฮ่า ฮ่า

ตอนนี้ ก็เริ่มฟังคำถามว่า ทำไมๆๆ จากหลาน อยู่ทุกวันแล้วค่ะ อิๆๆๆ จะ 2 ขวบแล้ว

น่ายินดีสำหรับคำถามเสมอครับคุณศศินันท์

น่าฉงนไปก็หลายครั้งว่าถามได้อย่างไร

น่าสังเวชตัวเองไปก็หลายหนว่าตอบลูกไม่ได้

น่าชื่นใจที่เขาถามนั้น มากกว่าอย่างอื่นเลยครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท