ปาฏิหาริ์ยจากการปฏิบัติธรรม


ไม่ว่าจะเป็นตัวเรา พ่อและแม่ น่าแปลกมาก ที่ไม่มีใครบาดเจ็บตรงไหนเลย

วันนี้ครูป่านได้อ่านเมล์นี้ น่าสนใจ อยากให้ทุกท่านได้อ่านดูค่ะ

ปาฏิหาริย์จากการปฏิบัติธรรม?

โดย กติกา

เช้าวันอาทิตย์ที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๑ หลังจากไปใช้สิทธิเลือกตั้งตามหน้าที่ของประชาชนชาวไทยแล้ว เรา พ่อและแม่ รวมทั้งน้องสาวและแฟนน้อง ก็พากันไปปฏิบัติธรรมกันที่จังหวัดนครปฐม ซึ่งปกติจะไปกันเป็นประจำทุกเดือน

แต่ว่าวันนี้มีเรื่องราวไม่คาดฝันเกิดขึ้น ตอนขากลับบ้าน ขณะนั้นเวลาประมาณ ๑ทุ่ม พ่อเป็นคนขับรถ และในรถมีเพียง ๓ คน คือ พ่อ แม่ และเรา ส่วนน้องและแฟนอยู่คนละคันค่ะ ตามมาทีหลังไม่ได้ออกมาพร้อมกัน

ระหว่างทางซึ่งเป็นเวลาโพล้เพล้ พ่อขับรถมาด้วยความเร็ว ๘๐-๙๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็มีรถบรรทุกสิบล้อคันหนึ่งจอดอยู่ข้างทาง และก็ไม่มีสัญญาณไฟให้เห็นเลยว่ามีรถจอดอยู่ มืดสนิทเห็นแต่เงาตะคุ่ม ๆ แม่เป็นคนเห็นรถสิบล้อคันนั้น เมื่อวิ่งมาใกล้แล้วเท่านั้น จึงตะโกนบอกพ่อว่ามีรถจอดอยู่ ไม่แน่ใจว่าพ่อเห็นด้วยหรือเปล่า หรือจะเห็นเมื่อตอนแม่ตะโกนบอกก็ไม่อาจทราบได้

ทันใดนั้นพ่อหักพวงมาลัยออกทางขวาเพื่อหลบรถสิบล้อ โชคดีที่ไม่มีรถสวนมา แต่ด้วยความที่คิดว่าอาจจะมีรถสวนมา พ่อจึงหักพวงมาลัยเข้าทางซ้าย ซึ่งเป็นพงหญ้าข้างทาง ระหว่างนี้อาจเพราะความเร็วของรถ ทำให้รถเสียหลักหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ รถเกิดหมุนแล้วก็พลิกคว่ำลงไปในพงหญ้าลึกประมาณ ๓ เมตร

ในระหว่างที่รถหมุนและเกิดเหตุนั้น เรารู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา และพยายามบอกตัวเองว่า ต้องมีสติ ๆ ต้องมีสติ ๆ และหูก็ได้ยินเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทั้งเสียงกระแทก และเสียงกระจกแตก แต่ตาก็จ้องมองไปเบื้องหน้าตลอดเวลา ทำให้เห็นว่า รถคันที่เรานั่งอยู่นี้ กำลังพุ่งเข้าหากำแพงที่อยู่เบื้องหน้า (ข้างทางมีโรงงานตั้งอยู่) ใจตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่า "อย่านะ อย่าถึงกำแพงนะ" เพราะเรารู้ดีว่า หากรถถึงกำแพงจะเกิดอะไรขึ้น พ่อและแม่ที่นั่งอยู่ข้างหน้าเราจะเป็นอย่างไร? (เรานั่งอยู่ด้านหลัง และก็ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย แต่พ่อและแม่คาด)

และแล้วทุกอย่างก็พลันสงบลง เรารู้สึกถึงความเงียบที่เกิดขึ้น จึงสำรวจตัวเองว่าเป็นอะไรตรงไหนบ้างรึเปล่า? แต่ก็ปรากฏว่าไม่ได้เป็นอะไรเลย พลันก็นึกถึงพ่อและแม่ขึ้นมาเพราะท่านนั่งอยู่ข้างหน้า จึงร้องตะโกนถามท่านไป "พ่อ ! เป็นไรรึเปล่า...แม่ล่ะ เป็นอะไรรึเปล่า...? "

อึดใจหนึ่ง กว่าจะได้ยินเสียงท่านทั้งสองตอบกลับมา (ระหว่างนั้นรู้สึกได้เลยว่า หัวใจเต้นแรงมาก ด้วยความกลัวว่าท่านทั้งสองจะเป็นอะไรไป) แต่แล้วก็ได้ยินเสียงเหมือนเสียงสวรรค์ พ่อบอกมาว่าไม่เป็นไร ส่วนแม่บอกว่าเจ็บที่หัว ตอนนั้นรู้สึกเลยว่าใจมาเป็นกองเลย ค่อยยิ้มออกมาได้ ก็เลยถามแม่ว่า "แม่เจ็บที่หัวเหรอ เป็นอะไรอีกรึเปล่า แล้วที่อื่นล่ะ? " แม่บอกว่า "ไม่เป็นไร แต่ดูเหมือนว่าหัวจะโน..." (แม่หัวโนค่ะ ๒ ที่)

นอกจากนั้นก็ไม่มีใครบาดเจ็บตรงไหนอีก ไม่ว่าจะเป็นตัวเรา พ่อและแม่ น่าแปลกมาก ที่ไม่มีใครมีบาดแผลตรงไหนเลย แม้รอยถลอกก็ไม่มีให้เห็น คงมีแต่รถเท่านั้นที่เสียหาย เริ่มตั้งแต่หลังคาด้านหน้าที่แม่นั่งยุบลงมา กระจกด้านหน้าหลุดออกไปแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แล้วก็กระจกด้านข้างแตกเสียหาย ใช้การไม่ได้ แต่ที่น่าแปลกมากก็คือ สภาพรถตอนนั้นจากที่ว่า รถที่ทีแรกพลิกคว่ำ ตอนนี้กลับมาตั้งในลักษณะปกติ จอดนิ่งอยู่ในพงหญ้าข้างทางอย่างสงบ เหมือนมีใครจับวางยังไงยังงั้น มีเพียงร่องรอยของความเสียหายที่เกิดขึ้นเท่านั้น

ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็กุลีกุจอช่วยกันอย่างเต็มที่ ไม่มีใครคิดร้ายกับพวกเราเลย มีหลายคนเห็นสภาพรถแล้ว พากันบอกว่าคนในรถไม่น่ารอดได้ มีผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง ถามแม่ว่า " คนเจ็บหายไปไหนหมดแล้ว พาส่งโรงพยาบาลหมดแล้วหรือ? " แม่ยิ้ม แล้วตอบว่า "นี่ไง ยืนอยู่นี่..." แล้วก็ชี้มือมาที่ตัวเองและเรา ผู้หญิงคนนั้นทำสีหน้าประหลาดใจเป็นอย่างมาก เหมือนกับเจออะไรที่ไม่เคยเห็นมาก่อนยังไงยังงั้น

คืนนั้นกว่าจะนำรถกลับมา กทม.ก็ดึกมากแล้ว เลยไม่ได้บอกญาติ ยกเว้นน้องสาวที่ไปด้วยกัน พวกเราพาแม่ไปตรวจและเอ็กซเรย์แล้ว หมอบอกว่าไม่เป็นอะไร กะโหลกไม่ร้าว

จนถึงวันนี้ แม่และพ่อรวมทั้งเรา ก็ไม่มีอาการใด ๆ ผิดปกติเลย ปกติดีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยกเว้นรถเท่านั้นที่เสียหายยับเยิน ทุกคนที่ทราบข่าวต่างพากันแปลกใจว่า สภาพรถแบบนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีใครเป็นอะไร !
 
 
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เราได้เรียนรู้อย่างหนึ่ง ว่าเมื่อปฏิบัติธรรม เจริญสติบ่อย ๆ มากเข้า ๆ ทำให้มีสติ สติมาเอง เกิดเอง แม้จะอยู่ในภาวะคับขันก็มาได้เอง โดยที่เราเองก็ยังงงว่าไม่สติแตกเสียก่อน ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงจะสติแตกไปแล้ว

 

แต่คราวนี้มีสติตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนโทรแจ้งข่าวให้น้องสาวที่ไปปฏิบัติธรรมด้วยกันทราบเรื่อง ยังมีสติพอที่จะไม่บอกตรง ๆ ว่า รถที่นั่งมาพลิกคว่ำ เพราะเกรงว่าจะตกใจ จึงใช้คำพูดว่า "รถที่นั่งมาตกข้างทาง" ซึ่งน้องสาวมาบอกทีหลังว่า เข้าใจว่าพ่อขับรถเสียหลักตกข้างทางเอง ก็เลยเบาใจไม่ตกใจ แต่พอมาเห็นรถก็อึ้งไปเหมือนกัน เราเองก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่า ในภาวะคับขันแบบนั้น ทำไมถึงคิดอะไรได้ เป็นระบบ ไม่ตื่นตระหนกไปกับเหตุการณ์นั้น ๆ สามารถควบคุมตัวเองได้เป็นอย่างดี

แต่สิ่งที่ได้มากกว่านั้นคือทำให้เรารู้ว่า นับแต่นี้ต่อไป จะประมาทไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว ต้องมีความเพียรปฏิบัติให้มาก เจริญสติให้มากเข้า ๆ เพราะไม่สามารถรู้ได้เลยว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับเราบ้าง เตรียมพร้อมไว้ เพื่อความไม่ประมาทเป็นดีที่สุดค่ะ

 

หมายเลขบันทึก: 186518เขียนเมื่อ 6 มิถุนายน 2008 11:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 00:25 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

แบบนี้จะได้เป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง  พร้อมรับสถานการณ์ทุกรูปแบบ แผ่นดินไหว  น้ำท่วม  รถผลิกค่ำหลายตลบ  แต่พอสบายๆๆก็คอยจะเผลออะ

สวัสดีค่ะ พอลล่าเห็นด้วยค่ะ สติมาปัญญาเกิดค่ะ

คนมีบุญวาสนา สร้างบารมีไว้มากไม่ถึงคราวคงไม่เป็นไรหรอก ทำตีต่อเถอะนะครับ สร้างบารมีเยอะๆครับ ไม่เห็นเขียนนานแล้วพักหลังเงียบเลยนะครับครูป่าน...เป็นกำลังใจ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท