นายยศศักดิ์ คงมาก ผู้อำนวยการสำนักงานปกครองและทะเบียน กรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 4 มิถุนายน นี้ พ.ร.บ.คำนำหน้านามหญิง พ.ศ.2551 จะมีผลบังคับใช้ขึ้น ซึ่งจะทำให้สตรีมีทางเลือกในการใช้คำนำหน้านาม และชื่อสกุลได้ตามความสมัครใจ
ทั้งนี้ ผอ.สำนักงานปกครองและทะเบียน กทม. ระบุอีกว่า สำหรับผู้หญิงที่จดทะเบียนสมรสแล้ว จะใช้คำนำหน้านามว่า “นาง” หรือ “นางสาว” ได้ตามความสมัครใจ โดยจะต้องนำหลักฐาน ประกอบด้วย ทะเบียนสมรส ทะเบียนบ้านและบัตรปะชาชน ไปยื่นคำร้องขอเปลี่ยนที่สำนักงานเขตตามที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน
สำหรับหญิงที่การสมรสสิ้นสุดลง จะใช้คำนำหน้านามว่า “นาง” หรือ “นางสาว” ได้ตามความสมัครใจเช่นเดียวกัน โดยจะต้องนำใบสำคัญการจดทะเบียนหย่า ทะเบียนบ้านและบัตรประชาชน ไปยื่นคำร้องขอเปลี่ยนที่สำนักงานเขตตามที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเช่นเดียวกัน ส่วนหญิงที่จดทะเบียนสมรสแล้ว จะใช้ชื่อสุกลของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ได้ตามที่ตกลงกัน หรือต่างฝ่ายต่างใช้ชื่อสกุลเดิมของตนก็ได้ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ยื่นคำร้องไปแล้วทางเจ้าหน้าที่จะทำหนังสือรับรองให้ จากนั้นจะต้องไปยื่นคำร้องที่ฝ่ายทะเบียนราษฎร์เพื่อแก้ไขในทะเบียนบ้าน รวมทั้งเพื่อทำบัตรประชาชนใหม่ต่อไป
นายยศศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับหญิงที่กำลังจะจดทะเบียนสมรสนั้น ทางเจ้าหน้าที่จะสอบถามก่อนว่า จะใช้นามสกุลของใครและจะใช้คำนำหน้านามแบบไหน เพื่อดำเนินการระบุลงไปในทะเบียนสมรสเลย อย่างไรก็ตาม
สำหรับผู้หญิงที่ต้องการจะเปลี่ยนคำนำหน้านามก็มีข้อควรพึงระวังด้วยเช่นกัน เพราะจะต้องดำเนินการแก้ไขเอกสารที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น สมุดเงินฝาก โฉนดที่ดิน หนังสือเดินทาง เป็นต้น ซึ่งอาจจะสร้างความสับสนและวุ่นวายได้ ดังนั้นจึงอยากให้ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนคำนำหน้านามนั้น พิจารณาและไตร่ตรองให้ดีก่อนตัดสินใจ ทั้งนี้ จะต้องเดินทางไปเปลี่ยนที่สำนักงานเขตตามที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเท่านั้น โดยสามารถเดินทางไปเปลี่ยนได้ในวันและเวลาราชการตั้งแต่เวลา 08.30 - 16.30 น.
นายยศศักดิ์ คงมาก ผู้อำนวยการสำนักงานปกครองและทะเบียน กรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 4 มิถุนายน นี้ พ.ร.บ.คำนำหน้านามหญิง พ.ศ.2551 จะมีผลบังคับใช้ขึ้น ซึ่งจะทำให้สตรีมีทางเลือกในการใช้คำนำหน้านาม และชื่อสกุลได้ตามความสมัครใจ
ทั้งนี้ ผอ.สำนักงานปกครองและทะเบียน กทม. ระบุอีกว่า สำหรับผู้หญิงที่จดทะเบียนสมรสแล้ว จะใช้คำนำหน้านามว่า “นาง” หรือ “นางสาว” ได้ตามความสมัครใจ โดยจะต้องนำหลักฐาน ประกอบด้วย ทะเบียนสมรส ทะเบียนบ้านและบัตรปะชาชน ไปยื่นคำร้องขอเปลี่ยนที่สำนักงานเขตตามที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน
สำหรับหญิงที่การสมรสสิ้นสุดลง จะใช้คำนำหน้านามว่า “นาง” หรือ “นางสาว” ได้ตามความสมัครใจเช่นเดียวกัน โดยจะต้องนำใบสำคัญการจดทะเบียนหย่า ทะเบียนบ้านและบัตรประชาชน ไปยื่นคำร้องขอเปลี่ยนที่สำนักงานเขตตามที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเช่นเดียวกัน ส่วนหญิงที่จดทะเบียนสมรสแล้ว จะใช้ชื่อสุกลของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ได้ตามที่ตกลงกัน หรือต่างฝ่ายต่างใช้ชื่อสกุลเดิมของตนก็ได้ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ยื่นคำร้องไปแล้วทางเจ้าหน้าที่จะทำหนังสือรับรองให้ จากนั้นจะต้องไปยื่นคำร้องที่ฝ่ายทะเบียนราษฎร์เพื่อแก้ไขในทะเบียนบ้าน รวมทั้งเพื่อทำบัตรประชาชนใหม่ต่อไป
นายยศศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับหญิงที่กำลังจะจดทะเบียนสมรสนั้น ทางเจ้าหน้าที่จะสอบถามก่อนว่า จะใช้นามสกุลของใครและจะใช้คำนำหน้านามแบบไหน เพื่อดำเนินการระบุลงไปในทะเบียนสมรสเลย อย่างไรก็ตาม
สำหรับผู้หญิงที่ต้องการจะเปลี่ยนคำนำหน้านามก็มีข้อควรพึงระวังด้วยเช่นกัน เพราะจะต้องดำเนินการแก้ไขเอกสารที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น สมุดเงินฝาก โฉนดที่ดิน หนังสือเดินทาง เป็นต้น ซึ่งอาจจะสร้างความสับสนและวุ่นวายได้ ดังนั้นจึงอยากให้ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนคำนำหน้านามนั้น พิจารณาและไตร่ตรองให้ดีก่อนตัดสินใจ ทั้งนี้ จะต้องเดินทางไปเปลี่ยนที่สำนักงานเขตตามที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเท่านั้น โดยสามารถเดินทางไปเปลี่ยนได้ในวันและเวลาราชการตั้งแต่เวลา 08.30 - 16.30 น.
ที่มา............และแหล่งศึกษาเพิ่มเติมค่ะ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?id=33994&catid=4
น่าชมเชยว่าเกาะติดสถานการณ์ดีเยี่ยมค่ะ เป็นสิ่งที่ใหม่จริง ๆ สำหรับเมืองไทย แต่ว่ามีคนแซวว่าแล้วจะกลับไปใช้นางสาวอีก คราวนี้จะขายออกไหมเนี่ย!..เฮ้อ..เฮ้อ..แวะมาทักทายค่ะ