วันนี้เป็นวันเกิดของพี่นุ้กค่ะ วันที่ 17 เมษายน ไม่น่าเชื่อว่าเราจะสามารถชวนให้คนมาบวชเนกขัมมะรับวันเกิดได้ตั้ง 2 คน (อนุโมทนา สาธุ) พี่นุ้กเป็นเคสที่น่าสนใจมาก จากคนที่ไม่ชอบพระ ไม่อยากเข้าวัด จากคนที่แค่ตั้งใจมาดูลาดเลาที่วัด 1 คืน ตอนนี้บวชได้ 7 วันแล้วค่ะ บวชจนลืมไปเลยว่า วันนี้เป็นวันเกิดตัวเอง ดีนะคะที่นึกขึ้นได้เมื่อวานนี้ ก็เลยตั้งใจทำบุญวันเกิดถวายภัตตาหารเช้าแก่หลวงพ่อ ตอนเช้าพี่นุ้กกับพี่กฤช (สามีพี่นุ้กเป็นอาจารย์วิศวะ มศว. กำลังเรียนปริญญาเอกที่ AIT เป็นคนที่ชักชวนและสนับสนุนให้พี่นุ้กเข้าวัด ปฏิบัติธรรม) สวดมนต์ทำวัตรเช้าเสร็จแล้วก็รีบออกไปตลาด ซื้อของมาทำบุญ แพรกับปิ๊ก พี่จุกก็เลยพลอยได้บุญไปด้วย
พอได้เวลาฉันเช้าพระตีระฆังแล้ว พวกเราก็ไม่ขึ้นไปบนศาลาหรอกค่ะ อยากได้บุญค่ะก็มาช่วยกันถวายภัตตาหารเช้าหลวงพ่อ นิมนต์หลวงพ่อไว้ตั้งแต่เมื่อวานค่ะ ระหว่างที่หลวงพ่อฉันพวกเราก็มีโอกาสได้สนทนาธรรมกับหลวงพ่อด้วย หลายเรื่องค่ะ สอบอารมณ์ด้วยค่ะ แต่เรื่องที่น่าสนใจ พอเราฟังแล้วเก็บมาคิด วิเคราะห์ จับประเด็น ตีความกับพี่นุ้ก มีดังนี้ค่ะ
1. เราถามหลวงพ่อว่า รูปพระสงฆ์ที่ใส่แว่นตาดำ ที่แขวนไว้ด้านหลังเก้าอี้หลวงพ่อ เป็นใครค่ะ หลวงพ่อเล่าว่า เป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อ คือ พระมหาสีสยาดอ (โสภณมหาเถระ) ท่านเล่าว่า ตอนนั้นไม่รู้เป็นยังไง ได้ยินใครบอกว่าพระรูปไหนเป็นพระอรหันต์ ท่านก็ธุดงค์ไปหา ไปเรียนกรรมฐานจากพระท่าน แปลกนะ พระท่านก็ออกมายืนรอรับ แล้วบอกว่ารอมานานแล้ว (อืม...แปลกจริงๆค่ะหลวงพ่อ ….) พอท่านฝึกกรรมฐานที่นั่น พระอาจารย์ท่านก็ให้ปฏิบัติเอง ไม่ได้บอกอะไร ท่านก็นั่งของท่านไป แล้วก็ขอสอบอารมณ์ สอบได้ 3 ครั้ง พระอาจารย์ท่านก็บอกว่า ไม่ต้องมาสอบแล้ว ได้แล้ว (เอ๊ะ..หมายความว่าไงน๊า..)
2. เราถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อไปทำบุญที่วัดอัมพวันหรือค่ะ (เราชี้ไปที่รูปถ่ายของหลวงพ่อกับหลวงพ่อจรัญ) หลวงพ่อเล่าว่า มีโยมนิมนต์ให้ท่านไปที่วัด เพราะท่านไปแล้วหลวงพ่อจรัญท่านก็หายป่วย (เอ๊ะ..หมายความว่าไง) หลวงพ่อจรัญเป็นโรคอะไรค่ะ ท่านบอกว่า โรคกรรมค่ะ ท่านไปหลวงพ่อจรัญท่านก็ถวายปัจจัยมาช่วยสร้างวัด 100,000 บาท ท่าน (หลวงพ่อ) ก็เลยไม่กล้าไปอีกเลย (อืม...ทำไมท่านไปกราบหลวงพ่อจรัญแล้วหลวงพ่ออาการดีขึ้น....)
3. เราถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อเป็นอะไรกับหลวงพ่อจรัญค่ะ หลวงพ่อยิ้ม ไม่ตอบค่ะ มีข่าวลือมาจากลูกศิษย์ของท่าน เค้าเล่าว่า หลวงพ่อเป็นเณรค่ะ เณร ในที่นี้ คือ เณรในเรื่องนารีผล ที่ดร.สุจิตรา เขียนเล่าว่า ตอนที่หลวงพ่อจรัญไปเข้าศึกษาปฏิบัติธรรมกับพระราชสิทธิมุนี(โชตกมหาเถระ) วัดมหาธาตุนั้น หลวงพ่อไปกับเณรทองดีค่ะ (ถ้าจำไม่ผิดนะคะ) เณรตั้งใจเรียน ตั้งใจปฏิบัติมาก ได้ญาณ 16 ก่อนหลวงพ่อ ไว้เพื่อนๆไปหารายละเอียดอ่านดูนะคะ (อืม...หลวงพ่อต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับหลวงพ่อจรัญแน่ๆ แล้วอะไรล่ะ...)
4. เราถามหลวงพ่อเรื่อง สภาวธรรมต่างๆ ที่ได้จากการปฏิบัติ แล้วหลวงพ่อก็เล่าว่า มีคนมาหาหลวงพ่อ เค้าบอกว่า เค้าหาคนสอบอารมณ์ให้เค้านานแล้ว เพราะเค้าคิดว่าเค้าบรรลุธรรมแล้ว มีคนบอกให้เค้ามาที่วัดนี้ มาให้หลวงพ่อสอบอารมณ์ หลวงพ่อว่าคนที่เป็นแบบนี้ก็มี เข้าใจผิดว่าตัวเองบรรลุธรรมแล้ว (อืม...จากที่เรารู้มาน่ะคนที่จะสอบอารมณ์ได้ตัวเองก็ต้องปฏิบัติผ่านมาแล้ว ถ้าท่านสอบอารมณ์การบรรลุธรรมขั้นอรหันต์ได้ ท่านก็ต้องได้มาก่อนสิ !.....)
5. เราถามหลวงพ่อ เรื่องพญานาค มีจริงใช่ไหมค่ะ ท่านเคยเห็นไหมค่ะ หลวงพ่อเล่าว่า ท่านเคยเห็น พญานาคแปลงตัวมาเป็นคนทั่วไปมาทำบุญที่พระธาตุพนม ที่ท่านเห็นก็เหมือนคนนั้นแหละ แต่มีหงอนตรงหน้าผาก ท่านเคยเดินตามเค้าไปจนถึงแม่น้ำโขง แล้วเค้าก็เดินลงแม่น้ำไปได้ครึ่งตัว เค้าก็หายไป (อืม..) และท่านก็เคยพาคนไปหาพญานาคที่ถ้ำบนเขา อยู่ที่หนองคาย เค้าป่วยเป็นโรคกรรม รักษาที่ไหน รักษาเท่าไหรก็ไม่หาย ท่านพาเข้าไปในถ้ำ พญานาคช่วยกันเลียเค้าทั้งตัว พอเค้าออกมาก็อาเจียนเอาของเสียทั้งหมดออกมาแล้วก็หายจากโรค (โอ้โฮ! พญานาครักษาโรคได้ด้วย อยากไปเห็นจัง) ท่านบอกว่า คนที่ท่านจะพาเข้าไปได้ ท่านต้องจุดธูปบอกพญานาคก่อน แล้วผู้หญิงที่มีประจำเดือนเข้าไปไม่ได้ เคยมีคนเป็นแล้วเดินเข้าไปก็โดนของมีคมบาดเท้าที่หน้าถ้ำ เข้าไม่ได้ (อืม..)
6. เราถามหลวงพ่อว่า ขอดูรูปพญานาคหน่อยค่ะหลวงพ่อ พี่ๆ(พี่นุ้ก) เค้าบอกว่าหลวงพ่อให้รูปพญานาคเค้า อยากได้บ้างค่ะหลวงพ่อ ท่านก็หยิบให้ รูปมัวๆ ดูยากสักหน่อยนะคะ เพราะถ่ายในถ้ำ แล้วรูปทั้งฟิลม์ ถ่ายได้ออกมาแค่ใบนี้ใบเดียว มีพระที่เข้าไปด้วยถ่ายรูปไว้ค่ะ ดูๆแล้วนะคะ โอ้โฮ! รูปพญานาคจริงๆด้วยค่ะ (ขนลุกเลยค่ะ) เราก็ถามว่ามีพญานาคกี่ตนค่ะ ท่านบอกว่ามี 2 กำลังบำเพ็ญเพียรอยู่ในถ้ำ (อืม..ทั้งกลัว ทั้งเกรง ทั้งตื่นเต้นค่ะ)
จำมาได้เท่านี้ค่ะ ฟังหลวงพ่อเล่าแต่ละเรื่องน่าตื่นเต้น สนุกๆทั้งนั้น และเราก็ชอบมาก เพราะฉะนั้น เพื่อนๆ ไม่ต้องแปลกใจนะคะที่การปฏิบัติธรรมของเราไม่ค่อยไปไหน เพราะความช่างลังเลสงสัยของเรา ทำให้เรามีเรื่องมาคิดตลอด มีสิ่งรบกวนจิตใจมาก ทำให้เสียสมาธิได้ง่าย ทั้งๆที่การมาปฏิบัติแบบนี้ ถ้าจะให้ดีนะคะต้องตั้งใจมากๆ ต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะรักษาความต่อเนื่องของสติ ทุกอิริยาบท ถ้าปิดวาจาได้ยิ่งดีค่ะ แต่เรานะคะ ผู้ปฏิบัติใหม่ยังควบคุมสติกับอารมณ์ไม่ค่อยได้ค่ะ ก็จะหลุดๆไปแบบนี้แหละค่ะ ถึงได้มีเรื่องมาเล่าให้เพื่อนๆฟังได้ไงค่ะ (ฮิๆๆ)
เมื่อก่อนจะมาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่นี่ เราไม่ได้มีความรู้เรื่องสภาวธรรมต่างๆเลยค่ะ ไม่รู้ด้วยว่าอาการต่างๆที่เกิดขึ้นกับเราน่ะ เค้าเรียกว่าสภาวธรรม พอคุยกับคุณต้นแล้วค่อยๆได้ความรู้และได้เรียนรู้ค่ะ แล้วอาการแต่ละอย่างนะคะ แต่ละวัน แต่ละคนก็ไม่ได้มีเหมือนกัน หรือได้เหมือนกันทั้งหมดด้วย หลายอย่างที่เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวแล้วก็หายไปเลย ไม่เคยเจอ ไม่เคยได้อะไรอีกเลย ทำให้เห็นสัจธรรมข้อหนึ่ง คือ ทุกอย่างไม่เที่ยงจริงๆ ซึ่งเราขอสรุปอาการต่างๆที่ได้จากการเจริญวิปัสสนากรรมฐานหรือสภาวธรรมที่เราพบนะคะ ไว้ให้เพื่อนๆมือใหม่แบบเราได้เรียนรู้และก็ทำความเข้าใจ จะได้ไม่กลัวเหมือนเรา (ตอนแรกๆ) จนปฏิบัติไปได้ไม่ถึงไหน มั่นใจได้เลยค่ะ พอเราเริ่มจะ “พองหนอ ยุบหนอ” นะคะ อาการต่างๆจะมา ดังนี้ค่ะ
1. ฟุ้งซ่าน จะคิดมากๆ คิดนู่น คิดนี่ สารพัดความคิดเรื่องนู้นเรื่องนี้จะวิ่งเข้ามาให้คิดๆๆ บางทีคิดจนปวดหัว ทั้งๆที่นั่งสมาธิอยู่ วิธีแก้คือ ให้เรารู้เท่าทัน แล้วกำหนดว่า “คิดหนอๆๆ” 2. ง่วง จะเจอบ่อยมากค่ะในช่วงการปฏิบัติแรกๆ ไม่ว่าจะทำยังไงก็ง่วง เดินก็ง่วง นั่งก็ง่วง อยากจะหลับซะให้ได้ นั่งผงกหัวไปมา เอนหน้าเอนหลัง แบบน่าสมเพชมาก อยากจะไปนอนซะให้ได้ ที่น่าเจ็บใจก็คือ พอเราตัดสินใจว่าออกดีกว่า ไปนอนดีกว่า แล้วออกจากการนั่งสมาธิ มันดันหายง่วงซะนี่ นอนจริงๆก็ไม่หลับ ก็ให้รู้ไว้ค่ะว่า ความง่วงมันมาหลอกเรา ให้เราออกจากสมาธิ วิธีแก้คือ ให้เรารู้เท่าทัน แล้วกำหนดว่า “ง่วงหนอๆๆ” 3. ได้ยินเสียงดัง ถ้าอยู่ในที่ไม่สงบก็จะได้ยินเสียงดังต่างๆ ถ้าอยู่ในที่สงบก็จะได้ยินเสียงต่างๆชัดเจนเหมือนกัน สารพัดเสียงค่ะ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ได้ยินเสียงต่างๆ จะมาทำให้ใจวอกแวกได้ทั้งนั้น อดทนค่ะ อย่ารำคาญ หรือหงุดหงิดจนออกจากสมาธิไปซะก่อนหมดเวลานะคะ วิธีแก้คือ ให้เรารู้เท่าทัน แล้วกำหนดว่า “ได้ยินหนอๆๆ” 4. ร้อน ไม่ใช่เพราะว่าอากาศร้อนอย่างเดียวนะคะ ร้อนเพราะสมาธิก็มีค่ะ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานน่ะคะ ทำให้ช่วยปรับสมดุลต่างๆในร่างกาย ปรับธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ คนที่ปฏิบัติ ผิวพรรณถึงผ่องใส สุขภาพร่างกายแข็งแรงไงค่ะ ไม่ต้องกลัวค่ะ แค่อดทนสบายๆ ให้เรารู้เท่าทัน แล้วกำหนดว่า “ร้อนหนอๆๆ” 5. ปวดขา ทำใจค่ะเจอกันทุกคนค่ะ ไม่มีใครไม่เจอ เวทนาตัวนี้ต้องเจอกันทุกคนค่ะ ใครที่นั่งสมาธิแล้วบอกว่า นั่งเป็นชั่วโมง ไม่เคยเจอ ไม่เคยปวดนะคะ ต้องถามเค้าว่านั่งถูกต้องหรือเปล่า หรือพูดกันตรงๆเฉพาะเราสองคนนะคะว่า เค้าโกหกค่ะเพื่อนๆ อย่าไปเชื่อค่ะ เราถามหลวงพ่อแล้ว คนที่นั่งต้องเจอเวทนาทุกคน เพราะวิปัสสนากรรมฐาน มันมีเวทนาอยู่ด้วย ให้เราต้องกำหนดเวทนา รู้สภาพความเป็นจริง ซึ่งเพื่อนๆจะรู้สึกว่าปวดขาม๊าก... มาก มากสุดๆ มากที่สุด ค่อยๆปวดจากข้อเท้า น่อง หัวเข่า ต้นขา ก้น บั้นเอว สันหลัง ขึ้นมาเรื่อยๆ มาคอ บ่า ไหล่ ขึ้นไปที่หัว แล้วจะรู้ค่ะว่าปวดจนกระดูกจะแตกมันเป็นยังไง ยิ่งคนที่เคยมีอุบัติเหตุเกี่ยวกับขาหรืออวัยวะต่างๆในร่างกายหรือเคยผ่าตัดมานะคะ จะยิ่งปวดมาก แต่ไม่ต้องตกใจนะคะ สมาธินี่แหละค่ะจะรักษาความปวดในเนื้อ หนัง เส้นเอ็น กระดูก และ จะช่วยคลายพังผืดต่างๆ ในร่างกาย ถ้าเราทนได้นะคะ ทนต่อไปค่ะ วิธีแก้คือ ให้เรารู้เท่าทัน แล้วกำหนดว่า “ปวดหนอๆๆ” กำหนดและอดทนไปเรื่อยๆ เหงื่อจะแตก ใจจะหวิว ใจจะขาดยังไงก็อดทนต่อไปค่ะ หลวงพ่อบอกว่าให้เอาชีวิตเข้าแลก รับรองค่ะ ถึงจุดหนึ่งมันจะหายปวดเป็นปลิดทิ้ง แล้วเพื่อนๆ จะได้ของดีค่ะ 6. ยุงกัด มดกัด อาจจะเป็นยุงจริง มดจริง หรือไม่จริงก็ได้ แต่ในความรู้สึกของเราคือ มันมีตัวอะไรมากัด ทั้งคัน ทั้งเจ็บ อยากจะออกจากสมาธิแล้วเอามือไปตบวัน ไปเกามันซะให้ได้ ซึ่งถ้าเป็นยุงจริง มดจริง เราทำร้ายเค้าเราก็ผิดศีล หรือถ้าเราเกาเราก็ออกจากสมาธิแล้ว มันมาหลอกค่ะ หรือไม่ก็มันเป็นเจ้ากรรมนายเวรเราค่ะ มาคิดบัญชีแค้นกับเรา ยิ่งคนที่ชอบฆ่ามด ตบยุงจะต้องเจอกันแน่นอนค่ะ ทำใจไว้นะคะ วิธีแก้คือ ให้เรารู้เท่าทัน แล้วกำหนดว่า “เจ็บหนอๆ คันหนอๆ” แล้วอย่าลืมแผ่เมตตากับแผ่บุญให้พวกมันด้วยนะคะ 7. นิมิต คือ ภาพต่างๆที่เห็นในสมาธิ อันนี้บางคนก็เจอ บางคนก็ไม่เคยเจอนะคะ ต้องเป็นภาพที่เราเห็นโดยที่เราไม่ได้คิดเรื่องนั้นมาก่อน ค่ะ ถึงจะใช่นิมิต ถ้าคิดเอง จิตมันปรุงแต่งไปเองค่ะ ไม่ใช่นิมิตค่ะ ภาพอะไรหรือค่ะที่จะเห็น หลากหลายค่ะ ไม่แน่นอน ที่เห็นๆกันก็ภาพคน สัตว์ เทวดา นางไม้ เจ้ากรรมนายเวรค่ะ มี 2 ความหมาย คือ 1. เห็นเพราะเค้ามาอนุโมทนาบุญ กับเราหรือขอส่วนบุญจากเรา 2. เห็นเพราะเค้ามาทวงหนี้ ในกรณีที่เค้าเป็นเจ้ากรรมนายเวรเราๆต้องชดใช้ให้เค้า ไม่ต้องกลัวค่ะ ดีแล้วค่ะจะได้หมดเวรหมดกรรมต่อกัน วิธีแก้คือ ให้เรารู้เท่าทัน แล้วกำหนดว่า “รู้หนอๆ เห็นหนอๆ” แล้วเราก็แผ่เมตตากับแผ่ส่วนบุญให้เค้าไป ส่วนเจ้ากรรมนายเวรนะคะนอกจากแผ่บุญให้เค้าแล้ว มีโอกาสเจอกันก็อย่าลืมขออโหสิกรรมด้วยนะคะ ถ้าเค้ายอมรับบุญจากเราแล้วก็หมดหนี้กันไปค่ะ 8. คัน ไม่รู้ทำไมมันรู้สึกคันยิบๆ ที่ผิวหนัง ทั้งๆที่ไม่มีอะไรมากัด คันน่ารำคาญค่ะ ของเราคันบริเวณหน้าคอถึงหน้าอก อยากจะเอามือที่ประสานไว้ที่หน้าตักมาเกาๆให้หายคันจริงๆ ค่ะหลวงพ่อบอกว่าเป็นการปรับสมดุลในร่างกาย ไม่เป็นไร วิธีแก้คือ ให้เรารู้เท่าทัน แล้วกำหนดว่า “รู้หนอๆ คันหนอๆ” 9. ตัวเบา รู้สึกร่างกายมันเบา สบาย เหมือนจะลอยได้ มีความสุขอย่างบอกไม่ถูกค่ะ ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่คัน รู้สึกสงบ และนิ่งมากๆ ชอบความรู้สึกนี้ที่สุดเลยค่ะ แต่มีโอกาสได้เจอแค่ครั้งเดียวเท่านั้นค่ะ ความสุข สงบจากสมาธิ รู้แล้ว เข้าใจแล้วค่ะ ว่าดียังไง วิธีแก้คือ ให้เรารู้เท่าทัน แล้วกำหนดว่า “รู้หนอๆๆ”
ยังมีอีกเยอะค่ะ แต่พวกเราเป็นพวกมือใหม่หัดทำสมาธิ อดทนได้แค่นี้ก็เก่งแล้วค่ะ ถือว่าประสบความสำเร็จในเบื้องต้น นับว่าน่ายินดีอย่างยิ่งค่ะ ที่อดทน พยายามปฏิบัติมาจนได้ถึงระดับนี้ ก็สู้ต่อไปนะคะ อย่ายอมแพ้ แล้วเพื่อนๆจะได้ของดี เหมือนที่หลวงพ่อบอกเราไว้ (ฮิๆๆ)
จะให้อะไรเป็นของขวัญวันเกิดพี่นุ้กดี อืม... ฉัตรทองที่เราได้มาจากงานยกพระที่วัดป่าฯ เมื่อวันเสาร์ ตั้งอยู่ในกุฏิ พี่นุ้กอยากได้ฉัตรไปบูชาที่บ้านจะได้ช่วยหนุนในเรื่องการงาน ตอนแรกเราตั้งใจว่าจะเอาให้คุณต้น แต่เห็นพี่นุ้กบ่นเสียดาย อยากได้มากๆ เราก็ตัดใจดีกว่า เอากลับไปบ้านก็จะเกะกะเปล่าๆ เราเลยตั้งใจว่าจะให้พี่นุ้กวันที่ลาสิกขา แต่วันเกิดพี่นุ้กวันนี้ เราก็เลยเปลี่ยนใจ ให้วันนี้เลยแล้วกัน พอทำบุญ สนทนาธรรม เก็บล้างเสร็จ พี่นุ้กเข้ามาพักผ่อนในห้องเราๆก็เลยหยิบฉัตรให้เป็นของขวัญวันเกิด พี่นุ้กดีใจมาก น้ำตาคลอเลย เราก็ดีใจที่ตัดสินใจยกให้พี่เค้าไป สบายใจแล้วค่ะ โล่งใจที่เราไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้เอาเก็บไว้ ตอนนี้รู้เลยค่ะว่า “ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก” จริงๆ
หลวงพ่อเป็นเณรในเรื่องสัตว์โลกจริงหรือครับ
ขออนุโมทนาด้วยครับ สาธุ