พุทธสวัสดี ยามค่ำคืนวันวิสาขะ จากเมืองหงสาครับ
ผมเพิ่งกลับมาจากวัดเมื่อสักครู่นี้เองครับ บันทึกนี้จึงเป็นบันทึกพาผู้อ่านเข้าวัดเข้าวา หลังจากที่บันทึกหลังๆมักเจือ L ก ฮ ตามเหตุการณ์ที่ประสบ
ถือเป็นโอกาสดีที่ได้ไปทำบุญไหว้พระเวียนเทียน กับพี่น้องคนลาวที่เมืองหงสาในวันวิสาขบูชาศกนี้ครับ เราเลือกไปวัดบ้านทุ่ง เป็นวัดเล็กๆแยกออกไปจากบ้านศรีบุญเรืองชั่วหมดเสียงกู่ร้อง วัดนี้จึงเงียบสงบเป็นที่ประทับใจผมและหมายตาไว้แล้วหลายครั้งที่ได้นั่งรถผ่าน พร้อมทั้งความคาดหวังไว้ว่าคงจะได้มีโอกาสสัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่นของแท้ ชนิดบริสุทธิ์ไร้สิ่งปลอมปน
เราผ่านวัดศรีบุญเรืองซึ่งเป็นวัดใหญ่ของหมู่บ้านวัฒนธรรมประจำเมือง เห็นวัยรุ่นเริ่มขี่มอเตอร์ไซด์มาวนเวียนกันอยู่หน้าวัด นั่นเป็นเหตุหนึ่งที่ผมต้องผ่านไปยังวัดบ้านทุ่ง ด้วยคิดว่าวัดใหญ่แห่งนี้คงมีนววัฒนธรรมมาเจือแล้วแน่ๆ
ไปถึงวัดบ้านทุ่งราวทุ่มครึ่ง พบว่ามีแม่ออก(อุบาสิกา) วัยฮาม(กลางคน) และสูงวัย แต่งกายชุดลาวห่มผ้าเบี่ยงเรียบร้อยนั่งอยู่หน้าโบสถ์ประมาณยี่สิบกว่าคน แต่ละคนมีพานดอกไม้ธูปแทนวางข้างกาย ส่วนข้างในโบสถ์มีพระเณร และกลุ่มผู้ชายสูงวัยอยู่สิบกว่าคน พร้อมบั้งไฟขนาดหางยาวสองวาหนึ่งอัน
พิธีกรรมเริ่มที่พ่อเฒ่าจับหางบั้งไฟยกขึ้น กล่าวคำบูชาภาษาบาลี เมื่อเสร็จแล้วก็ยกขบวนกันออกมาจุดบั้งไฟ (เข้าใจว่าเป็นการจุดบูชาเทวดา เท่าที่แปลจากคำกล่าวบูชาของพ่อเฒ่า) ทุลักทุเลจุดๆดับๆสักพักบั้งไฟก็ทะยานขึ้นฟ้าได้สำเร็จ แถมวันนี้มีพิเศษคือ สัญญาณกันขโมยที่ติดรถของพวกเราพากันแผดเสียงประสานขึ้นกับเสียงบั้งไฟ พระท่านเลยว่า “ดีดีทำให้ครื้นเครงขึ้น”
เมื่อจุดบั้งไฟเสร็จก็พากันกลับเข้ามาข้างในโบสถ์ คราวนี้พระท่านเรียกแม่ออก อุบาสิกาทั้งหมดเข้ามาข้างในด้วย คนเพียงสามสิบกว่าคนก็เต็มโบสถ์ พระท่านเริ่มนำไหว้พระแบบบูชาพระพุทธฉบับยาวผสมทำวัตรเย็น ฟังดูเหมือนกับที่เคยสวดในวัดมหานิกายแถวเชียงใหม่ ที่ผมเคยได้ยินเมื่อสักประมาณสามสิบกว่าปีก่อน แต่ก็ยังพอพึมพำตามท่านไปได้บ้างเฉพาะบางบทบางตอน
เสร็จแล้วก็พากันออกมาเวียนเทียนรอบโบสถ์ เอาเทียนที่ยังไม่หมดเล่มวางไว้รอบเจดีย์องค์น้อยหน้าโบสถ์ แล้วพ่อเฒ่าบอกว่าอย่าพึ่งรีบกลับให้เข้ามา “คารวะ”เสียก่อน จึงพากันกลับเข้าโบสถ์อีกคราว ครานี้พระท่านนำสวดคารวะ พระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์ พระพุทธเจ้าที่ประทับบนสวรรค์ สวดอัญเชิญเทวดาทุกชั้นสวรรค์จนถึงชั้นพรหม (ทั้งหมดนี้เดาจากที่ท่านสวดเป็นภาษาบาลี....น่าจะไม่ผิด) จบรอบสวดพร้อมกันแล้วท่านให้ว่าคำสวดตามอีกพักใหญ่ แปลได้เลาๆว่าเป็นคำถวายทานประเภทหนึ่ง (เพราะขึ้นต้นด้วย ..อิมานิ...มะยังภัณเต...) สวดชุดที่สามเป็นการอุทิศส่วนบุญกุศลถึงญาติผู้ล่วงลับ(เดาอีกรอบ) ในบทสวดนี้ต้องเปลี่ยนท่านั่ง โดยนั่งแบบค้อมต่ำ วางแขนแนบกับขา ก้มตัวต่ำชิดพื้น (เหมือนกับท่าเข้าเฝ้าแหนเจ้านายสมัยก่อน) ท่านั่งนี้คนไม่เคยรู้สึก ทรมาน มากๆๆ
จบจากการสวดพร้อมพระในท่าทรมานแล้ว บรรดาแม่ออกก็เป็นผู้กล่าวคำอำลาพระ คำขออภัยพระ หากได้ล่วงเกินด้วย กาย วาจา ใจ (อันนี้เหมือนกับเจียงใหม่บ้านผม)
คณะเราขอบริจาคทรัพย์ก่อนกลับ พระท่านใช้ให้เณรลากหีบเก่าๆมาจากหลังพระประธาน ท่านบอกว่าไม่ได้ใช้มานานแล้ว เมื่อสองปีก่อนใช้ในงานบุญมีคนบริจาคแสนกว่า(กีบ...สี่ร้อยบาท)
น้อมนำบุญมาฝากทุกคนครับผม
หงสา วันวิสาขะ
๒๒ นาฬิกา
ภาพประกอบอาจไม่สวย เพราะบรรยากาศเงียบสงบ แสงเทียนงดงาม เกินกว่าที่จะใช้แฟลชถ่ายภาพไปรบกวน
ขออนุโมทนาด้วยครับ
ตามมาเวียนเทียนด้วยคน
ไหว้สาครับ
ขอบคุณพี่paleeyon ที่เอาบุญมาฝาก
ซ๊าตุ๊...
รพี
สวัสดีครับ
ได้บรรยากาศเหลือเกินค่ะ
ขอบคุณนะคะ
สาธุค่ะ
หวัดดี อาวปาลี
แม่ป้า เหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางมาก เลยไม่ไ้ด้เข้าวัดฟังธรรมเลย
ไม่รู้ว่า แม่จะโกรธ และมีอะไรกินรึป่าว
ส่วนพ่อ บ่นว่า ไม่รู้จักวัดจักวา
ก็คนมันเหนื่อยเน่อะ ทำบุญเมื่อไรก็คงไม่สาย เข้าข้างตัวเองไว้ก่อน
ตามมาไหว้พระครับ วนพระใหญ่จิตใจเบิกบานครับ ผมเปิดหนังสือมงคลพิธีสวดตามใจอยาก สวดมนต์ทำวัตรเช้า สวดพระไตรปิฎกย่อด้วย สวดเท่าที่อยากสวด แล้วนั่งสมาธิต่ออีกประมาณครึ่งชั่วโมง เย็นก็ทำวัตรเย็น เปิดบทไหนก็สวดไปเรื่อย เป็นอีกวันที่มีความสุขมากๆครับ
ก็เพิ่งมีโอกาสมาไล่ตามอ่าน น่าสนใจมากค่ะ มาอนุโมทนารับบุญด้วยคน แม้ว่าจะช้าไปหน่อย