วันที่ 11 วันที่11 ก่อนเข้าฟังการบรรยายที่โรงแรมก็ได้เดินทางไปสักการะพระพุทธชินราช พระพุธชินราชเป็นพระพุทธรูปที่สวยมาก ก็ให้ผู้ที่มาเข้า รับการฝึกอบรม ลงทะเบียนในช่วงเช้า ต่อจากนั้น ก็ฟังการบรรยายจากพี่ที่ไปดูงานที่ญี่ปุ่นมาเล่าประสบการณ์และเสนอแนวความคิดเกี่ยวกับ การผลิตสินค้าเพื่อให้สินค้ามีคุณภาพและ การบรรจุภัณฑ์ สิ่งที่พี่ๆเขาได้รับ คือการเรียนรู้ในเรื่องของการพัฒนากลุ่มบทบาทของสตรี การพัฒนาสินค้าที่มีในท้องถิ่น และความรู้ในการจัดตั้งตลาดขายตรง นำมาใช้จริงคือเรื่องของการพัฒนาคุณภาพชีวิต เช่นการปลูกผักปลอดสารพิษ การบริโภคอาหาร องค์กรต่างๆที่อยู่ในชุมชน สิ่งที่และความประทับใจก็คือเรื่องที่มีญี่ปุ่นท่านหนึ่งบอกว่าอยากให้คนไทยทุกคนน้อมนำแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาให้ในการดำรงชีวิตตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญและดีมาก แต่สิ่งหนึ่งที่พี่ๆได้รู้มาก็คือคนญี่ปุ่นจัดตั้งกลุ่มสหกรณ์ขึ้นมาเพราะเกิดจากจิตสำนึก เขาอยากได้เพื่อน และอยากสร้างงาน แต่สำหรับไทยเราแล้วต้องการแค่มีงานทำอย่างเดียวรึเปล่า และกลุ่มแม่บ้านที่ญี่ปุ่นเขาจะมีการแปรรูปอาหาร ทำอาหารเป็นกล่องแล้วส่งตามบ้าน และตอนนี้ก็ปิดท้ายด้วยการร้องเพลงจากรุ่นพี่ที่ไปดูงานที่ญี่ปุ่นเพื่อเป็นกำลังใจให้รุ่นต่อไปที่จะเดินทางไปดูงานที่ญี่ปุ่น (ร้องโดยพี่อ้อย)
วันที่ 12 พ.ค. มีการแบ่งกลุ่มไปดูงานสองกลุ่ม เดินทางโดยรถบัส กลุ่มแรก คือไปดูกลุ่มที่ประสบความสำเร็จจากการทำกล้วยที่สุโขทัย นำโดยคุณ คุริตะ คุณโอกาเน่ และพี่ซาซากิ(ล่าม) และผู้เข้าอบรม(กลุ่มแรกคนจะมากกว่ากลุ่มที่ 2) กลุ่มที่สองเป็นเรื่องของผ้าที่ก็สุโขทัยเหมือนกัน ก็มีคุณเทสึ คุณโยชิโกะ คุรเอนโด พี่มุ(ล่าม) พี่มุให้เราไปดูกลุ่มกล้วย พอใกล้จะถึงกลุ่มทำกล้วยฝนตก (อากาศช่วงนี้ไม่รู้เป็นยังไงแปลกจริงๆ) ที่หมู่บ้านนี้ บ่อน้ำมันเกิดขึ้น จึง ได้งบจากบริษัททางบริษัทเขาให้จัดตั้งกลุ่มเป็นสหกรณ์ขึ้นมา โดยเขาจะให้เงินทุนมาช่วยเหลือมาดำเนินการเกี่ยวกับสหกรณ์ พี่ที่กลุ่มบอกว่า กล้วยที่นี่เป็นกล้วยน้ำว้าอ่อง สูตรของเขาคือนำเอาเนย ผสมกับน้ำตาล แล้วก็เกลือจะได้เป็นกล้วยม้วนที่อร่อย เวลาทอดน้ำมันจะกรอบนอกนุ่มใน มีส่งออกกล้วยหนองตูมไปที่ประเทศจีนด้วย เป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นแพ็ค ส่งอาทิตย์ล่ะ 3,700 กล่อง กล่องละ 5กิโล ราคาประมาณ 700,000 บาท / 1 คอนเทนเนอร์ หลังจากนั้นก็เดินทางไปเที่ยวชมเมืองเก่าสุโขทัย โบราณสถานสุโขทัยแวะชมโบราณสถานที่เห็นคนที่เป็นไกด์บอกว่า วัดศรีชุม หมายถึง ดงแห่งต้นโพธิ์ มีหลวงพ่อโตประดิษฐานอยู่มีความสูง 15 เมตร หน้าตักกว้าง 11เมตรครั้ง ในภายอุโมงค์จะมีการเล่าเรื่องประวัติพระพุทธเจ้า ที่นี้มีเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธรูปพูดได้ มีการไปไหว้พระอจนะหรือหลวงพ่อโต ที่วัดแห่งนี่มีพื้นที่กว้างมาก มีโบราณสถาน 193 แห่ง
ส่วนอีกวัดหนึ่งคือวัดมหาธาตุเป็นวัดใหญ่ตั้งอยู่ตรงใจกลางเมืองสุโขทัย เป็นวัดหลวงจะมีเจดีย์ 5 ยอด เป็นที่บรรจุธาตุของพระยาลิไท ซึงเป็นกษัตริย์องค์ที่ 6 ของสุโขทัย
หลังจากกลับมาจาก ดูกลุ่มกล้วยที่จงหวัดสุโขทัยเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาเรียนภาษาญี่ปุ่นกัน รู้สึกตื่นเต้นมากเลยค่ะไม่คิดว่าจะต้องไปเป็นครูสอนภาษาญี่ปุ่นบนเวทีและคนที่นั่น ก็เยอะมาก แต่ดีหน่อยที่มีพี่ที่กรมไปช่วยสอนด้วย พี่เก๋เป็นคนที่พูดเก่งจึงสามารถช่วยเราได้มากทีเดียว แต่รู้สึกว่าวันนั้นคนที่อยู่ในห้องอบรมส่วนใหญ่จิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเพราะเห็นว่าเป็นวันเป็นวันที่ละครนางทางอวสานแทนที่จะได้ดูละครกันกลับเป็นว่าต้องมานั่งเรียนภาษาญี่ปุ่นกัน คนสอนเองก็ต่อรีบสอนให้เสร็จภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง ซึ่งดูน้อยมาก แต่ก็เข้าใจเขานะค่ะเพราะเพราะวันนี้คนที่เข้าอบรมต้องเดินทางไปดูกลุ่มทำกล้วยและกลุ่มทอผ้าทำให้เกิอาการเหนื่อยล้าได้เหมือนกัน
ที่ 13 พ.ค วันนี้มีการบรรยายเรื่องอาหาร การพัฒนาสินค้า และการบรรจุภัณฑ์ ที่ห้องประชุมการะเวท โดยอาจารย์ คะนึงนิจมาพูดเกี่ยวกับเรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การสร้างบรรจุภัณฑ์เพื่อให้ลูกค้าเกิดความอยากซื้อ อาจารย์เป็นคนที่เก่งมาก เป็นนักพูดที่ดีค่ะ ทำให้ผู้ฟังสนใจและสนุกกับการฟัง(เป็นการฟังการบรรยายครั้งแรกที่ไม่รู้สึกง่วงนอนเลยค่ะ) ยกตัวอย่างเวลาซื้อของส่วนใหญ่ลูกค้าจะมองที่ราคาเป็นสิ่งแรก มีการมองหากลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคอย่างเช่นชีเล็กทูน่า(สินค้าที่ผลิตขึ้นมาเพื่อคนที่กลัวอ้วน) ทำให้ลูกค้ากลุ่มนี้ให้ความสนใจและซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก พูดง่ายๆก็คือไม่ว่าจะผลิตอะไรเราก็ควรคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าเป็นลำดับแรกเสมอ แล้วคุณคะนึงนิจก็ยกตัวอย่างเกี่ยวกับขั้นตอนการส่งน้องหมูหนึ่งเล้าเข้าไปสู่โรงงาน ขั้นแรกน้องหมูต้องล้างเท้าก่อน ต่อไป ก็เอาไฟฟ้าช็อต แล้วลวกน้ำร้อน ส่วนชิ้นส่วนแต่ล่ะส่วนของน้องหมูก็จะแยกไปในหลายๆที่ ไม่ว่าจะเป็นหัวหมู ขาหมู (ชอบขาหมูค่ะ) คุณ คะนึงนิจอยากให้ทุกคนที่เข้าฝึกอบรมให้ความสำคัญกับบรรจุภัณฑ์แต่ละชิ้นที่จะส่งไปให้ลูกค้าเพราะหน้าที่หลักของบรรจุภัณฑ์คือ ปกป้องคุ้มครอง ขนส่ง หน้าที่รองคือสื่อสารไม่ว่าจะหน้าที่หลักหรือหน้าที่รองเราก็ควรให้ความสำคัญ
และหลังจากนั้นก็ให้ผู้เข้าอบรมออกแบบสินค้าคนละชิ้นโดยใช้ถุงเท้ามาออกแบบตามต้องการ โดยการถุงเท้าออกมาเย็บขาก่อนแล้วค่อยปลิ้นกลับแล้วใส่ใยสังเคราะห์เข้าไป จากนั้นก็ติดลูกตา
คุณคะนึงนิจได้เล่าเรื่องเมื่อสมัยเด็กว่าเมื่อก่อนเห็นกล่องสีฟ้าๆ มีดอกกุหลาบใหญ่ๆ ของคุณแม่แล้วคุณคะนึงนิจ พี่ชาย และน้องชาย ก็ไปหยิบมาเล่นคนละห่อนำมาเกี่ยวหูซ้าย ขวา แล้วก็วิ่งเล่น นั่นก็คือแบรนยี่ห่อ โกเต็ก เป็นแบรนที่หายไปเลยจนตอนนี้ก็ไม่มีชื่อเบรนนี้อีกแล้ว (คิดได้ไง)
แล้วก็พูดเรื่องบรรจุภัณฑ์รวม อย่างเช่นเวลาไปเยี่ยมเด็กอ่อน ส่วนใหญ่แล้วเราจะซื้อของที่เป็นแพ็คเก็ตรวม เพื่อจะได้ของครบทุกอย่าง ก็เหมือนเวลาที่ลูกค้ามาซื้อสินค้าก็ต้องการสินค้าที่สามารถใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง คุณคะนึงนิจจะพูดโดยการตัวอย่าง เกี่ยวกับข้าวแตนบางที่ที่ลืมบอกวันหมดอายุ ตำนาน ที่มาของผลิตภัณฑ์ และการเล่าเป็นตำนานก็มีส่วนทำให้ลูกค้าสนใจซื้อสินค้า อย่างเช่นเรื่องของกาแฟ ก็สามารถเล่าเป็นตำนานได้ (ก่อนจะมาเป็นกาแฟ) เพื่อให้คอกาแฟทั้งหลายรับรู้ตำนานและเต็มอิ่มไปด้วยความอร่อยจากการดื่มกาแฟ
เพื่อไม่ให้ผู้เข้าฟังการบรรยายเบื่อก็เลยมีการสาธิตการเล่น ฮูล่าฮุก โดยคุณจะคือ (ไม่รู้ว่าเขียนถูกไหม) เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างเล็กมาจากจังหวัดตากเจ้า คุณ จะคือ บอกว่าที่ดอยไม่มีพลาสติก ดังนั้นเขาจะใช้ไม้ไผ่ทำขอบ กระโด้ง แทนพลาสติก แบบที่สองจากพี่ที่กลุ่มสหกรณ์จังหวัดสมุทรปราการ จะทำเป็นในลักษณะของกระโจมข้าวอบสมุนไพร หุ้มด้วยผ้าผ้า โดยที่ซื้อผ้าเอาไปเย็บเป็นกระโจม จากกรที่ได้ไปดูงานเกี่ยวกับสินค้าที่เมืองทองธานีที่เมืองทองขาย 2,500 บาท แต่พี่เขาคิดวิธีการทำที่ใช้ต้นทุนน้อยก็เลยขายในราคาเพียง 200 บาท ซึ่งฟังแล้วทำให้รู้สึกทึ่งไปเลย จากราคา 2,500 เป็น 200 บาท
วันนี้ฟังบรรยายจากคุณคะนึงนิจ สนุกมากค่ะ ขอเสนอคำศัพท์ใหม่ที่ได้จากการเข้าฟังการบรรยายครั้งนี้ ก็จะมีคำว่า ผ้าเย็น(ผ้าอนามัย) นางบำเรอบนเครื่องบิน (แอร์โฮสเตส) โจรจะมีคำว่าเท้า....นำหน้า (แต่ก็เป็นโจรอยู่ดี) ภาษาลาวเข้าเรียกกัน ฟังดูแปลกๆ (แต่น่ารักดีค่ะ) คนไทยเราเวลาฟังอาจจะงงๆสักหน่อย
ไม่มีความเห็น