เช้า วันที่ 26 เมษายน 2551 ทีมเฮฮาศาสตร์4 บุกเที่ยวศูนย์ศึกษาธรรมชาติอุทยานทางทะเล จ.ภูเก็ต เดินทางไปกันโดยรถบัสแบบรถทัวร์คันใหญ่ เช้านี้อากาศสดใสมาก ไม่มีเค้าฝนให้กลัวเลย หลายคนเตรียมกล้องไปถ่ายภาพ หลายคนช่วยกันเตรียมเสบียง เคลื่อนพลกันไปถึง ก็มีนักวิชาการมาบรรยายที่มาที่ไปของโครงการ สรุปความได้ว่า ป่าชายเลนที่มีอยู่ในภูเก็ตตอนนี้ แหว่งหายไปมากแล้ว จากต้นเหตุหลากหลาย และที่นี่ดำเนินการอนุรักษ์เพื่อสนองพระราชประสงค์ขององค์ราชินีไทย
ระหว่างเดินไปชม ฉันนึกเปรียบเทียบกับป่าชายเลนที่มีการอนุรักษ์ไว้ที่อ่าวคุ้งกระเบน จังหวัดจันทบุรี แล้วสะท้อนใจนัก ที่อ่าวคุ้งกระเบน งานสำเร็จเพราะหลายหน่วยงานเข้าไปช่วยกันทำ งานสำเร็จโดยโครงการแต่ละโครงการต้องผ่านศูนย์กลางรับรู้ คือ หัวหน้าศูนย์พัฒนาโครงการตามพระราชดำริ สำหรับที่นี่งานมันเตาะแตะมาก รองหัวหน้าศูนย์ที่กรุณาเดินนำชมไปด้วยบอกว่า การอนุรักษ์ที่นี่ดำเนินการอยู่โดยหน่วยงานเดียวเป็นหลักให้ตนเอง การเชื่อมโยงให้เกิดการมาทำงานร่วมกันดูเหมือนจะมีก็ไม่เชิงจะไม่มีก็ไม่ใช่
ฟังมาได้ความว่า นักวิชาการที่นี่ ทำงานหัวเป็นเกลียวตัวเป็นน็อต นอกจากรับแขกทัวร์ชุดพิเศษ อย่างกลุ่มเราๆแล้ว ช่วงเปิดเทอม ที่นี่ยังเป็นห้องเรียนธรรมชาติที่ครูพานักเรียนมาเรียนอยู่ไม่ได้ขาด มากันทีเป็นร้อยๆคน เรื่องที่ฟังยังมีว่า การสร้างกลุ่มชาวบ้านให้รักและหวงแหนป่าแห่งนี้นั้น ดำเนินการอยู่บ้าง แต่ไม่มีโครงการที่จะเริ่มจากจุดเล็กๆให้ได้ผลก่อน ที่เริ่มๆไปนั้นเน้นเรื่องการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เสียมากกว่าการสร้างกลุ่มแกนนำที่อยู่ใกล้ชิดป่าซึ่งรู้จักตัวอยู่แล้วว่าถ้าชวนให้ร่วมดูแลป่าจะยินดีร่วมมือ ฉันเลยถึงบางอ้อ มีเวลาทำงานน้อยอย่างนี้นะซิ ผืนป่าสำคัญของที่นี่มันจึงเหลือน้อยลงๆๆๆ
ระหว่างเดินชมป่า ตามองส่ายไปตามพื้น เพื่อมองหารอยต่อของพื้นดินกับพื้นทะเล แล้วก็ไปเจอกองดิน คล้ายที่เห็นที่ภูหินร่องกล้าอีกแล้ว คราวนี้คิดว่าไม่น่าใช่เจ้าไส้เดือนแน่นอน จึงเหลียวหาไปรอบๆแต่ก็ไม่เห็นตัวเจ้าของ อันที่จริงเขาก็บอก แต่อยากให้ได้รู้ด้วย จึงเอามาถามดูว่ารู้ไหมเจ้าของคือใคร
คนนำชมบอกว่า ถ้าเห็นกองดินอย่างนี้ ตรงนี้แหละรอยต่อระหว่างน้ำขึ้นน้ำลง และถ้าเห็นตัวเจ้าของ ให้ใช้กองดินนี้เป็นเครื่องหมาย เวลาน้ำขึ้นให้มาแอบดู เจ้าของจะมาปรากฏตัวให้เห็นง่ายๆ เหมือนเวลาอยากดูดารา ให้มาคอยแอบดู เวลาดารามาถ่ายหนัง ยังไงยังงั้นเลยแหละ แต่มีข้อแม้ต้องไปแอบดูกลางคืนเท่านั้นนะค่ะ
แล้วเจ้าตัวนี้ เนื้อกินได้ด้วย มีพี่น้องชื่อคล้าย ที่ว่ายน้ำได้ และรู้จักกันดี บอกใบ้ให้ก็ได้ ว่ามีชื่อต้นว่า “ L” พี่น้องของมันนั้น ฝาหรั่งชอบกินนัก แต่คนภูเก็ตชอบเอามันมาสต๊าฟโชว์ ส่วนเจ้าตัวนี้เวลาได้มาทำกิน ก็เผาให้มันตัวแดงเสียก่อน มีเนื้อไม่มาก รสชาติกินคล้ายกั้ง
อยากรู้หน้าตาเจ้าของ ให้แวะไปดูที่นี่
http://www.siamscubadiving.com/board/view.php?tid=2559&PHPSESSID=f6bb8ca08e5a9949560cb22066c76312
http://school.obec.go.th/muangkrabi/Mahingsa/mahingsa2/aaaaa/Thalassina.htm
น่าตื่นตาตื่นใจมากครับ สำหรับเด็กดอยที่นานๆครั้งจะมีโอกาสไปเที่ยวทะเล
ขอบคุณครับสำหรับรูปภาพและเรื่องราวสนุกสนานครับ
สวัสดีครับหมอเจ๊ คนสวย แซ่เฮ
สวัสดีเจ้าค่ะ คุณป้าหมอเจ๊
คิดถึง เลยแวะมาเยี่ยมเจ้าค่ะ รักษาสุขภาพด้วยนะเจ้าค่ะ เป็นกำลังใจให้เจ้าค่ะ ---> น้องจิ ^_^