35. ธรรมเนียมปฏิบัติในครัวของชาวอินเดีย


อาหารเจเพื่อเทพเจ้าและเพื่อผู้อื่น

        

 

ท่านคงได้ยินคำถามเมื่อไปอินเดียตั้งแต่อยู่บนเครื่องบินว่า Are you veg or non-veg? 

       อินเดียเป็นประเทศที่ประชาชนรับประทานอาหารเจมากที่สุดในโลก โดยเฉพาะผู้หญิงในชนบทประมาณ 80 % ทานเจ ทั้งนี้ด้วยข้อปฏิบัติของศาสนาฮินดูที่ไม่ให้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อีกทั้งเป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมานับพันๆ ปี แม้ว่าบางคนจะบอกว่าตนเป็นคนที่ทานเนื้อสัตว์ อย่างมากก็รับประทานอาหารที่มีเนื้อสัตว์เดือนละครั้ง หรือปีละ 3-4 ครั้งเท่านั้นขึ้นอยู่กับเศรษฐานะของแต่ละคน

อย่างไรก็ตาม ในชนบท ครอบครัวที่มีบางคนทาน บางคนไม่ทานเนื้อสัตว์ เพื่อไม่ให้มีการปะปนกัน เขาจะปรุงอาหารเนื้อสัตว์ด้านนอกห้องครัว ใช้อิฐมาตั้งเป็นเตา แบ่งแยกอุปกรณ์ใช้ใส่เนื้อสัตว์ต่างหาก สำหรับในเมือง อาจใช้วิธีซื้ออาหารเนื้อสัตว์สำเร็จรูปจากร้าน และใส่ในภาชนะแยกต่างหาก ถ้าเป็นไปได้บางครอบครัวจะแยกห้องครัว แยกอุปกรณ์ และแยกเครื่องปรุงรสต่างหาก แต่ถ้าแยกครัวไม่ได้ จะแยกอุปกรณ์เครื่องใช้

ก่อนเข้าครัว แม่บ้านหรือแม่ครัวต้องอาบน้ำให้สะอาดก่อน อาหารมื้อแรก แม่ครัวต้องกำข้าวสารโปรยที่เตาไฟ (เตาถ่าน เตาฟืน หรือเตาแก๊ส) 1 รอบเพื่อบูชาเทพอัคนี ในวันที่ประกอบพิธีหรือวันที่อดอาหาร ห้ามผู้หญิงมีประจำเดือนทำอาหาร ให้พ่อบ้าน หรือผู้อื่นทำแทน ในอินเดียใต้ ห้ามผู้หญิงมีประจำเดือนเข้าห้องครัวทีเดียว ชาวอินเดียไม่ทานอาหารในห้องครัว ถือว่าเป็นบาป

เมื่อปรุงอาหารเสร็จ แม่ครัวจะแบ่งอาหารแต่ละชนิด อย่างละนิดเอาไปให้วัวกินก่อน หากอยู่ในเมืองก็เอาไปให้นก หากไม่มีสัตว์ก็ไม่ต้องทำ เมื่อสมาชิกมานั่งพร้อมเพรียงกัน หัวหน้าครอบครัวเอาอาหารอย่างละนิดๆ ใส่มือ วนหนึ่งรอบเหนือจานพร้อมสวดมนต์เพื่อขอบคุณเทพเจ้าที่ช่วยให้มีอาหารรับประทานเสร็จแล้วนำอาหารไปวางบนพื้นดินที่อยู่ด้านขวาของจาน น้ำดื่มก็ทำเช่นเดียวกันวนหนึ่งรอบแล้วเทไว้บนอาหารที่วางไว้ที่พื้นแล้ว

หลายๆ ครอบครัวที่ทานเจจะไม่ทานกระเทียมและหัวหอม ชาวอินเดียทานข้าวด้วยมือ

ถั่วเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญ นมและขมิ้นรวมถึงผักสีเขียวหลายชนิดเป็นแหล่งของธาตุเหล็ก ผลไม้แห้ง  เช่น เม็ดมะม่วงหิมพานต์ อัลมอนด์ (นำเข้า) มีธาตุเหล็กมากแต่ราคาแพงเกินไปสำหรับชาวอินเดียโดยทั่วไป และเมื่อสามปีที่ผ่านมาอาหารที่อินเดียมีราคาแพงมากขึ้น ทำให้คนจนขาดธาตุอาหารจำนวนไม่น้อยทีเดียว

ชาวอินเดียรับประทานอาหารสามมื้อ มื้อเช้าขึ้นอยู่กับแต่ละบ้าน อาหารเช้าไม่หนักมาก อาหารกลางวันรับประทานช่วง 13.00-14.00 น. อาหารเย็น ในเมือง 20.00-21.00 น. ส่วนในชนบทหลังจากที่นำวัวกลับจากการเลี้ยงในท้องทุ่ง หรือเสร็จจากการทำงานแล้วก็ให้วัวกินหญ้า เสร็จแล้วจึงทำอาหารทานเร็วกว่าคือ 18.00-19.00 น.

สรุป ข้อปฏิบัติต่างๆ ข้างต้นใครสามารถปฏิบัติได้ก็ทำไป ใครทำไม่ได้ก็ไม่ว่ากัน  แต่การกระทำต่างๆ เป็นการปฏิบัติโดยนึกถึงผู้อื่น และขอบคุณพระเจ้าไปในเวลาเดียวกัน ในขณะเดียวกันเป็นการถ่ายทอดความเชื่อและการปฏิบัติจากรุ่นสู่รุ่น คนไทยอาจไม่คุ้นชินกับธรรมเนียมปฏิบัติที่เคร่งครัดเช่นนี้ เมื่อไปอยู่กับครอบครัวชาวอินเดียที่มีความเคร่งครัดอาจสับสนจนเกิดเป็น cultural shock ทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว แต่หากค่อยๆ เรียนรู้ก็ไม่ยากที่จะปรับตัวได้ในที่สุด

ขอขอบคุณ Dr. Amarjiva Lochan

อาจารย์มหาวิทยาลัยเดลลี ผู้ให้ข้อมูล

---------------------------------------------

หากท่านสนใจหลักสูตรปริญญาโท สาขาอินเดียศึกษา กรุณาเข้าชมรายละเอียดที่ www.lc.mahidol.ac.th หรือโทร. 02-800-2323, 02-800-2308-14 ต่อ 3101

 

หมายเลขบันทึก: 180586เขียนเมื่อ 4 พฤษภาคม 2008 22:23 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 02:42 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

อ.โสภนาครับ

สังคมฮินดูไม่เปลี่ยนไปมากนัก แม้จะกลายเป็นผู้มีฐานะ นักธุรกิจระหว่างประเทศ มีรายได้มหาศาลแต่เวลาไปทานเลี้ยงในโรงแรมทันสมัย คนเหล่านี้ก็นิยมทานอาหารเจและใช้มือโดยไม่อายอะไรครับ

เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก

ที่คนอินเดียสามารถอยู่กับความทันสมัยโดยไม่หลง

ด้วยคนรุ่นหนุ่มรุ่นสาวที่มีมากและชนชนั้นกลางที่กำลังจะขยายตัว

ผมมองเห้นว่าอินเดียมีแต่จะเป็นมหาอำนาจในอนาคตอันใกล้ครับ

เรียน ท่านพลเดช ที่เคารพ

ขอบพระคุณมากค่ะสำหรับความเห็นเพิ่มเติมของท่าน รากฐานทางวัฒนธรรมของ

อินเดียปลูกฝังไปยังรุ่นต่อรุ่น ดังนั้นจึงยังยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ลูกสาวดิฉันไปพัก

กับครอบครัวชาวอินเดียที่เดลลีช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมาเจอปัญหาข้อห้ามในห้องครัว เพราะ

แกเอาอาหารกระป๋องจากเมืองไทยไปตุนเยอะ เจอปัญหาแยกภาชนะดังกล่าวข้างต้น

เรียกว่า cultural shock ก็ว่าได้เพราะอยู่บ้านเราไม่มีข้อห้ามในด้านการกินเลย

ทำให้ได้เรียนรู้ว่าเขาเคร่งครัดขนาดไหน และอะไรควรทำไม่ควรทำ

สวัสดีค่ะ

ได้ไปรับประทานอาหารที่บ้านคนอินเดียมา ไม่ทราบข้อปฏิบัติเหล่านี้มาก่อนเลยค่ะ ครั้งแรกไปที่บ้านหมอที่ทำงานคลินิก เห็นเขาถามก่อนเราไปว่าจะกินอะไรบ้าง ก็ไม่รู้จักสักอย่าง เขาพูดอะไรก้พยักหน้ารับ มื้อนั้น จึงมีแกงกระหรี่ไก่ด้วย ครั้นอยู่นานไป จึงได้ทราบว่า การซื้ออาหารเนื้อสัตว์ที่นี่ เขาต้องสั่งฆ่า คือ มีคนฆ่าขายกันสดๆ ทำให้ครั้งต่อมา ที่ได้ไปรับประทานอีกครั้ง ก่อนกลับเมืองไทย เมื่อเขาถามจึงบอกว่า กินผักอย่างเดียว

คงทำให้เขาสบายใจกับเราขึ้นเยอะ ไม่รู้จริงๆค่ะ แต่เวลาอินอาหาร ก็กินมือเหมือนเขานะคะ เขาคงรู้สึกดี เลยเชิญเสียสองครั้ง

ขอบคุณข้อมูลนี้มากค่ะ

เรียน คุณหมอบุญรุ่ง

ข้อปฏิบัติเหล่านี้จะกระทำเคร่งครัดในครอบครัวที่อยู่ในวรรณะสูงๆ ค่ะ หลายๆ ครอบครัวไม่ได้เคร่งครัดตามนี้หรอกค่ะ ดิฉันไปพักบ้านอาจารย์ชาวอินเดียที่อีสานของอินเดียไม่มีข้อปฏิบัตินี้ค่ะ

ใช่ค่ะ ชาวอินเดียมักซื้อไก่เป็นๆ แล้วสั่งฆ่า ดูแล้วสยองๆ สำหรับคนไทยเพราะเราไม่ทำเช่นนั้น เรากินไก่แช่แข็งที่เนื้อหนังแทบไม่เหลือรสชาติความหวานอะไรแล้ว ด้วยเหตุนี้กระมังที่ทำให้ส่วนหนึ่งของชาวอินเดียที่รับประทานเนื้อสัตว์ไม่รับประทานไก่บ่อย อีกทั้งราคาแพงสำหรับคนโดยทั่วไปด้วยนะคะ

ตอนนี้เล่นskoutอยู่ค่ะ มีชายคนหนึ่งเข้ามาทักแล้วขอlineไป เราก็ให้นะ คุยกันได้ประมาณ 10วันแล้ว เขาชื่อคริต มีลูกชาวชื่อโรซี่ เลิกกับภรรยาได้ตอนลูกสาว6ปี ทำงานเป็นนักชีววิทยาเกี่ยวกับเพชรพลอย บอกว่าจะไปดูงานที่ใต้หวัน เขาได้รับหน้าที่ทำงานส่งเพรชพลอยส่งไปทะเลพอร์ต เขาก้อได้พูดถึงว่ามีการทำเอกสารหาย ลูกกินอาหารเป็นพิษเข้าโรงพยาบาล แต่เขาบอกว่ามันเป็นเพียงปัญหาเล็กน้อยไม่ต้องตกใจ เสร็จจากงานจะมาเที่ยวเมืองไทย ขอชื่อสนามบินและโรงแรมเขาพูดทำนองว่าเขาอยากใช้ชีวิตร่วมกับเราตลอดไป ขอบคุณพระเจ้าที่โปรดส่งเขาให้มาเจอ เราเองก้อไม่ได้คิดอะไร แต่มันก็เป็นเพียงเวลาสั้นมาก เราจะไม่คิดในแง่บวก เพราะเรากลัวจะเหมือนเพื่อนๆที่เจอเช่นนี้

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท