เราเป็นใคร ทำอะไร


เราคิดว่าสิ่งของที่เราให้ลูกเราต้องมีค่ามากที่สุดที่เราจะทำได้ บ้านหลังสวยงาม รถคันใหม่ เสื้อผ้าสวยๆ แต่รู้ไหมครับ สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของเราคือเวลา

คำถามข้างต้นเป็นคำถามสำคัญ ผมมักจะใช้ถามผู้เข้าร่วมWorkshop กับผมเป็นประจำ คำถามนี่ดูแล้วตอบง่าย ถ้าเราเห็นมันเป็นธรรมดา แต่ถ้าให้ตอบเลยความผิวเผินแบบ คำถามซักประวัติทั่วไป มันตอบได้ยากทีเดียวล่ะครับ

ในความเป็นจริงของชีวิต เราทำงานกัน โดยอัตโนมัติ กันมากกว่า ว่าจะทบทวนหาว่า งานที่เราทำมีความหมายกับชีวิตเราอย่างไร มีการสำรวจว่า ท่านกำลังทำงานอะไร ส่วนใหญ่จะตอบเป็นงานที่ทำประจำ เช่น หมอก็บอกรักษาคนไข้ไง ซ๋อมคนไง พนักงานเปลก็บอกเข็นคนไข้ไง เจ้าหน้าที่ฝ่ายเภสัช ก็จ่ายยาคนไข้

การบอกกับตัวเองอย่างนี้มันซ้ำซาก และเราก็ค่อยๆตายด้านกับความสนุกสนาน ในงานที่ทำ ในบางครั้งเราจมลงไปกับงานประจำที่เราทำ มากกว่าสนใจว่างานที่เราทำนั้น มีความหมายต่อชีวิตเรา ต่อคนอื่น ต่อโลกอย่างไร

อย่างช้าๆ ผู้คนอื่นนอกจากคนที่เราสนใจเริ่ม กลายเป็นภาระที่ควรผลักไสให้พ้นหน้าเพราะ ถ้างานข้างหน้าไม่มีก็สบาย เราเริ่มมองหาความหมายของชีวิต ผ่านวัตถุ การมีบ้านใหญ่โต การมีรถคันโก้ เริ่มเป็นความหมายของเรา หากไม่มีสิ่งเหล่านี้เรารู้สึกว่าเราไม่ค่อยมีความหมายกับใคร

แล้วเราก็เริ่มต้นหาเงิน หามรุ่งหามค่ำ ความหมายของงาน คือแหล่งกำเนิดเงินตรา เพื่อจะเอาไปใช้ ในเสพ และสร้างความหมายให้ตัวเอง โดยอิงบนวัตถุนอกกายที่มี ไม่ใช่ที่หัวใจ และความดีงามของเรา ความดีงามถูกวัดได้ด้วยเงิน

เจ้าหน้าที่ผมบางคน ทำงานต่อเวร จนไม่ได้อยู่กับลูกในวัยที่กำลังต้องการพ่อแม่ประคับประคอง เราให้ความหมายของความรักคือสิ่งของที่ให้กับลูก ไม่ใช่เวลา เราคิดว่าสิ่งของที่เราให้ลูกเราต้องมีค่ามากที่สุดที่เราจะทำได้ บ้านหลังสวยงาม รถคันใหม่ เสื้อผ้าสวยๆ แต่รู้ไหมครับ สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของเราคือเวลา เรามีเวลาในโลกนี่จำกัด หาเพิ่มไม่ได้ หาซื้อไม่ได้ ย้อนเวลากลับมาไม่ได้ หากจะหาของขวัญดีๆสักอย่างให้กับคนที่เรารัก สิ่งนั้นคือเวลาครับ ไม่มีอะไรทดแทนมันได้

บางสิ่งบางอย่างอาจแก้ไขได้ แต่บางสิ่งบางอย่างก็ไม่กลับมาตลอดกาล วัยเยาว์ของลูก เสียงออดอ้อนของลูกที่ขอให้เล่านิทานให้ฟัง ความสุขที่อยู่ร่วมกันพร้อมหน้าของพ่อแม่ลูก บนเตียงอุ่นก่อนนอน เสียงแม่เล่านิทาน เสียงพ่อนำสวดมนต์ เป็นสิ่งสำคัญที่จะค้ำจุนชีวตลูกเราในภายภาคหน้า หากว่าเขาเหงาวันไหน วันไหนไม่มีพลัง สิ่งเหล่านี้จะคอยเยียวยา ไม่ใช่บ้านหลังสวยที่ไม่มีชีวิต ไม่ใช่รถคันโก้ซึ่งหมดความโก้เมื่อโมเดลใหม่ออกมา ความอบอุ่นที่หัวใจจะแผ่ซ่านออกมาค้ำจุนความเหงา ความอบอุ่นบนเตียงที่มีความรักของพ่อและแม่ห้อมล้อม มันจะคงอยู่ที่ส่วนลึกของหัวใจ ตลอดเวลา

ถามตัวเราอีกที เราเป็นใคร เรากำลังทำอะไร สิ่งที่เราทำมีความหมายกับชีวิตของเราอย่างไร.....

มึครั้งหนึ่งขณะที่ผมอยู่นอกโรงพยาบาล ในการประชุมแห่งหนึ่ง ค่ำๆน้องหมอที่อยู่รพ.โทรมาถามพี่

"พี่ครับ ปรึกษาหน่อยครับ มีคนไข้ Acute MI (หัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน) ความดันกำลังตกครับ ผมส่งต่อไปโรงพยาบาลรัฐไม่ได้ครับ เพราะเตียงเต็มหมดแล้ว ผมติดต่อมา ชั่วโมงแล้ครับยังหาที่ส่งไปไม่ได้"

"ไปรพ.เอกชนก็ได้ ไปซิ น้องส่งไปเลย"

"ครับ เดี่ยวผมส่งไปนะครับ"

อีกครึ่งชม.น้องหมอโทรมาอีก

"พี่ครับ ส่งไปที่รพ.... แล้วเค้ารักษาไม่ได้ ต้องส่งไป รพ....(เอกชนที่ใหญ่ที่สุด) เค้าบอกว่าต้องทำ บอลลูน สามเส้น เส้นละแสน เขาถามว่าจะให้ทำไหม"

"ทำซิ "

"ครับ ผมก็บอกว่า ผอ.ผมอนุญาต แต่เค้าต้องการให้ยืนยันอีกครับว่าอนุญาตไหม เพราะ โรงพยาบาลเราต้องจ่ายสามแสน ให้การรักษาครั้งนี้นะครับ "

"บอกไปเลย ว่าผู้อำนวยการอนุญาต เสียเท่าไหร่ เสียไปขอให้คนไข้ได้รับการรักษา ถ้ายังไม่เชื่อ บอกว่าพี่จะโทรคุยกับผู้อำนวยการเขาเอง"

"ครับได้ครับพี่"

อีกสองวัน ผมกลับไปรพ.

"น้อง คนไข้ที่โทรหาพี่วันนั้น ได้ผ่าไหม"

"ไม่ได้ครับ "

"อ้าว ทำไมล่ะ ก็ยืนยันแล้วว่าเราจะจ่าย"

"อ้อ พอดี รพ.รัฐว่างก็เลยรับกลับไปรักษาต่อ  แล้วคงไม่มีอะไรมั้งครับ เขาเลยให้คนไข้นั่งรถสองแถวกลับมารักษาต่อที่รพ.เรา"

"??!!?? แล้วคนไข้เป็นไงบ้าง"

"ก็มีใจสั่นนิดหน่อยครับ แต่พอคนไข้มาถึง แกก็ขอกระดาษกับปากกา"

"อะ จะเขียนหนังสือร้องเรียนรึ"

"ไม่ครับ แกเขียนบอกลูกหลานที่เกี่ยวข้องทุกคน ว่าถ้าแกเป็นอะไรไป ไม่ว่าเพราะอะไรก็ตาม ห้ามฟ้องร้องรพ.เรา เด็ดขาด เพราะรพ.เราได้ทำหน้าที่เต็มที่ ที่สามารถทำได้ ถ้าเป็นอะไรไป ไม่ได้เป็นเพราะรพ.เรา ดูแลเขาไม่ดีครับ"

 

“ ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตน เป็นที่สอง
ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์ เป็นกิจที่หนึ่ง
ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศ จะตกแก่ท่านเอง
ถ้าท่านทรงธรรมแห่งอาชีพ ไว้ให้บริสุทธิ์ ”

 

 แม้ในขณะที่ผมพิมพ์อยู่นี้ ผมรู้สึกตื้นตันจนจุกในอก มันบอกไม่ถูก มันไม่ใช่ความสุขที่คนไข้ให้เกียรติเรา แต่เป็นความเศร้าบางอย่างที่กระทบถึง เจตจำนงของผม ในการทำหน้าที่เป็นหมอ ผมอยากร้องไห้ แต่หาเหตุผลไม่ได้ ผมปล่อยให้หัวใจผมทำงานไป ช่างเถอะ ช่างเหตุผลมัน หัวใจเราต่างหาก ที่กำลังบอกว่าชีวิตต้องการอะไร

ผมย้อนกลับไปคิดตอนที่ผมตัดสินใจ อนุญาตน้องให้ส่งคนไข้ไปรพ.เอกชน และยอมจ่ายเงินหลายแสน

ผมตอบว่า"ได้"โดยไม่ต้องคิด เพราะผมทบทวนตัวเอง ตลอดเวลาว่า ผมเป็นใคร กำลังทำอะไร

ระหว่างรักษาเงินสามแสน กับ รักษาชีวิตคน บางคนอาจตัดสินใจลำบาก โดยหาเหตุผลอธิบายตัวเองว่าได้ทำถูกต้องแล้ว แต่ เราควรถามหัวใจของเรา ว่าจริงๆแล้วเราต้องการทำอย่างนั้นหรือเปล่า หรือทั้งที่รู้ว่ามันไม่ถูกแต่ก็หาเหตุผลให้แก่การกระทำของเรา ที่สำคัญคืออะไร รู้ไหมครับ เงินนั้นไม่ใช่เงินของผม เป็นเงินของแผ่นดิน เราให้เรามาทำหน้าที่ให้ใช้เงินนั้นอย่างเหมาะสมเพื่อช่วยเหลือชีวิตผู้คนบนแผ่นดินนี้

ถ้าเรารักษาเงินสามแสน ผมควรเหวี่ยงใบประกอบวิชาชีพแพทย์ทิ้ง แล้วไปรับหน้าที่นายธนาคาร เพราะนั่นคือ สิ่งที่เราต้องการรักษา คือ เงิน

ถ้าเราเป็นหมอ มีหน้าที่ช่วยเหลือชีวิตผู้คนโดยไม่เลือกชนชั้นวรรณะ เช่นที่เราเคยปฏิญานต่อหน้าพระรูปพระบิดา เราจะเลือกได้ถูกต้องแน่นอน ถ้าหากเรา รู้ว่าเราเป็นใคร และทำอะไร

 

ที่ทุกวันนี้ พวกเรา (ผมหมายถึง พวกเราในกระทรวงสาธารณสุข และร่วมถึงนอกกระทรวงที่ต้องดูแลชีวิตคนอื่น) มีปัญหาระหว่างกันมากมาย ทะเลาะกัน กล่าวร้ายกัน เป็นเพราะเราลืมทบทวนว่าเราทำงานนี้ทำไม งานนี้มีความหมายกับชีวิตเราอย่างไร ความหมายของงานที่เราทำเป็นภาระ เป็นสิ่งที่ต้องขจัดให้พ้นหน้า ไม่ใช่หน้าที่ที่มีเกียรติและเป็นความพิเศษที่เราได้ช่วยเหลือผู้คน

การใช้ financial incentive อย่างเป็นบ้าเป็นหลังขณะนี้ ทำให้ผู้คนลืมว่าตัวเองเป็นใคร กำลังทำอะไร คิดอย่างเดียวว่าจะเอาเงินมากๆได้อย่างไร ทำอย่างไร องค์กรจะไม่ขาดทุน ทำอย่างไรจะได้เงินจากพี่น้องเรากันเอง อย่างครบทุกเม็ดไม่ขาดกระเด็น

เวลาผมขับรถผ่านพระรูปสมเด็จพระบิดา ผมมองท่านอย่างรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เดินทางรอยท่าน แม้ไม่ได้หนึ่งในร้อยของท่าน ผมก็ไม่เคยทำอะไรที่ทำให้มองท่านอย่างเต็มตาไม่ได้

หากสงสัยว่าเรากำลังตัดสินใจอะไรลงไปนี่ มันใช่หรือไม่ ผมคิดว่าพระราชดำรัสของสมเด็จพระราชบิดา คงเตือนใจพวกเราไม่มากก็น้อย

และหลังจากเราได้ตัดสินใจอะไรลงไป เราต้องรับผิดชอบการกระทำนั้นด้วยตัวของเราเอง โดยไม่ต้องไปโทษระบบหรือใคร เพราะเราเป็นคนเลือกทางเหล่านั้นเอง

ฝากถึงใครบางคนที่กำลังใช้อำนาจเงินเป็นแรงจูงใจ ในการหลอกล่อให้คนทำงานเพื่อให้เป้าหมายตัวเองสำเร็จด้วย คุณก็เป็นหมอเช่นกัน ถ้าคุณจะลืมไป ผมฝากให้คุณเดินไปยืนหน้าพระรูป สมเด็จพระราชบิดา

คุณมองพระพักตร์ท่านได้โดยไม่ละอายแก่ใจหรือเปล่า คุณถามตัวเองด้วยว่าคุณเป็นใคร คุณกำลังทำอะไร สิ่งที่คุณทำมีความหมายต่อชีวิตคุณอย่างไร

 

" ฉันไม่ต้องการให้พวกเธอเป็นเพียงหมอเท่านั้น
แต่ฉันต้องการให้พวกเธอมีความเป็นมนุษย์ด้วย"

 อัญเชิญพระราชดำรัสพระองค์ท่าน เผื่อว่าเราจะลืมไปว่าเราเป็น ใคร กำลังทำอะไร ครับ

 

หมายเลขบันทึก: 180362เขียนเมื่อ 3 พฤษภาคม 2008 11:53 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:01 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (21)

ขอบคุณครับอาจารย์ ที่กรุณาแวะมาทักทายครับ

วันหนึ่งรีเฟอร์ญาติเจ้าหน้าที่ร.พ. สงสัย MI ที่ร.พ...น. บอกว่าเต็มให้ไปที่ร.พ. ส. ร.พ.ส. บอกว่าเต็มเหมือนกันไม่ต้องส่งมาอีก ให้ไปตามไลน์ ...แต่ว่า.. วางหูโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว ผมโทรกลับไปที่ร.พ. น. บอกว่า เบิกได้ไปเอกชนมั๊ย เพราะเป็นสิทธิ CSCD แต่พี่ครับ.. ผมว่าเอาไปประเมินก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยว่ากันดีมั๊ยครับ

อือม์...เรื่องสิทธิอะไรผมไม่ค่อยเข้าใจครับ

เกือบช.ม.ผ่านไป

...

ขอบคุณเรื่องเล่าของพี่เจไดว.ฆ.อย่างมากครับกับประเด็นเรื่องของ financial incentive

สวัสดีครับ...

เรื่องเล่าของพี่เจได..ละเอียดมากครับ

เป็นเรื่องและประเด็นที่ผมอยากเล่ามาตลอด 

มันคันๆ  อยู่เรื่อยๆเลยครับ

 

ผมมีคลังเรื่องเล่าการส่งต่อมากมายเลยครับ...

เป็นประสบการณ์ที่แบบว่า..คิดว่าเกิดได้ในเกือบทุกๆมุมของระบบการส่งต่อแล้วนะครับ

  - การส่งต่อไปเอกชนเกิดขึ้นบ่อยๆมากครับ พบได้ทุกๆเดือน

  - เกิดมิตรภาพระหว่างพี่ๆพยาบาลคอลเซ็นเติร์และแพทย์

  - เรียนรู้งาน ระบบ ภาระ และ ฐานคิดของผู้คน..

  - เรียนรู้เรื่อง  ดวง  โชคชะตา ในการส่งต่อ

การที่เราอยู่ในรพ ชุมชนและเป็น GP  เรื่องในกลายเป็เรื่องที่พยามเรียนรู้  ทำความเข้าใจ  ยอมรับ ปรับตัว  พลิกแพลง โดยมีเป้าหมายที่ความปลอดภัยของคนไข้ และปัจจัยอื่นๆที่เข้ามาเกี่ยวข้องครับ

    - ทุกครั้งที่ผมโทรถึงคอลเซ็นเตอร์  ผมจะถามก่อนเลยว่า

        พี่ครับสวัสดีครับ จาก ปาย  มีคนไข้ เพศ..... อายุ ...Dx    พอจะมีเตียงว่างรับได้หรือเปล่าครับ....

   แล้วค่อยเล่าอาการโดยละเอียดอีกครั้ง....

     

ตอนนี้โชคดีมากครับที่ปาย  ตัดเรื่องศัลย์ไปเพราะว่าท่านP  สมคบ   มาเป็นฮีโร่ครับ..(ตอนที่โพสข้างบนก็เห็นว่าท่านกำลังอยู่ในห้องผ่ตัดครับ  เห็นผ่าตั้งแต่13.00 น ตอนนี้18.20)

  ขอบคุณเรื่องเล่าที่ทรงพลังครับ

  kmsabai

สวัสดีสองศรีพี่น้องเมืองปายครับ ก็เป็นกรรมร่วม ของชาว รพช. และผู้คนบนแผ่นดินนี้ครับ ที่ต้องช่วยเหลือกันไป แต่ขอให้มีพลังนะครับ ในการทำงาน ขอให้มีความหวัง วันก่อนตอนจะกลับเชียงใหม่ เจอเพื่อนต่างกระทรวง ถามว่าหมอทำงานมากี่ปีแล้ว 18 ปี ครับ ที่อยู่แต่ รพ.ประจำอำเภอ เพื่อนบอกว่า หมอนี่เสียสละมากเลยนะครับ ผมบอกว่า

ผมไม่คิดว่าผมเสียสละครับ ถ้าคิดอย่างนั้นผมจะทำงานต่อไปไม่ได้ เพราะอาจบอกว่าเสียสละมามากพอแล้ว แต่ผมทำงานของผมเท่านั้น

ไม่ว่าโลกข้างนอกจะเป็นอย่างไร โลกของในของเรา ควรเชื่อมกับความดีพื้นฐานสำคัญของความเป็นคน

ไม่แต่พวกเราที่อยู่ รพช. ทำงานหนัก พวกเราที่อยู่ รพ.จังหวัด รพ.ศูนย์ รพ.มหาวิทยาลัย ต่างก็ทำงานหนักไม่แพ้กัน

ที่ผมใช้คำว่า พวกเรา เพราะเราก็เป็นหมอ คนที่ไม่รับ หรือ รับ คนไข้ ที่เราส่งไป ถ้าไม่ใช่รุ่นพี่ก็เป็นรุ่น น้อง ร่วมสถาบันเดียวกัน บางทีก็เป็นอาจารย์ที่สั่งสอนเรามาให้มาเป็นหมออยู่ที่บ้านนอกนี่

เราทุกคนมีหน้าที่ทำงาน มีศักดิ์ศรีแห่งวิชาชีพเช่นเดียวกัน และแม้กระทั่งในความเป็นพลเรือนของแผ่นดิน ก็มีหน้าที่และศักดิ์ศรีไม่ต่างกัน การที่เรารู้มากกว่าในบางเรื่อง ไม่ทำให้เรา เป็นคนเหนือคน หรือ ตุลาการตัดสินผู้อื่นได้

การวางใจในความดีงามของมนุษย์ โดยไม่นึกว่ามีแต่ตนเท่านั้นที่ดีงาม จะทำให้เราสามารถทำงานต่อไปอย่างมีความสุข และมีปิติ ในการได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ต่อไป

เคยบ่นให้อาจารย์วินัยศักดิ์ ฟัง เรื่องการส่งต่อคนไข้ ที่ทั้งแต่จบมา สิบกว่าปีแล้ว ยังไม่พัฒนาไปไหน มีแต่ว่ากันไปว่ากันมา ออกจากรั้วประตูมหาลัย มาเหมือน ถูกเปลี่ยนสัญชาติ เป็นคนละประเทศ

"ผมอดทนรอว่าเมื่อไหร่ มันจะมีการเปลี่ยนแปลงซะที นี้รอมาสิบกว่าปีแล้ว ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ละคนประชุมก็มาบ่นถึงความไม่เอาไหนของอีกฝ่ายหนึ่ง ประชุมกัน ไม่เห็นมีใครทำถูกนอกจากตัวคนพูด ผมเบื่อแล้วครับ ผมไม่ทำเรื่องนี้ต่อไปอีกแล้ว"

อาจารย์วินัยศักดิ์ ท่านไม่ได้พูดอะไรปลอบใจมาก ท่านบอกว่า

"ไม่เป็นไรหรอก วรวุฒิ เธอทนแค่สิบกว่าปี อาจารย์ทนมาตั้งสามสิบกว่าปี อาจารย์ยังทนรอ ได้ วรวุฒิ ทำต่อไปเถอะ ยังไม่ถึงสามสิบปีเลย"

กราบขอบพระคุณอาจารย์มา ณ ที่นี้ ทราบว่าอาจารย์ไม่ค่อยสบาย ขอให้ความดีของอาจารย์คุ้มครองอาจารย์ให้สุขสบายดีด้วยครับ

พวกเรายังทำงานกันไม่ถึงยี่สิบปีดี อย่าพึ่งท้อนะครับ ทำงานอย่าไปเล็งผล ขอให้มีปิติทุกครั้งที่ได้ช่วยผู้คนพ้นทุกข์ นี่คือหน้าที่ของพวกเรานะครับ

เชื่อมั่นและศรัทธา

เรื่องการประเมินPCUA ส่งผลต่อการได้สตางค์ด้วยครับพี่ จากเรื่องของ financial incentive

เมื่อวันก่อน(ต้นเดือนพ.ค.2551)จำเป็นต้องไปประเมิน ต้องใช้คำว่าจำเป็น เพราะว่า ไม่ค่อยพอใจสภาพที่ตัวเองต้องไปให้คะแนน แต่อยากไปแค่ดูและเยี่ยมจริงๆ ครับ

วันก่อนต้องให้ศูนย์ คะแนนในข้อนึง ให้แบบไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะว่าเป็นครั้งแรกเดี๋ยวพอครั้งสองก็คงคะแนนขึ้น ปรากฎว่าเจ้าหน้าที่แสดงออกทางสีหน้าว่าเสียใจมาก ผมต้องปลอบใจอยู่เกือบครึ่งช.ม. เลยมานั่งคิดว่าเราผิดหรือเปล่าวะเนี่ย ทำไมไม่ให้ไปเลยเยอะๆ แล้วก็ ไม่สบายจริงอีกถ้าให้ไม่ตรงกับเกณฑ์ หรือว่าจะเลิกเรื่องนี้ไปเลย ไม่จต้องให้คะแนนแล้ว เต็มไปเลย ก็ยังไม่กล้าฟันไปทางใดทางหนึ่งแต่ว่า ก็วุ่นวุ่นในหัว เมื่อไหร่เราจะหนีเรื่องแบบนี้ไปได้ซะที ครับ

จริงๆแล้ว เงินก็เป็นเงินต่อหัวที่เราพึงได้อยู่แล้ว อันนี้เป็นความจริงที่เราควรรับรู้

อันที่สอง การทำเรื่องคุณภาพนี่ เราต้องการทำเพื่ออะไร คนประเมินถามตัวเอง คนถูกประเมินก็ถามตัวเอง หลังจากทำไปแล้ว คนถูกประเมินท้อแท้ไม่มีกำลังใจทำงาน ทั้งที่ทำงานกันเต็มที่แล้ว คนไปประเมินก็กลุ้มใจ เพราะเห็นว่าเจ้าหน้าที่ก็ทำงานเต็มที่แล้ว แต่ในแบบประเมิน ไม่มีคำว่าเห็นใจ มีแต่ผ่านไม่ผ่าน ชีวิตของคนก็เป็นข้อสอบถูกผิดไป

อันที่สาม มีเจ้าหน้าที่ หนึ่งคนประชากร 1000คน กับเจ้าหน้าที่สองคนกับประชากร2000 คน นี่ การทำงานต่างกันไหม ความยากของงานต่างกันไหม เช่นนั้นแล้วเราประเมินกันโดยวางฐานที่ไหน

พื้นที่ ประชากร เบาบาง กับประชากรหนาแน่น ความยากในการบรรลุภารกิจของงานนี่มันเท่ากันไหม

มีครั้งหนึ่ง จังหวัดหนึ่งประกาศว่าถ้าอำเภอไหนมีคนไข้เป็นบาดทะยักตาย จะไม่เลื่อนขั้นเงินเดือน จนท.พากันขอย้ายจากพื้นที่ที่ 99%เป็นภูเขา การไปมาที่ตัวอำเภอใช้เวลา 4-5 ชม. ในหน้าแล้ง ถ้าหน้าฝนต้องเตรียมข้าวไปด้วย

การที่เงินเป็นของเรา งานเป็นของเรา ความทุกข์ความสุขก็เป็นของเรา สิ่งที่เราทำเราทำเพื่อชุมชนในพื้นที่ หรือ เพื่อ คนบนตึกสูง24 ชั้น เพื่อเป็นผลงานของเขา ที่จะโฆษณาความสำเร็จให้พวกเขามีงานทำต่อไป ผมคิดว่าคนเลือกเป็นเราครับ

เราทำงานกันทุกวันนี้เพื่ออะไรครับ เพื่อได้ชื่อว่าเป็นคนมาตรฐาน มีคุณภาพ ที่มีคนอื่นสร้างแบบประเมิน แล้วบอกว่าเราดี เราเป็นเครื่องยนต์ชนิดไหนหรือครับ ที่สามารถ มีใครบอกว่าเรารักษาผู้คนได้มาตรฐาน มีหลักเกณฑ์

หลักเกณฑ์ประเภทที่บอกว่า ถ้าไม่มีหมอดมยา การที่เราผ่าตัดคนไข้ไส้ติ่งอักเสบ เป็นความประมาท เลิ่นเล่อ

หลักเกณฑ์ที่บอกว่า ไม่มีหลักฐานว่าพยาบาลที่แทงน้ำเกลือคนไข้ วันละ 50-60 ครั้งต่อวัน มาเป็นเวลา 20 ปี ได้มีการทบทวนวิธีแทงน้ำเกลือคนไข้ เป็นพยาบาลที่ไม่ได้มาตรฐาน

ถ้าเป็นผม ผมโยนมาตรฐานนั้นทิ้ง รวมทั้งคนคิดด้วย ออกไปนอกโรงพยาบาล

เราปล่อยให้ใครทำอะไรทำเราก็ได้ โดยเราไม่บอกว่าเราคิดอย่างไร การรู้สึกอย่างไร

เขาก็คิดว่าเขาทำถูก ก็จะทำต่อไป

ผมคิดว่าถึงเวลาที่เราจะบอกว่าพวกเรารู้สึกอย่างไร ก็การถูกคนรู้สึกว่าเราเป็นหนู เป็นพวกโลภต้องเอาเงินมาล่อถึงจะทำงาน

มีคำกล่าวว่า "อย่าเอาสันดานโจร มาวัดการกระทำของวิญญูชน" คือพอตัวเองทำงานได้เพราะถูก drive ด้วยเงิน ก็รู้สึกว่าคนอื่นก็เป็นเช่นกัน

ถามน้องสมคบนะ ว่าทำงานนี่เพราะมีเงินล่อใช่ไหม นี่เขาไม่เรียกเงิน เขาเรียกเศษเงิน แถมยังฉกจากกระเป๋าเราไปอีก เรารุ้ว่าเราต้องใช้ทำอะไร นี่ อยู่ด้วยก็ไม่อยู่ด้วย ไม่ร่วมทุกข์ไม่ร่วมสุข ร่วมแต่การได้หน้า

เมื่อเราไม่ทำงานเพราะมีเงินมาล่อ แล้วสนใจอะไรก็เรื่องนี่ ในฐานะที่เป้นผอก. ผมบอกว่าทุกPCU ในความรับผิดชอบของผม ได้มาตรฐานตามที่บริบทเป็น และกำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นที่ชุมชนเป็นที่ให้ความดูแลหลัก ไม่ว่าคุณจะเอาแบบอะไรมาให้ผมประเมิน ผมให้ผ่านหมด

มีเวลามาตรวจสอบว่าผมโกง ก็มาซิครับ จะได้เห็นกันว่าที่ออกๆกันมานะ มันใช้กับชีวิตจริงได้หรือเปล่า

อธิบายมายาว ไม่รู้ว่าจะบอกสมคบ อย่างไร ว่าควรทำอย่างไร (เพราะเดี่ยวนี้ รู้สึกว่าไม่ใช่คนรู้อะไรมากมาย โดยเฉพาะเรืองของตัวเองยังไม่ชัด จะไปตอบแทนเรื่องคนอื่นนี่ก็ลำลาก)ตอนนี้เฉพาะ ตัวผมเองนะ กำลังทำตามที่อ๊อตโต้ ชามม์เมอร์ พูดไว้ตอนที่บอกว่า เราจะผ่านโลกที่โกลาหลจนไม่มีรู้ว่าใครเป็นใคร ทุกคนทำดี ทำถูก แต่มีคนรับเคราะห์ทุกครั้งไป ว่า

"Follow your heart not follow your head"

เชื่อสิ่งที่หัวใจตัวเองบอกเถอะครับ

  • สวัสดีครับ
  • อ่านบันทึกนี้ด้วยความตื้นตันใจครับ
  • อยากให้หลายๆ คนได้อ่านบันทึกนี้ 
  • จะได้ระลึกและถามตัวเองว่าเราเป็นใคร
  • ผมเคยพบหมอที่ รพ.แม่แจ่มไหมครับ

ผมเคยอยู่รพ.แม่แจ่ม ช่วงปี 34-35 ครับ ถ้าสิงห์ป่าสักอยู่ ช่วงนั้นคงได้เจอกันครั้ง แม่แจ่มตอนนั้นเมืองเล็กมาก

  • นำครอบครัวมาแนะนำครับ
  • เผื่อหมอจะนึกออกว่าเคยเจอกันที่ รพ.แม่แจ่มบ้าง
  • ผมทำงาน กศน.ส่วนแม่บ้านเป็นพยาบาลและพักอยู่ใน รพ.แม่แจ่ม ชื่อพวงทอง (เข่ง)
  • เราพักอยู่ใน รพ.แม่แจ่มช่วง 31 ตอนนั้นหมอโจ เป็น ผอ. 
  • ต่อมาปี 34 ผมไปทำงานที่กำแพงเพชร
  • ปี 35 เข่งจึงย้ายตามผมมาอยู่ที่กำแพงเพชรครับ อยู่สถานีอนามัยคลองเมือง อ.โกสัมพีนคร
  • ยินดีที่ได้ ลปรร.ผ่านบล็อก G2K ครับ

 

5555 เอาแว่นตาดำออกจำได้เลย สบายดีนะครับ ไม่ได้เจอกัน หนึ่งทศวรรษเอง ดีใจที่ได้เจอครับ

  • สวัสดีครับ
  • ภาพนี้ถอดแว่นตาดำออกแล้วนะครับ
  • พอบอกเข่งว่าหมอ ผอ.รพ.สันทรายก็เขียนบล็อก ใช้นามแฝงว่า เจได วฆ เคยอยู่ ร.พ.แม่แจ่ม
  • เขาบอกโดยทันทีว่า อ๋อก็หมอวรวุฒิไง
  • อิอิ..ผมก็เลยจำได้ครับ

 

  • 51052801

สวัสดีครับอาจารย์

 ดีใจที่ได้พบกับตัวจริงครั้งแรกครับ

  ถึงเวลาที่ได้พบกัน..แล้วผมได้ได้ฟัง  เรียนรู้ซึมซับจากท่านอาจารย์ครับ...

  สิ่งที่ได้คือ

   - เรื่องราว  การจัด  และบรรยากาศแบบ world cafe  ที่ได้ยินและอ่านมาจากท่านอาจารย์นกไฟ..  ผมสัมผัสได้ถึงสิ่งที่ดีๆหลายอย่างมากครับ  

  ได้คิดย้อนกลับไปที่ต้นปี  ที่เราจัดที่รพ  เราไม่รู้ว่าเป็น  world cafe  เพียงแต่เราต้องการเปิดพื้นที่เพื่อระดมสมอง  และมีประเด็นให้  มองดูคล้ายเป็นส่วนหนึ่งเล็กๆในรูปแบบนี้ครับ

 

 - เข้าใจเรื่องราวของ U-theory มากขึ้นครับ  แม้จะผ่านมา แล้วบ้าง สัมผัสมาแล้วบ้าง  ฟังจากท่านสมคบก็บ่อยๆ...  วันนี้ละเอียดมากขึ้นครับ  พยามเอามาทำความเข้าใจให้รู้จริงๆครับ

  - เรื่องของการเรียนรู้    สิ่งที่อาจารย์บอกว่า 

           การเรียนรู้ต้องเกิดขึ้นที่ภายในของเราเอง  

          การพัฒนาองค์กร ผู้คนในองค์กรที่รู้จักองค์กรมากที่สุดน่าจะทำได้ดีกว่า  การจะฝากความหวังกับคนภายนอกนั้นไม่น่าจะถูกต้องนัก

         การลงมาสู่ก้นของตัว U นั้นเราต้องลงมาเอง  ไม่มีใครถีบเราลงมาได้ครับ

 

  - เรื่องของความรู้  การเรียนรู้  ข้อมูลข่าวสาร  การสร้างความรู้นั้น  จาก วีดีโอ สั้นๆ  ทำให้ผมได้พระหนักเพิ่มขึ้นอีก

 

   จริงๆผมไปวันนี้วันเดียวนะครับ  และไปแบบเพิ่มเติม  และสังเกตการณ์  และร่วมแบ่งปันครับ  วานนนี้ไปไม่ได้ครับหมอน้อย

    รพ.ปายไปกัน 5 คนนะครับ  พรพ.บอกให้สองคน  แต่ว่าเราขอเพิ่มครับ....^_^

 

    อยากแบ่งปันกับท่านอาจารย์ต่อเหมือนกัน  แต่ว่าต้องรีบกลับบ้านครับ

   หนาวนี้อาจจเชื้อเชิญท่านอาจารย์มาเยี่ยมเราชาวปายบ้างนะครับ

....

 

 -

นั่นนะซิ ว่าจะทักทายกันมากกว่านี้ เพราะตอนน้องมาทัก กำลังชุลมุนอยู่ ไม่เป็นไรครับ รู้สึกว่าอีกไม่นานคงได้เจอกัน เสียดายวันแรกไม่มา ตัวworld cafe นี้ใช่พลังร่วมของผู้เข้าร่วมครับ ผมรู้สึกว่าผู้เข้าร่วมครั้งนี้มี Intention ดีมากครับ

เป็นแรงพาให้ หลายคน ดำดิ่งไปถึงก้นตัวยู เพียงวันแรกเท่านั้น

ถ้าพรพ.อยากได้ตัวประเมินการทำworld cafe ครั้งนี้

ให้เอาตอนท้ายของวันแรก ตอนที่ทุกคนสะท้อน ขนลุกเลยครับ

เอ...หรือ KPI ของ งานนี้คือ จำนวนของขนที่ลุก อิๆ

หนาวนี้ อาจจะเหรอ.. แหม..น่าจะเป็นเชิญเลยนะ 55555

แล้วเจอกันอีกทีนะครับ

Be presencing

สวัสดีครับ

พรุ่งนี้จะไปเรียนรู้ที่สถาบันฯ  เชียงรายครับ

เรื่อง Km สู่วิถีองค์กรที่มีชีวิต

อาจารย์มีอะไรที่จะเเนะนำบ้างหรือเปล่าครับ...

ตอนนี้ผมเตรียมตัว  โดยทำความเข้าใจกับสุนทรียสนทนามากขึ้น

 อ่านชีวิตใหม่หัวใจใหม่    ผู้นำกับวิทยาศาสตร์กระบวนทัศน์ใหม่

 หันหน้าเข้าหากัน

 ค้นคว้าเรื่อง U-theory  ให้เข้าใจมากขึ้นครับ

  และไม่ดู  ไม่สนใจเรื่องการเมืองสัก3 วันมาเเล้วครับ

เราไปกันทั้งหมด 4 คนครับ 

 คาดหวังว่าทุกคนที่ไปจะกลับมาเป็นกระบวนกรในองค์กร  หรือนอกองค์กรเพื่อพัฒนาเปลี่ยนแปลง  ไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นครับ....

 

  วันนี้มีประเด็นเรื่องการส่งต่อครับ

   เช้านี้ส่งไปทีเดียว 3 คนครับที่นครพิงค์

   เป็นคนต่างด้าว 2 คน  ซึ่งไม่มีสิทธิบัตรอะไร

  แต่ล้วนจำเป็นต้องได้รับการรักษา

   คือกระดูก femur หัก   อีกคน  Severe RHD 

  ตอนเช้าโชคดีมากเลยครับ  ที่สามารถรับได้  ติดต่อเพียง 10 นาทีก็จบ  ซึ่งบางครั้งต้องนานเป็นชั่วโมงๆ  เลยครับ

  คนที่สองนั้น  ถ้าต้องจำเป็นต้องผ่าตัดหัวใจ คงจะเป็นเรื่องที่วุ่นๆและยากลำบากมากเลยนะครับ  ที่จะเป็นไปได้

   แต่ก้เคยเกิดขึ้น 1 คนแล้วครับ  ที่ปางมะผ้า  คนไข้ ต่างด้าว RHD  ต้องผ่าตัด  พี่หมอ  ผอ  ท่านใด้ขอให้เป็นคนไข้  พอสว  ของพระพี่นาง   จนคนไข้ได้ผ่าตัดที่มหาราชครับ  มีเรื่องเล่าที่ยาวและน่าสนใจมากครับ  เกี่ยวกับผู้ป่วยรายนนี้ตั้งแต่ก่อนผ่า  ช่วงผ่า  และหลังผ่าอีกหลายเดือน.....

 

      วันก่อนมีคนไข้  scrub  คนหนึ่งที่กลับมาจากศูนย์สำรองเตียงที่ราชเวช  นอนอยู่นาน 10 วัน  หมดไปหลายแสนเหมือนกัน  ที่สสจ ต้องจ่าย  แต่คนไข้ก็รอดปลอดภัยกลับมาได้ครับ

    เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นดีๆ  เมื่อเห็นเขากลับมาปกติ  และมาขอบคุณเรา  และบอกเล่าเรื่องราวของชีวิตช่วงที่วิกฤติ....

   ถ้ายังไม่มีระบบสำรองเตียง  ก็ไม่แน่ใจว่า ที่รพ ของรัฐใหญ่ๆ  ซึ่งเขาเต็มอยู่แล้วจะรับได้หรือเปล่า..และจำทำอย่างไร  ให้เรารักษาต่อ  แล้วคนไข้.....   ไม่ค่อยอยากคิดไปต่อเลยครับ

   ระบบที่มีอยู่ผมก็ว่าพอใช้ได้ครับ

 

   ต้องขอขอบคุณระบบ  call center  ที่ปายเราได้รับความกรุณา  และความเอื้อเฟื้อจากพี่ๆ  พยาบาลที่ทำหน้าที่ประสานงานอย่างดี  ผมเคยไปเยี่ยมพี่ๆเขาหลายครั้ง  เอาของไปฝาก  ไม่ได้ติดสินบนนะครับ   เพียงแต่ว่าผมรู้สึกว่าการทำงานตรงนี้ต้องชนกับคน 2 ข้าง  แบกรับความกดดัน มาก  

  บางครั้งก็ได้สัมผัสถึงความทุกข์ของพี่ๆ   ก็พูดคุยกันผ่านโทรศัพท์ครับ   ให้กำลังใจคนทำงาน  คนไข้ที่ส่องต่อนั้นล้วนไกล้ความตาย  คาบลูกคาบดอก... งานตรงนี้มีคุณค่ามากๆครับ...

 

 ขอบคุณครับ  ขอโทษที่ไปหลายเรื่องหน่อยครับ...

 

 

ลองคิดจินตนาการดู

อยากให้พี่มาเยี่ยมและ comment เพิ่มเติมครับ

http://gotoknow.org/blog/km-sabai/185796

ลองคิดจินตนาการดู

อยากให้พี่มาเยี่ยมและ comment เพิ่มเติมครับ

http://gotoknow.org/blog/km-sabai/185796

คงไม่มีอะไรแนะนำ นอกจาก ขอให้ได้เห็น ในสิ่งที่เห็นจริงๆ ขอให้มีความกล้าในการพูดในสิ่งที่ตัวเองคิด แม้จะแตกต่าง ขอให้ได้กระทำในสิ่งที่ตัวเองคิด และได้เห็นว่าเราได้กระทำอะไรลงไปแล้วเกิดอะไรครับ

รพ.นครพิงค์ได้พัฒนาระบบส่งต่อขึ้นดีมากๆ กว่าสมัยก่อนเยอะครับ พี่น้องเราที่นั้นส่วนมากมีพลังในการทำงานที่ดีมาก

เป็นที่พึ่งให้แก่พวกเรา รพช.ตลอดมา

ให้กำลังใจ Call center ด้วยอีกคนครับ

สวัสดีครับ

ผมไปเชียงรายมาเกิดเรื่องดีๆมากมายเลยครับ

ไปกัน 4 คน  มีคนเข้ร่วมเพียง 4 คน  คือเรา  และกระบวนกรอีก 6 ท่าน  อบอุ่นและไกล้ชิดมากครับ

สัมผัสได้ถึงพลังของการฟัง  การไม่ตัดสิน  และการเรียนรู้แบ่งปัน

ได้เรื่องราวของการพูดคุยกับเสียงภายในเพิ่มครับ

  เวลา 4 วันที่อยู่ร่วมกันกับคน 4 คนนั้นเหมือนว่าเข้าใจ  รับรู้  สัมผัสกันเป็น 10 ปี 

  แค่เวลา 4 วันนั้นมากกว่าที่ร่วมงานกันมา 2 ปีมากครับ

 

  ถ้าเราสามารถทำแบบนี้กับคนทุกๆคนในองค์กรได้ก็คงจะดีนะครับ

แต่กลับมาก็พบกับเรื่องราวที่หลากหลายมากครับ

 

   ผมมองว่ามันเป็นการปะทะกันของกระบวนทัศน์

   มันคือศึกของผู้พิทักษ์ของแต่ละคน....

   (ความไม่เข้าใจกัน  ความคิดที่ไม่ตรงกัน  และแม้จะอธิบายและคุยกันหลายครั้งแต่ก็ไม่สามารถตกลง  เข้าใจตรงกันได้  )

   ผู้พิทักษ์ที่เข้มแข็งนำมาซึ่งการไม่ยอมกัน  ของผู้ที่หมวกทางสังคมว่าเป็นผู้ใหญ่....

   แม้แต่กระบวนกรเองก็ไม่สามารถ  Hold space บุคคคลเหล่านนี้ได้...

  มือใหม่เรียนรู้ครับอาจารย์....

ผมได้เรียนรู้เรื่อง 5 ประสิทธิภาพของการเรียนรู้

 จำคำครูท่อนหนึ่งที่ชัดในใจมากครับว่า...

    ถ้าเราเป็นเซียน...เราจะไม่โทษผู้อื่น  ปัญหา  เรื่องราวที่ติดขัด  ถือเป็นโอกาส  ที่เซียนจะได้ใช้ความรู้...  ที่จะดูแลวาระของเขาเหล่านั้น

   เรื่องราวที่ทำให้ผมอื้ออึงไป 1 วัน  ก็สรุปลงเอยไปได้

   ด้วยคำของครู  และฐานคิดเดิม  คือ การให้อภัย  และเชื่อมันในความเป็นมนุษย์ของแต่ละผู้คน  เชื่อมั่นในความสามารถในการเติบโต  การเรียนรู้และเปลี่ยนแปลง  เพียงแค่เรารอคอย  เข้าใจวาระของเขา....และเราเอง

   ผมสรุปในเบื้องต้นว่า  ความขัดแย้ง  ปัญหา  อุปสรรค  ความแตกต่าง  คือโอกาสของการเรียนรู้  คือพื้นที่ๆจะทำให้เราได้พัฒนาตนเองเพิ่มขึ้นครับ

 

 ขอใช้พื้นที่นี้เรียนรู้กับพี่นะครับ....

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท