ปิดร้านเน็ต ต้นตอเด็กเซ็กซ์หมู่


หน้าที่ ความรับผิดชอบ

 

ปิดร้านเน็ต ต้นตอเด็กเซ็กซ์หมู่ ยังไม่ให้ประกัน
หัวข้อข่าวจาก นสพ.(ไทยรัฐ  27 เม.ย. 51 - 04:07)
     จากหัวข้อข่าวอ่านแล้วหดหู่ใจ  โอหนอเมืองไทยเกิดอะไรขึ้น   จะโทษเด็กหรือโทษใครคงไม่ได้    นี่คือปลาย เหตุ  แล้วต้นเหตุมาจากไหน   ก็คงมาจากระบบองค์รวมของสังคม    เริ่มจากจุดเล็กๆคือครอบครัว  พ่อแม่คือครู คนแรกของลูก  จะให้โรงเรียนและครูเป็นผู้อบรมบ่มนิสัย แต่เพียงฝ่ายเดียวคงไม่ได้    ระยะเวลาที่เด็กอยู่บ้านนั้น มากกว่าอยู่ที่โรงเรียน  แต่การที่เด็กอยู่บ้านก็ไม่ได้หมาย ความว่า  จะได้อยู่กันพร้อมหน้า พ่อ แม่ ลูก   โดยเฉพาะในเมืองใหญ่  ที่การจราจรยังไม่สามารถกำหนดเวลาเดินทางได้   พ่อแม่ยังไม่กลับ  เด็กๆจึงไม่มีใครดูแล  และเด็กสมัยนี้ไม่ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบ   ต่างจากสมัยก่อนที่เด็กทุกคนต้องมีหน้าที่รับผิดชอบ  เช่นคนโตหุงหาอาหาร  คนรองปัดกวาดเช็ดถูบ้าน  คนต่อมาเลี้ยงน้อง  และอีกหลาย
หน้าที่  เช่นเก็บผักหักฟืน  ล้างจาน  เป็นเรื่องที่พ่อแม่ปลูกฝังให้ลูกๆทุกคน  ต้องรู้หน้าที่มีความรับผิดชอบ 
      เพราะเทคโนโลยีที่ก้าวเร็วเกินไป  ไหลบ่าทะลักเข้ามา ในขณะที่ทุกคนยังไม่ได้เตรียมพร้อม  ไม่มีวัคซีนป้องกัน จึงไม่มีภูมิคุ้มกัน   เรารับเทคโนโลยีเข้ามาอย่าง  รู้ไม่เท่า ตามไม่ทัน  การตักน้ำ หุงข้าว ซักผ้า หุงหาอาหาร ไม่ต้อง ทำเอง  เวลาจึงเหลือว่างมาก   เมื่อว่างก็ดูโทรทัศน์   เล่น เกมอินเตอร์เน็ต (สื่อจึงคล้ายดาบสองคม ) เด็กจึงสบายไม่ต้องรับผิดชอบ  นิสัยนี้จึงติดตัวไป    เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่จึงไม่แกร่ง   ไม่เข้มแข็ง เหมือนดาบที่ไม่คม  เพราะขาดการเผาไฟร้อน  ใช้ฆ้อนทุบ  ชุบนำยา  ลับและฝนจนคม  แต่เด็กไทยวันนี้เหมือนมีดที่เก็บไว้ในฝัก  จึงเป็นสนิม ฟันอะไรไม่เข้า 
       พ่อแม่ทุกคนรักลูก  แต่การรักอย่างเดียวคงไม่พอ  ต้องรักให้ยาวๆ  อย่ารักเพียงวันนี้  เพราะพ่อแม่ไม่ได้อยู่กับลูก  หรือเลี้ยงลูกตลอดไป  วันหนึ่งเขาต้องเติบโตไปอยู่ในสังคม   ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบ  มีครอบครัว  ถ้าเขาเปราะบาง  เดินทางผิด  พ่อแม่คงนอนตายตาไม่หลับแน่ๆ
       สรุปแล้ว คงไม่กล่าวโทษว่าใครผิด  เสียเวลาเถียงกัน  ทุกคนต้องร่วมมือร่วมใจกัน  โดยเริ่มต้นที่จุดเล็กๆคือตัวเรา  คนในครอบครัวเรา  คนที่เรารักและเป็นห่วง  ถ้าทุกคนทำหน้าที่ให้ดีที่สุด  ผลสุดท้ายสังคมก็คงจะค่อยๆเริ่มดีเอง  อาจไม่ทันตาเห็นหรือเร็วเกินไป  การปลูกไม้ใหญ่ต้องใช้เวลา  ต่างจากการเพาะถั่วงอก 
       เกี่ยวกับเรื่องนี้ผมจึงแต่งกลอน ชื่อกลอนว่า เลี้ยงลูก ให้เป็นคน  ฝากมาให้อ่านกันเล่นๆ
                           
เลี้ยงลูกให้เป็นคน
เด็กรุ่นใหม่สบายแท้กว่าแต่ก่อน           
กินเล่นนอนดูทีวีดนตรีหนัง
งานไม่ต้องดูแลแต่ขอตังค์(สตางค์)        
ไม่ได้ดังต้องการพาลเกเร
         เด็กสมัยแต่ก่อนนอนตื่นเช้า               
         ต้องหุงข้าวตักน้ำไม่ทำเฉ
         เมื่อยามน้องร้องไห้ช่วยไกวเปล           
        ไม่เสเพลให้แม่พ่อต้องท้อใจ
เรียนหนังสือสื่อไม่มีมีแต่ชอล์ค            
ครูเขียนบอกลอกตามต้องจำได้
ไปโรงเรียนตื่นแต่เช้าห่อข้าวไป           
เดินย่ำไปไร้รองเท้าก้าวคล่องดี
          สื่อบันเทิงทีวีไม่มีช่อง                     
          ถึงบ้านต้องทำงานการหน้าที่
          ลิเกหนังที่หมู่บ้านนานจึงมี                
          ส่วนมากมีหนังฉายพร้อมขายยา
ทุกเวลานาทีไม่มีเว้น                      
แม้ยามเล่นยังต้องคอยมองหา
เพราะเลี้ยงน้องต้องไม่พลาดคลาดสายตา   
รู้เวลารู้หน้าที่มีวินัย
          แต่เดี๋ยวนี้เด็กสบายไร้หน้าที่               
          งานไม่มีประจำแม่ทำให้
         ไม่มีส่วนรับรู้ดูแลใคร                     
          เมื่อเติบใหญ่ใจจึงแล้งไม่แบ่งปัน
ไม่รู้เขารู้เราเอาแต่ได้                      
ไม่สนใจใครจะมองเรื่องของฉัน
 เรื่องคนอื่นไม่ใส่ใจไม่สำคัญ              
 เอาตัวนั้นเป็นที่ตั้งไม่ฟังใคร
          ถึงวัยต้องแต่งงานหวานเริ่มต้น             
          แต่พอพ้นหวานหมดไม่สดใส
          พอเริ่มคุ้นเป็นกันเองไม่เกรงใจ             
          เมื่อต่างใหญ่จึงไม่ยอมถนอมความ
อ้างสิทธิกฎหมายชายและหญิง             
ชายก็หยิ่งหญิงก็เหยียดจึงต่างหยาม
อารมณ์ร้อนข่มขู่ทำวู่วาม                   
ไม่ทันข้ามพ้นปีหนีห่างไกล
          ต้องสืบเรื่องต้นตอพ่อกับแม่               
          เลี้ยงดูแลไม่อบรมบ่มนิสัย
         ไม่ฝึกหัดรับผิดชอบมอบอะไร              
          ทำแทนให้ทุกอย่างสร้างเคยตัว
เมื่อเติบใหญ่ไม่มีงานบ้านทิ้งรก             
สกปรกรุงรังวางไปทั่ว
ชอบแต่งหน้าทาปากแดงชอบแต่งตัว        
เรื่องในครัวไร้ฝีมือซื้อถุงกิน
         ขาดเสน่ห์ปลายจวักรักจึงหน่าย             
         หญิงและชายมุ่งหน้าหาทรัพย์สิน
         ต่างไม่เอาใจใส่ใจชาชิน                    
         สร้างมลทินให้ลูกน้อยพลอยรับกรรม
                      สมเจตน์  เมฆพายัพ
                แต่งเมื่อ ๘ กันยายน ๒๕๕๐
หมายเลขบันทึก: 179005เขียนเมื่อ 27 เมษายน 2008 13:55 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 12:33 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (16)

ขอบพระคุณค่ะ คุณลุง ขา

คุณลุงแต่งกลอนเก่งจังเลยค่ะ เมื่อไหร่รวมเล่มบอกอ๋อนะคะ

เด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า แต่เด็กมักตกเป็นเหยื่อ สังคมจ้องหาผลประโยชน์และรุมรังแก โดยไม่คำนึงถึงอนาคตของชาติกันบ้างเลยค่ะ

ขอให้โลกสงบสุขค่ะ

สวัสดีหลาน อ๋อทิงนองนอย

  • ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมลุง 
  • จริงอย่างที่หลานว่า  เด็กวันนี้เขาคือผู้ที่จะดูแลรับผิดชอบบ้านเมืองแทนพวกเรา  แต่ถ้าผู้ใหญ่ในวันนี้รังแกเขา  เอาเปรียบเขาอนาคตประเทศนี้จะเป็นอย่างไร  เป็นห่วงลูกหลานในวันข้างหน้าจริงๆ
  • ลุงแต่งกลอนไว้มากกว่า ๒๐๐ กลอน  ที่รวมเล่มแล้วก็มี  วันหลังจะส่ง  เป็น File มาให้  หรือจะให้ส่งทางไปรษณีย์ก็ได้
  • ก็คุยกันกับเพื่อน ๆ หลายครั้งหลายหน
  • ไป คอมเม้นท์ ไว้ใน blog อื่นก็หลายคน
  • ทุกวันนี้ลูกหลานก็หลงระเริงกับสิ่งรอบกายจนไม่เหลียวหลัง หมกมุ่นเรื่องอะไรรู้กัน เสียเวลากับสิ่งไม่ควร
  • เช่น แชทหาคนมา...
  • นัดพบคนไม่รู้จัก ช่างกล้านักแล้วก็เป็นเรื่อง ข่าวก็มีเยอะ ก็ยังทำอีก
  • โทรศัพท์ ไม่เลิก ใช้มากพอๆ กับนักธุรกิจใหญ่
  • เลียนแบบ ดารา โดยเฉพาะสาวๆ เช่น เรื่องแฟชั่น การพูดจา
  • แต่ ไม่เลือกเลียนแบบส่วนดีของดารา

 

 

สวัสดีค่ะคุณสมเจตน์

หลายๆเรื่องราวที่เกิดขึ้นคงไม่มีคำตอบเดียวนะคะ ไม่มีคำตอบเบ็ดเสร็จว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร  และเบิร์ดเชื่อว่าคนทุกคนในสังคมล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อยด้วยกันทั้งนั้นเพราะเราเป็นสิ่งแวดล้อมของกันและกัน

เด็กๆเค้าน่าสงสารจังค่ะเพราะการเติบโตขึ้นท่ามกลางกระแสที่ไหลบ่าต่อเนื่องโดยไม่มีหลักที่ดีในตัวเอง ก็ไม่ง่ายเลยนะคะที่จะเติบโตได้อย่างมีคุณภาพ

ความรับผิดชอบ ความเอาใจใส่ที่เริ่มตั้งแต่คนคู่หนึ่งไปจนถึงบุคคลอื่นๆที่อยู่รอบข้าง และคนในสังคมเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีในการสร้างคุณภาพที่ดีของประชากรรุ่นต่อๆไป..

เราค้นหาว่าทำไมมานานแสนนานนะคะ แต่เรายังไม่ลงมือทำอย่างจริงจังกันเสียที มีบ้างในบางส่วนที่ทำๆๆๆๆๆอย่างต่อเนื่องแต่ก็ยังไม่มากพอ...ที่จะฉุดรั้งให้เดินขึ้น ไม่มีเดินลง

เป็นปัญหาใหญ่ทั่วโลกที่เราต้องช่วยกันทุกฝ่ายค่ะ การชี้นิ้ว กล่าวโทษไปที่ใดที่หนึ่งโดยเฉพาะคงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมากนักเนาะคะ...แต่เบิร์ดเห็นด้วยอย่างแรงว่าการควบคุมสิ่งที่ไม่เหมาะสม  ลงโทษผู้ที่ไม่มีความรับผิดชอบ รวมทั้งการสร้างปัจจัยเอื้อที่ดีเป็นสิ่งควรทำอย่างยิ่ง

ขอบพระคุณมากค่ะสำหรับบันทึกที่ชวนคิดบันทึกนี้

สวัสดีครับคุณmorisawa
 

  • ขอบคุณที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น
  • ก็ยังคงยืนยันว่าไม่ได้โทษเด็กๆ  พฤติกรรมที่เขาเป็นอย่างนี้  ไม่ได้เกิดขึ้นทันทีทันใด  แต่สิ่งแวดล้อมทำให้เขาเป็นแบบนี้  ถ้าจะย้อนไปถึงต้นตอก็ต้องคุยกันยาวมาก  โดยภาพรวมก็ต้องย้อนไปถึง  ระบบการเมืองการปกครอง  76ปีที่ผ่านมาไทยเรามีรัฐธรรมนูญถึง 18 ฉบับ  (และนี่ก็กำลังจะแก้อีกแล้ว) เรามีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ   มาตั้งแต่ปี 2504 รวม10 ฉบับ  แต่หันกลับไปมองสังคมแล้ว  สลดหดหู่ใจคนจนก็ยังยากจนอยู่อย่างนั้น  คนรวยมีไม่กี่กลุ่ม  คุณภาพด้านความรู้ความสารถนักการเมืองของเรา  ไม่แพ้ใครในโลกมีด๊อกเตอร์มากมาย  แต่ขาดความสำนึกรักบ้านเกิด  จึงสู้นักการเมืองของสิงคโปร์มาเลย์ ไม่ได้เลย  นักการเมืองของเราฉลาด เก่ง แต่ฉลาดแบบศรีธนญชัย  สังคมเราจึงเป็นแบบนี้  ประชาธิปไตยก็เป็นเพียงเปลือก  มีแต่กระพี้ไม่มีแก่น 
  • ที่บ่นมายืดยาวก็เพียงแต่ไม่อยากให้โทษเด็กๆ  เพราะนี่เป็นปลายเหตุ  เป็นผลพวงจากการถูกกระทำ    ของผู้ใหญ่ใจแคบ  เห็นแก่ตัวหวังแต่ความร่ำรวย  โดยเฉพาะเครื่องมือหรืออาวุธร้ายก็คือสื่อนี่แหละ  (ผมเองก็ทำงานด้านการศึกษาและด้านสื่อ  แต่เป็นจุดเล็กๆที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้)
  • อยากให้เข้าไปช่วยให้ความเห็นในบล็อกอ๋อทิงนองนอย เขามีเรื่องสนุกๆเกี่ยวกับการเมือง มาคุยเยอะเลย

สวัสดีครับคุณหมอ เบิร์ด 

  • ขออภัยที่เข้ามาตอบช้าไปหน่อย  
  • ขอบคุณที่มีข้อคิดดีๆ 
  • ทุกครั้งที่ได้อ่านความคิดเห็นของคุณเบิร์ด  จะรู้สึกว่าสบายใจ  แม้เรื่องหนักๆแต่คุณหมอก็จะทำให้อุณหภูมิลดลงได้ 
  • ผมเองมองเห็นสังคมที่เป็นแบบนี้มานาน  เพราะชีวิตผ่านมาเกือบจะเกษียณแล้ว  แต่ก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้  ส่วนใหญ่ผมจะมีมุมมองสังคมโดยผ่านบทกลอน  กลอนที่แต่งไว้200 กว่ากลอน  จึงไม่มีกลอนหวานๆเลย  มีแต่กลอนที่สะท้อนสังคม  อย่างที่เคยส่งมาให้อ่านนั่นแหละครับ 
  • ทุกวันนี้งบประมาณแผ่นดิน  ทุ่มไปกับปลายเหตุ เป็นงบด้านป้องกัน ปราบปราม  มากกว่าเพื่อการปลูก  โดยเฉพาะปลูกคน  เราเพิ่มตำรวจ อัยการ ศาลและคุก แม้แต่เรื่องรักษาพยาบาลก็เป็นปลายเหตุ  หมอประเวส  วะสี  ท่านยังเปรียบว่า หมอนั้นเปรียบเหมือนช่างซ่อม  แต่ครูนั้นเปรียบเหมือนผู้สร้าง  ถ้าลงทุนสร้าง ลงทุนปลูกให้ดีมีคุณภาพ  ก็ไม่ต้องซ่อมบ่อยๆ  ด้วยเหตุนี้ประเทศของเราจึงยังวนเวียนอยู่กับเรื่อง  โง่ จน และเจ็บ  คงจะต้องช่วยกันแก้ไปพร้อมๆกัน
  • กลับมาเติมนิดค่ะ อ่านแล้วรู้สึกเหมือนทำให้คุณรู้สึกไม่ดี..เลยไม่สบายใจ ขอกลับมาในเรื่องนี้อีกครั้ง
  • ที่เขียนไว้ ไม่ได้คิด ว่าเป็นความผิดของเด็กนะคะ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนไทย
  • พฤติกรรมที่เด็กและเยาวชนที่เป็นอย่างนี้ เกี่ยวเนื่องมาจากธุรกิจ ที่หวังกอบโกยผลกำไร จนลืมรับผิดชอบต่อสังคม
  • คงเข้าใจกันนะคะ ยืนยันไม่ได้โทษเด็กเช่นกันค่ะ
  • ...สิ่งที่ผู้ใหญ่ในวันนี้หยิบยื่นให้...ผู้ใหญ่ในวันหน้า...คืออะไร ข้อความนี้ คือสิงที่คิด ที่เขียนตอบไว้ในบันทึกของตัวเอง
  • สงสัยการสื่อสารของเรามีปัญหา ต้องแก้ ๆ

 

  • ลืมขอบคุณค่ะ ทั้งความเห็นและแนะนำบันทึกดีๆให้

 

สวัสดียามเย็นค่ะคุณสมเจตน์

* อ่านบทกลอนสไตล์นี้แล้วคิดถึงป๋าปู ค่ะ

* แบบแต่งกลอนคล้ายๆ แบบเดียวกัน ชื่นชมค่ะ

* เห็นด้วยค่ะ ครูนั้นเปรียบเหมือนผู้สร้าง  ถ้าลงทุนสร้าง ลงทุนปลูกให้ดีมีคุณภาพ 

* แต่จากข้อสังเกตุและที่ได้รับรู้มา ... นโยบายรัฐอาจไม่ถูกจุด หรือยังไงไม่ทราบได้ ทำให้ทุกวันนี้ ครูจะมุ่งเน้น แข่งกันเพิ่มวิทยฐานะ .. ส่วนใหญ่

* ครูดีๆ ที่มีอยู่ก็จะเหนื่อยมากหน่อย บางครั้งก็ทนกระแสไม่ไหว เป็นงั้นไป เห็นใจค่ะ

ก็คงต้องสร้าง มุมมองที่ดีๆ เป็นกำลังใจให้กันและกันต่อไป ขอบพระคุณค่ะ 

 

* อีกส่วนที่สำคัญคือ สื่อ จะมีบทบาทกับเด็กและเยาวชนมากๆ ค่ะ บางครั้ง สื่อก็เอาใจระบบธุรกิจมากไป ... อันนี้ก็ต้องโทษรัฐอีก

* เดี๋ยวจะมองว่า อะไรๆ ปูก็โทษรัฐหมด .. ในส่วนของเรา ฟันเฟืองเล็กๆ ก็คงต้อง มองที่ครอบครัว ใช่ไหมคะ

* เพราะครอบครัวคือรากฐานของสังคมคุณภาพ *

สวัสดีคุณหลาน morisawa

    ขอบคุณที่เข้าใจ และจะขอเรียกลุงเหมือนหมออ๋อทิงนองนอย ตกลงยอมรับเงื่อนไข  เพราะเห็นว่าตอนนี้คงคุยกันรู้เรื่องแล้ว

 

  • สวัสดีครับอาจารย์
  • ลีลากลอนพริ้วไหว ดังสายน้ำ
  •  ขออนญาตนำกลอนลุงเวทย์(รุ่นน้อง ลุงเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์) มาร่วมโพสไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
  • ดัด : โดย เพิ่มบุญ (เสริมศักดิ์) เปลี่ยนภู่ นามปากกาเวทย์
    หนังสือกลอน ข้างกองไฟ
    อะไรที่เราทำอยู่ซ้ำซาก
    มักฝังรากกลางจิตติดนิสัย
    ยิ่งปล่อยนานตรึงแน่นแก่นหทัย
    ก็เรียกใหม่สั้นสั้นว่าสันดาน

    วิธีฝึกอบรมบ่มความคิด
    อย่าเผลอผิดเพียงให้นั่งฟังโวหาร
    ยิ่งผ่านหูรู้มากยิ่งยากนาน
    กลับดื้อด้านอวดดีมากมีมา

    หากเมื่อในวัยเยาว์ลืมเกลาขัด
    ต้องฝืนดัดไม้แก่แก้ปัญหา
    ตามแบบดึกดำบรรพ์ภูมิปัญญา
    ท่านสอนว่าทำได้โดยไฟลน

    โดยอาศัยไฟจ่อพอให้ร้อน
    ดัดให้อ่อนทีละน้อยค่อยเห็นผล
    เปรียบแนวทางแก้ไขนิสัยคน
    หากผ่อนปรนปล่อยปละจะเสียการ

    ต้องบังคับเคี่ยวเข็ญอยู่เป็นนิจ
    ย้ำจนติดนิสัยวินัยทหาร
    ความเคยชินเลื่อนชั้นเป็นสันดาน
    ถึงเนิ่นนานแน่นอนไม่คลอนแคลน

    อย่าแค่เพียงเลี้ยงดูอุ้มชูลูก
    ควรฝังปลูกให้ดีงามตามแบบแผน
    อย่ามัวรอราชการท่านทำแทน
    เพราะคุกแน่นแทบล้นด้วยคนเลว
  •  

สวัสดีตอนค่ำครับคุณ poo

  • ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยม  ตามปกติช่วงกลางวันไม่มีเวลาเข้ามาอ่านบล๊อก  ในแต่ละวันก็ต้องแย่งถนนกับคนอื่นใช้  ความจริงถ้าระบบขนส่งมวลชนสะดวกเหมือนญี่ปุ่น  คงไม่มีใครอยากขับรถไปทำงาน  (ญี่ปุ่นถนนว่างเพราะรถมาอยู่ที่เมืองไทยหมดแล้ว กำไรทั้งนั้น ใครได้)  กว่าจะกลับถึงบ้านก็ค่ำ  เป็นเวรกรรมของคนที่อยู่ในเมืองใหญ่(โทษใครไม่ได้เพราะเลือกมาเอง)
  • สำนวนกลอนแบบนี้คิดว่าคุณป๋าของคุณปู  ก็คงจะวัยไม่ห่างกัน  ลูกสาวของผมก็น่าจะอยู่ในวัยใกล้เคียงกับคุณปูนี่แหละ  ที่เข้ามาเป็นชาว g2k ก็เจ้าลูกสาวนี่แหละสมัครให้ 
  • ส่วนเรื่องครูที่ทำวิทยฐานะนั้น  น่าเห็นใจที่ครูบางคนสอนดี  ทำงานเก่ง  แต่ครูประเภทนี้จะไม่มีเวลาทำผลงาน  ความจริงน่าจะประเมินจากผลสัมฤทธิของเด็ก  ที่ครูคนนั้นสอนว่าเขาอ่านออกเขียนได้ คิดเป็น ทำเป็นมากกว่า 
  • รัฐเองก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องการปลูกคน  จึงต้องปราบปรามตอนปลาย  ต้องใช้งบขยายคุก เพิ่มอัยการ ขยายศาล เพิ่มตำรวจ  ปลายเหตุทั้งนั้น  เงินเดือนครูเทียบกับเงินเดือนผู้พิพากษาไม่ได้เลย  ครูจึงต้องหารายได้ด้วยการสอนพิเศษ  ขายประกัน ขายตรง  น่าเห็นใจครับ 
  • ส่วนเรื่องสื่อนั้น วันนี้ฟังข่าว ผลสำรวจเด็กผู้ชายอยากเป็นพระเอก  เพื่อจะได้ข่มขืนใครไม่ผิด  คงจะตามอย่างละครทางช่อง ๓ เรื่องหนึ่งนั่นเอง  ก็แปลกดีที่ประเทศไทยเราไม่มีสถานีโทรทัศน์เพื่อการศึกษา  ที่เป็น Free TV เหมือนประเทศที่เขาเจริญแล้ว  อย่างอังกฤษ (BBC) ญี่ปุ่น (NHK) สื่อที่มีอยู่แม้จะเป็นสื่อของรัฐ  แต่วัตถุประสงค์คือการทำกำไร  ขายโฆษณา  สารพัดมอมเมา  ไม่แต่เยาวชนนะที่ถูกครอบงำ  ประชาชนตาดำๆก็ตกเป็นเหงื่อ  เครื่องดื่มชูกำลังของนักร้องเพื่อชีวิต(กรอกอุดมการณ์ใส่ไว้ใขวด)
  • คงจบไว้แค่นี้ก่อน  ก็บ่นไปอย่างนั้นแหละตามประสาคนแก่       

 

 

มาอีกรอบค่ะ 

* เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ

แต่ครูประเภทนี้จะไม่มีเวลาทำผลงาน  ความจริงน่าจะประเมินจากผลสัมฤทธิของเด็ก  ที่ครูคนนั้นสอนว่าเขาอ่านออกเขียนได้ คิดเป็น ทำเป็นมากกว่า 

* ปูก็ต้องขอบอกเหมือนเดิมๆ อีกว่า

- - หากหัวเรือดี หางก็ตามค่ะ - -

.... หรือเราจะคว่ำเรือกันดีค่ะ แล้วก็รอยุคหน้า เฮอๆๆ

ก็คิดไปตามประสาคนขวางโลกนะคะ โปรดอย่าถือสา

อิ อิ  ... ปูรอดู การเมืองแนวใหม่ ที่โปร่งใส ไร้คอ รับ ฉัน ค่ะ

ฝันดีค่ะ  ...

 

สวัสดีครับคุณ กวินทรากร

  • ขอขอบคุณที่แวะเข้าเยี่ยม  และมีกลอนดีๆมาฝาก  ความจริงสำนวนโวหารเชิงกลอนคุณ กวินทรากร ก็ไม่แพ้ใคร (ชมด้วยความจริงไม่ได้เสแสร้ง)  ยุคสมัยนี้คนหนุ่มสาว ไม่ชอบบทกวีแบบนี้  เขาชอบกลอนเปล่า 
  • ไม่ทราบว่าไปทำงานที่นครสวรรค์  เป็นคนนครสวรรค์หรือเปล่า  ผมเองภูมิลำเนาเดิมเป็นคนนครสวรรค์ครับ

สวัสดีครับคุณ poo

  • ไม่ได้เข้ามาในบล๊อก ๒ นี้วันแล้ว  เพราะไม่ว่างวันนี้เข้ามาจึงเห็นว่า  ยังมีข้อความที่ค้างจากวันก่อนไว้ 
  • เนื้อหาข่าวคราวเกี่ยวกับการเมือง  ก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว  คงจะต้องมีเรื่องคุยกันอีกในคราวหน้า

แวะมาทักทายค่ะคุณลุง สมเจตน์

ขอบพระคุณสำหรับกลอนดีๆนะคะ นำไปฝากบ่อยๆเลยค่ะ วันนี้หอบกล้วยหอมมาฝากค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท