“ส่ายไข่ ส่ายนม….” “….เสียบตูดซ้าย เสียบตูดขวา” ท่าหากินที่รู้จักกันดีในเพลง “ไก่ย่าง” หรือแม้แต่ท่าลูบไล้ยั่วยวนในเพลง “เมียงู” ที่ดูเหมือนจะเป็นมรดกตกทอดแถมระบาดเป็นวงกว้างของอาการ “ไข้จับไข่” ในแวดวงรับน้องทั้งที่ผ่านมาหลายสิบปีและกำลังจะมีขึ้นในช่วงเปิดเทอมนี้แถมยังมีแนวโน้มจะฝังลึกลงใน DNA ของเด็กรุ่นใหม่ที่ยังไม่สามารถอ้างเหตุผลในการรับน้องได้ดีกว่ารุ่นพี่ รุ่นพ่อและรุ่นปู่ที่ว่า
1. เป็นการรับขวัญน้องใหม่ที่ต่างคนต่างมีที่มา ให้รู้จักกัน ให้เพื่อนรู้จักเพื่อน พี่รู้จักน้อง ให้สามัคคีกัน มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
2. เป็นการเตรียมตัวให้น้องรู้จักการเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เรียนรู้ระบบมหาวิทยาลัย ให้รู้จักความอดทน อดกลั้น ให้รักในสถาบัน
3. เป็นการรวมเหตุผลข้อ 1 และข้อ 2 เข้าด้วยกันตามจินตนาการและมรดกตกทอดของแต่ละสถาบัน
ด้วยเหตุผลที่วนไปเวียนมา 3 ข้อนี้ สาระสำคัญไม่ได้อยู่ที่การรับน้องใน หรือนอกสถานที่ หรือความเหมาะสมไม่เหมาะสมของท่าเต้นแต่มองว่า “พิธีกรรมรับน้อง” หนีไม่พ้นกิจกรรมการจัดระเบียบและสร้างวินัยให้น้องหันซ้ายหันขวา “ว้ากน้อง” ทั้งด้วยเสียงและด้วยลำแข้ง การซ้อมเชียร์จนเสียงแหบเสียงแห้งทั้งรุ่นพี่รุ่นน้อง เหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกิจกรรม หรือจะเรียกได้ว่าเป็น “พิธีกรรมสถาปนาอำนาจทางชนชั้น” บางสถาบันมีสโกแกนว่า “มาก่อนเป็นพี่ มาทีหลังเป็นน้อง มาพร้อมกันเป็นเพื่อน” ซึ่งก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ว่า “มาก่อนเป็นฝี มาทีหลังเป็นหนอง มาพร้อมกันเป็นทั้งฝีทั้งหนอง” ที่สะท้อนความเละ ๆ เน่า ๆ ของระบบการศึกษาที่อิงแฝงอยู่กับเงื่อนไขทางสังคมไทยกระแสหลักซึ่งได้รับอิทธิพลด้านชนชั้นและอำนาจ รุ่นน้องปีที่แล้วปรับเปลี่ยนบทบาทเป็นรุ่นพี่ หรือ “ว้ากเกอร์” ที่ทำหน้าที่เป็น “ขุนพลปฏิบัติการทางอำนาจ” ทำให้น้องกลัว ในปีนี้ วุฒิภาวะที่เพิ่มขึ้นอันได้รับจากการติดเขี้ยวติดเล็บหรือจากการเป็นผู้ถูกกดขี่ในช่วงระยะเวลา 1 ปี เพียงพอหรือไม่ที่จะทำให้เขาเหล่านั้นก้าวพ้นคำว่า “กูต้องเอาคืน” ซึ่งการใช้อำนาจไม่ใช่เรื่องที่ผิดเสมอไปแต่ต้องดูองค์ประกอบอื่นด้วยว่า ผู้ใช้อำนาจอยู่ในอารมณ์ใด และใช้อำนาจกับใคร ในกรณีของการรับน้องนั้นจะเป็นปรากฏการณ์ที่ชัดเจนของผู้ถูกใช้อำนาจ นั่นคือ “น้อง” ซึ่งยังมีความกลัว และหวาดระแวง สารพัด ทั้งกลัวถูกทำโทษ กลัวเรียนไม่จบ กลัวขายหน้าเพื่อนฯ ส่วน “พี่” ส่วนใหญ่อยู่ในอาการร่วมที่หลากหลายทั้งปีกกล้าขาแข็ง กดดัน คับแค้น อยากเอาคืน เมา ขาดสติ หรือแม้แต่หื่นกาม จึงไม่แปลกที่รุ่นพี่จะรังสรรค์กิจกรรมสร้างความอดทนและความสามัคคีให้แก่น้องจนเป็น “ข่าวคาว” ตั้งแต่ระดับการเขียนหน้าทาปาก มัดผม ให้กินของแปลกค๊อกเทลล์ทั้งเหล้าขาวผสม ปลาร้า น้ำแดง เนย เม็ดแมงลัก น้ำมันหมู ฯลฯ เมนูแปลก ๆ เหล่านี้จะให้ดีก็น่าจะให้เจ้าตำรับ “ชิมไปบ่นไป” ได้ลองชิมเผื่อจะได้รับคำชมบ้าง ยังมีการนุ่งน้อยห่มสั้นรัดติ้วเหมือนข้าวต้มมัด เต้นยั่วยวนด้วยทำนองและท่าทางที่ยั่วอารมณ์ทางเพศ ทั้งในเวอร์ชั่น “ลูบได้ คลำได้ๆ” การอยากให้น้องหญิง/ชายคุ้นเคยกันเลยให้อมมะนาวหรือเหรียญต่อกันปากต่อปาก โดยไม่สนใจเรื่องการติดเชื้อสารพัด หนักขึ้นกว่านั้นให้ผู้ชายนอนสวมกางเกงในตัวเดียวให้ผู้หญิงปิดตาควานหาเหรียญ .25 สตางค์หรือหัวเข็มหมุดบนตัวผู้ชาย บางรายห้ามใช้มือเสียด้วยซ้ำ อยากให้น้องผู้ชายคุ้นเคยกันโดยการแข่งวัดขนาดอวัยวะเพศ แข่งกันสำเร็จความใคร่ แข่งกันใช้อวัยวะเพศชักกะเย่อ ซ้ำพี่บางคน(ไม่แน่ใจว่าจะใช้คำว่าคนจะเหมาะสมหรือไม่) ให้น้องเอาน้ำอสุจิมารวมกันแล้วทาหน้าหรือแม้แต่ให้กิน การอยากให้น้องป็นคนอดทนแข็งแกร่ง เลยให้เอากางเกงในออกมาไว้ข้างนอกเหมือน ซุปเปอร์แมน ให้กลิ้งซ้ายกลิ้งขวาผ่านบททดสอบที่พี่จัดหาให้ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ร้อน พงหนาม หรือขวดแก้วทุบละเอียด หรือแม้แต่กองไฟ ให้ดื่มเหล้าหมดขวด ให้เอาหัวโหม่งลงดินบ้าง ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่แฝงไว้ซึ่งกิจกรรมทางเพศและความรุนแรงแทบทั้งสิ้น
การทำความเข้าใจต่อปรากฏการณ์รับน้องที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องยากหากเรามองว่า “การรับน้อง”ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในระดับอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยต่าง ๆ เพราะการเดินขึ้นบนถนนสายบัณฑิตล้วนแล้วแต่มีเป้าหมายที่ใบเบิกทางไปสู่การเป็นที่ยอมรับ เกียรติและศักดิ์ศรีความเป็นคนชั้นแนวหน้าหากมี “ใบปริญญา”มากำกับหรือติดข้างฝา คนที่เข้ามหาวิทยาลัยได้ เป็นคนเก่งมีผลการเรียนสูง ถูกยกย่องเชิดชูจนแทบจะเป็นวีรบุรุษ วีรสตรีของตระกูลด้วยซ้ำ แถมหลายคนยังแกล้งทำเป็นลืมว่า กว่าจะมาถึงวันนี้ใช้คนอื่นเป็นบันไดเหยียบขึ้นมากี่คนและในสังคมในมหาวิทยาลัยเองก็ถอดรูปแบบสังคมใหญ่มาใช้ได้อย่างลงตัวผ่านระบบราชการและระบบบริหารที่ต้องมี “อำนาจ” มาเกี่ยวข้อง การสถาปนาความชอบธรรมให้แก่สถาบันผ่าน “พิธีกรรมรับน้อง” จึงเกิดขึ้น ความสัมพันธ์ทางชนชั้นและอำนาจในมหาวิทยาลัยจึงก่อตัวขึ้นอย่างตั้งใจ ทั้ง น้องใหม่ รุ่นพี่ปีสอง ปีสาม ปีสี่ ไปจนถึง แปดปี สิบสองปีสมัครใหม่ คณะกรรมการสโมสรคณะ องค์การนักศึกษา อาจารย์ประจำภาควิชา หัวหน้าภาควิชา หัวหน้าคณะ ไปจนถึงอธิการบดี (บางมหาวิทยาลัยก็มี อธิการบ่ดี) ต้องกลัวกันเป็นชั้นๆ แต่ละชั้นมีเส้นมีสายยึดโยงกันอยู่วิ่งเต้นกันตั้งแต่ฝากเข้าเรียนไปจนถึงการกว่าจะขึ้นสู่ตำแหน่งอธิการบดีได้ ก็ต้องดูก่อนว่าเป็นลูกหม้อหรือเปล่า หรือมีเลือดสีอะไรเป็นต้น ประเภทนกไร้ขน คนไร้เพื่อนอยู่ไม่ได้แน่ ๆ
การถ่ายทอดทางอุดมการณ์ทางความคิดเช่นนี้ ได้อาศัยกลไกหนึ่งคือส่งเสริมนักศึกษาผู้ลุ่มหลงในกระดาษแผ่นเดียวอันเกิดจากการใช้ความรู้มากกว่าปัญญาให้รู้จักมือยาว สาวมาให้ได้ซึ่งศักดิ์และศรี ดังจะเห็นได้จากการแข่งขันฟุตบอลประเพณีของสองสถาบันที่เปลี่ยนกันผลิตนายกรัฐมนตรีและนักเลือกตั้งให้มาสร้างการเมืองน้ำครำอย่างที่พบเห็นกันอยู่ การแข่งขันทางศักดิ์ศรียังสะท้อนออกมาในรูปแบบของความเชื่อต่อสถานศึกษา เช่น สถาบันของรัฐมีคุณภาพกว่าของเอกชน เพราะมีการสอบเข้าและมีชื่อเสียง สถาบันในกรุงฯ มีคุณภาพกว่าสถาบันในภูมิภาค สถาบันในภูมิภาคทั้ง มช. มข. มน. ฯลฯ มีคุณภาพกว่าสถาบันราชภัฏ คนที่เรียนสายสามัญเก่งกว่าคนที่เรียนอาชีวะ เป็นต้น ขณะนี้ ปัญญาชนกำลังกลายเป็นเครื่องมือและเหยื่อของระบบการศึกษา ราชการ และทุนนิยมสามานย์
“ปัญญาชน” ทำไมคำ ๆ นี้ถึงถูกปลูกฝัง และปลุกเร้ากันครึกโครมโดยเฉพาะช่วงการรับน้อง แต่เมื่อน้องกลับกลายเป็นรุ่นพี่ รุ่นลุง รุ่นปู่ “สันดานดิบ” ของมนุษย์กลับยิ่งโผล่หรือว่าได้รับการติดเขี้ยว ติดปีก จากสถาบันการศึกษาที่มุ่งส่งเสริมและสั่งสอนให้ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” ให้คุ้นเคยกับการใช้ฐานด้านการศึกษาในการแสวงหาอำนาจหรือเพราะสถานศึกษาจะเคี่ยวเข็ญเฉพาะปีหนึ่งที่ต้องแต่งกายเรียบร้อยกระโปงห้ามเหนือเข่า ต้องเข้าแถวเป็นระเบียบ ต้องซ้อมเชียร์ ต้องอยู่หอพักใน หากแม้นเมื่อขึ้นปีสองปีสาม กระโปรงก็หดสั้นลงได้ตามวัยและรูปร่าง พี่กินเหล้าได้ เมาเหล้าได้ เตะน้องได้ รวมถึงระเบียบปฏิบัติก็หย่อนยานลงไปตามระบบการควบคุมคุณภาพที่มีหลายมาตรฐานเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
“การรับน้อง” หากมีเจตนาในการรับขวัญน้องใหม่เป็นเรื่องที่ควรส่งเสริมแต่ต้องไม่ใช่กิจกรรมที่ละเมิดสิทธิมนุษย์ชน ต้องไม่ข่มเหงร่างกายและจิตใจ หรือแม้แต่ “ข่มขืนทางสายตา” ซึ่งเป็นเรื่องที่คงกระทำได้ยาก แต่ก็ยังมีน้องนักกิจกรรมหลายกลุ่มหลายสถาบันที่จัดกิจกรรมรับน้องเชิงสร้างสรรค์ เช่น การสร้างฝาย การบำเพ็ญประโยชน์ การจัดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน ซึ่งกลับเป็นข้อพิสูจน์ว่าเป็นกระบวนการที่ทำให้น้องได้ถ่ายทอดแนวคิดแนวปฏิบัติรวมถึงเป็น “แม่เหล็ก” ดึงน้องให้เป็นผู้สืบทอดกิจกรรมกลุ่ม กิจกรรมชมรมในบทบาทของ “นักกิจกรรมรุ่นใหม่” ซึ่งแสงให้เห็นว่า “การใช้อำนาจไม่ใช่ทางออกหรือทางเลือกสุดท้าย” ปัญหาใหญ่ของเรื่องการรับน้องไม่ได้อยู่ที่ตัวเด็กทั้งรุ่นน้อง หรือรุ่นพี่แต่อยู่ที่ผู้บริหารแต่ละสถาบันหรือแม้แต่ผู้บริหารประเทศที่ยังแกล้งหลับตาทำเป็นมองไม่เห็นว่า “พิธีการรับน้อง”เป็น “พิธีกรรมสถาปนาทางอำนาจและชนชั้น” เพราะผู้บริหารเหล่านั้นยังเคยชินอยู่กับการใช้อำนาจและการเคยชินกับทั้งการเป็นผู้ถูกรับและผู้รับมาแล้วในอดีตด้วยเหตุผลวนเวียนข้อหนึ่งถึงข้อสามในตอนต้นแทบทั้งสิ้น
การรับน้องนั้นจะว่าดีก็ดีจะว่าไม่ดีก็ไม่ดีนะคะ ที่ว่าดีนั้นก็คือ ทำให้เราได้รู้จักกันมากกขึ้นทั้งเพื่อนในห้อง หรือรุ่นพี่ในคณะในเอก แต่ที่ไม่ดีนั้นก็คือ หากรับน้องนอกกรอบเกินไปอาจทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี เช่น หากรับน้องแบบรุนแรงรุ่นเกินไปจนน้องโกรธแค้นอาจมีการเอาคืนเกดขึ้นได้ (เรื่องนี้เป็นจริงซึ่งเกิดขึ้นกับเพือนของนางสาวจริงใจเองคะ)ยังไงก็ฝากรุ่นพี่ที่กำลังจะมีรุ่นน้องในเร็วๆนี้ ช่วยกันรับน้องอย่างบรรเจิดด้วยนะคะ นางสาวจริงใจก็จะได้รับน้องปีนี้เป็นปีสุดท้ายแล้ว เอิ๊กๆ งานนี้มีเฮแน่ อิอิ
ปีนี้ก็คงมีอะไรให้ได้ดูได้ชมอีกตามเคยครับท่าน
การรับน้องเป็นเจตนาที่ดี แต่ผู้ที่นำไปปฏิบัตินั้นล้วนแต่ยังเป็นเยาวชน วุฒิภาวะยังมีน้อย และถ้าเสพสิ่งมึนเมาเข้าไป ก็ยิ่งทำให้ขาดสติ มีพฤติกรรมเถื่อนดิบตามสัญชาติญาณ จึงไม่เห็นด้วยกับการที่ให้เด็กๆไปจัดรับน้องกันเอง ควรให้อยู่ในสายตาของอาจารย์ เกี่ยวกับเรื่องนี้ผมได้เคยแต่งกลอนไว้ ดังนี้
รับน้อง
เป็นกลอนที่มีความหมายมาก ขอบคุณครับคุณสมเจตน์
สวัสดีคะ คุณคน(ทำ)งาน
ขอบคุณค่ะที่นำเรื่องนี้มาเตือนกันก่อนจะเปิดเทอม