... พวกเราอาจจะสงสัยกันไม่มากก็น้อยว่า เงินๆ ทองๆ กับคำชมจากใจ... อย่างไหนมีอานุภาพมากกว่ากัน วันนี้มีผลการศึกษาวิจัยมาฝากครับ สำนักข่าวรอยเตอร์นำผลการศึกษาจากวารสารนิวรอน (Neuron = เซลล์ประสาท เช่น เซลล์สมอง ไขสันหลัง เส้นประสาท ฯลฯ) มาตีพิมพ์ 2 รายงาน ... การศึกษาแรกมาจากญี่ปุ่น... ท่านอาจารย์ดอกเตอร์โนริฮิโระ ซาดาโตะ (Dr. Norihiro Sadato) และคณะ แห่งสถาบันวิจัยสรีรวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ญี่ปุ่น การศึกษานี้ใช้เครื่องตรวจสนามแม่เหล็ก-วิทยุแบบพิเศษที่ตรวจการทำงานของสมอง (functional MRI / fMRI) เจ้าเครื่องที่ว่านี้ตรวจได้ว่า ส่วนใดกำลังทำงานมาก ส่วนใดกำลังทำงานน้อย ... สมองของคนเราไม่ได้ทำงานพร้อมกับ 100% ปกติจะ "ผลัดกันทำงาน" ยกเว้นกรณีพิเศษจริงๆ เช่น เกิดโรคลมชักรุนแรงที่ควบคุมไม่ได้ ฯลฯ สภาวะดังกล่าวอาจะเป็นอันตรายอย่างรุนแรงต่อสมองได้ เนื่องจากสมองทำงานพร้อมกันมากเกินกำลัง ... การที่เซลล์สมองผลัดกันทำงานนี้มีส่วนช่วยให้สมองไม่ "เหนื่อย" จนเกินไปจนหมดสภาพเร็ว สมองของนกบางชนิดที่บินไกลๆ เช่น บินข้ามประเทศ ฯลฯ คราวละหลายๆ วันมีระบบพิเศษที่เรียกว่า "หลับแบบนก" คือ ผลัดกันทำงานทีละซีกได้ เช่น ช่วงนี้ใช้สมองซีกขวานำร่องการบิน ซีกซ้ายหลับไปเลย พอซีกซ้ายที่หลับตื่นขึ้นมา... สมองซีกซ้ายจะนำร่องการบิน ซีกขวาหลับไปบ้าง ฯลฯ ... สมองคนเรา "หลับแบบนก" ไม่ได้ นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนที่ขับรถทั้งๆ ที่นอนไม่พอเกิดอาการหลับเป็นช่วงๆ เริ่มจากช่วงสั้นมากๆ (microsleep) และตามด้วยการหลับที่นานขึ้น... จนบางคนหลับไม่ตื่น (เสียชีวิต) จากอุบัติเหตุในที่สุด สมองของคนเราทำงานโดยการสร้างสารเคมีที่เรียกว่า "สื่อสัญญาณประสาท (neurotransmitters)" เวลาทำงานมันจะสร้างสารเคมี และปล่อยสารเคมีไปสื่อสารกับเซลล์ข้างเคียง ทำให้เกิดปฏิกริยาไฟฟ้าตามมาเป็นคลื่นๆ ... เครื่องตรวจสนามแม่เหล็ก-วิทยุหรือ fMRI ตรวจจับการทำงานของสมองเป็นส่วนๆ ได้ เนื่องจากสารเคมีที่เกิดจากการทำงานของสมองจะทำให้ความเข้มสนามแม่เหล็กเปลี่ยนไปเล็กน้อย เมื่อนำสัญญาณขนาดน้อยๆ มาขยายคล้ายๆ กับเสียงที่ผ่านเครื่องขยาย (amplifier) จะทำให้ตรวจจับเป็นเส้นกราฟ หรือภาพสีได้ ... อาจารย์ซาดาโตะทำการศึกษาในคนที่มีสุขภาพดี 19 คน โดยทดลองให้เล่นเกมพนันแข่งกัน ใครชนะจะได้ไพ่ใบที่มี "เงินสด (เงินในเกมส์)" ให้ ผลการศึกษาพบว่า สมองส่วนตอบสนองต่อการได้รับรางวัล (reward region) ทำงานตอบสนองเป็นอย่างดีกับเรื่องเงินๆ ทองๆ ... หลังจากนั้นท่านทดลองให้คนแปลกหน้าเข้ามาประเมินบุคลิกภาพของกลุ่มตัวอย่างทีละคนๆ โดยใช้แบบสอบถาม และชมวิดีทัศน์ (video / วิดีโอ) ที่กลุ่มตัวอย่างแต่ละคนทำขึ้น ผลการศึกษาพบว่า เมื่อกลุ่มตัวอย่างแต่ละคนได้รับคำชม (praise) เช่น คุณนี่เป็นคนใจกว้าง-ไม่เห็นแก่ตัว (altruistic = selfishless) ฯลฯ สมองส่วนตอบสนองต่อการได้รับรางวัล (reward region) ก็ทำงานตอบสนองเป็นอย่างดีเช่นกัน ... อาจารย์ซาดาโตะกล่าวว่า คนเราต้องการทั้งรางวัลที่เป็นรูปธรรม เช่น เงินๆ ทองๆ ฯลฯ และรางวัลทางสังคม เช่น การได้รับความชื่นชม การได้รับการยอมรับ การเป็นที่รัก (หมายถึงมีคนรัก - 'Need to belong') ฯลฯ การศึกษาที่สองทำโดยท่านอาจารย์แคโรไลน์ ซิงค์ (Caroline Zink) และคณะ แห่งสถาบันสุขภาพจิต สหรัฐฯ ... กลุ่มตัวอย่าง 72 คนตอบสนองต่อการเล่นเกมส์ออนไลน์ร่วมกัน (interactive computer game) โดยผู้ชนะจะได้เงิน (เงินสมมติจากการเล่นเกมส์) และมีให้รางวัลทางสังคมคล้ายๆ กับการศึกษาแรก ผลการศึกษาพบคล้ายกับการศึกษาแรกคือ สมองส่วนตอบสนองต่อรางวัล (reward region) ตอบสนองต่อเรื่องเงินๆ ทองๆ ดีพอๆ กับรางวัลทางสังคม เช่น การยอมรับจากหมู่คณะ (social status) ฯลฯ ... อาจารย์ท่านกล่าวว่า การได้รับรางวัลบ้าง ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรม เช่น เงินทอง วัตถุสิ่งของ ฯลฯ และนามธรรม เช่น การยกย่องชมเชย การยอมรับจากสังคม ฯลฯ มีผลดีต่อการทำงานของสมองคนเรา... ผู้เขียนขอยกตัวอย่างการบริหารโรงพยาบาลของผู้บริหารท่านหนึ่ง ซึ่งเกษียณไปแล้ว ท่านและคณะผู้บริหารในยุคนั้นเชื่อว่า คนเราต้องการการยกย่องชมเชยอย่างเดียว ไม่ต้องการเงิน ... ว่าแล้ว ท่านก็จัดงานประเภท "ยกย่องชมเชย" บ่อยๆ แจกประกาศนียบัตรบ้าง แจกโล่เกียรติยศบ้าง ทำอย่างนี้บ่อยๆ ทว่า... เรื่องสิทธิโดยชอบธรรมของคนอื่นนี่ "เค็มสุดๆ" เช่น ไม่ยอมจ่ายค่าเดินทางไปอบรม ประชุม วิชาการให้คนในโรงพยาบาล ฯลฯ อ้างว่า ให้เสียสละ ช่วงนั้นเป็นช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ผู้บริหารก่อนหน้านั้นใช้เงินโรงพยาบาลเกือบหมดก่อนเกษียณ ทำให้โรงพยาบาลไม่มีเงินบำรุงพอจ่ายค่าเวร ... ท่านประกาศลดค่าเวรหมอไป 50% อยู่หลายปี ลดค่าเวรพยาบาลและเจ้าหน้าที่อื่นๆ 25% อีกหลายปีเช่นกัน แน่นอนว่า มีหมอลาออกบ้าง ขอย้ายไปที่อื่นบ้างมากเป็นพิเศษ การบริหารแบบนี้เก็บเงินบำรุงโรงพยาบาลได้มาก ทว่า... ผู้เขียนลองไปถามดูว่า บุคลากรมีความพึงพอใจอย่างไรบ้าง ถามใครก็ได้รับคำตอบตรงกันว่า ไม่พอใจ แต่พูดไม่ได้ 100% ... การบริหารที่ดีควรมีแรงจูงใจทั้งที่เป็นรูปธรรม เช่น ค่าตอบแทน ค่าล่วงเวลา ฯลฯ และแรงจูงใจที่เป็นนามธรรม เช่น การยกย่องชมเชยโดยธรรม (ไม่ใช่ยกย่องแต่เด็กเส้น) การพิจารณาเลื่อนขั้นโดยธรรม (ไม่ใช่ให้คนอันเป็นที่รักทุกครึ่งปี) ฯลฯ การศึกษาวิจัยนี้สอนอะไรเราหลายอย่าง เช่น พวกเราทุกคนต่างก็มี "ต้นทุนทางสังคม (social resources)" ที่จะขับเคลื่อนให้คนรอบข้าง และสังคมก้าวไกลไปในทางที่ดีได้ โดยการยกย่องการกระทำดี (appreciation) เป็นประจำ เพื่อให้คนทำดีมีกำลังใจ ฯลฯ ... ขอเรียนเสนอให้พวกเราหันมาแสดงความชื่นชมคนอื่น โดยเริ่มจากคนรอบข้างให้ได้อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง และค่อยๆ เพิ่มเป็นวันละ 3 ครั้งหลังอาหาร (คนเรามักจะมีความแช่มชื่นตอนอิ่มมากกว่าตอนหิว) การแสดงความชื่นชมเวลาคนอื่นทำความดีจะช่วยกระตุ้นสมองได้ทั้งสองฝ่าย คือ ทั้งผู้ให้และผู้รับ ทำให้เกิดความแช่มชื่นด้วยกันทั้งสองฝ่าย ... ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำวิธีชมให้ได้ผลดีไว้ดังต่อไปนี้
... โบราณาจารย์ (ครูบาอาจารย์แต่โบราณ) ท่านสอนเรื่องการให้ไว้ว่า
จริงหรือไม่ ขอฝากท่านผู้อ่านนำไปพิจารณา ... และอย่าลืมแสดงความขอบคุณ หรือขอบใจ เมื่อคนอื่นทำอะไรดีๆ ให้เราเสมอ เพราะคนเราไม่ได้เกิดมารวยทรัพย์ทุกคน ทว่า... พวกเราเกิดมารวยน้ำใจได้ด้วยการแสดงความชื่นชมเวลาคนอื่นทำดี และกล่าวขอบคุณ-ขอบใจ เมื่อคนอื่นทำอะไรดีๆ ให้เรา ... ถึงตรงนี้... ขอให้พวกเรามีสุขภาพดีไปนานๆ ครับ ...
ที่มา
|
ชอบงานวิจัยด้านพฤติกรรมของมนุษย์โดยใช้วิธีการศึกษาทางสมองมาเป็นเครื่องพิสูจน์ค่ะ ขอบคุณมากค่ะอาจารย์ และเห็นด้วยค่ะกับคำแนะนำของอาจารย์
แสดงความชื่นชมคน อื่น โดยเริ่มจากคนรอบข้างให้ได้อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง และค่อยๆ เพิ่มเป็นวันละ 3 ครั้งหลังอาหาร (คนเรามักจะมีความแช่มชื่นตอนอิ่มมากกว่าตอนหิว)
ขอขอบคุณ... คุณดอกไม้น้อยมากๆ ที่ติดตามอ่านครับ
ขอขอบคุณ... คุณ LinHui ที่แวะมาเยี่ยมเยียนครับ
ขอขอบพระคุณอาจารย์จันทวรรณ...