เมาไม่กลัว


วันนี้ เวลาประมาณ ๑๗.๓๐ น.ครู่ใหญ่ ๆ ที่ผ่านมา ขับรถยนต์ตระเวณไปตามถนนในเขตเทศบาลเมืองน่าน ได้เห็นเด็ก เยาวชน ประชาชนสนุกสนานกับเทศกาลสงกรานต์  มองแง่ดีบ้างว่า ทุกชีวิตที่ได้เห็นควรได้ผ่อนคลายในเทศกาลด้วยการเล่นน้ำสนุกสนาน

ก่อน ๑๘ น.เล็กน้อยผมได้ยินเสียงสัญญาณรถยนต์ฉุกเฉินวิ่งขวักไขว้ในเขตเทศบาล  คงต้องทำงานหนักกันทุกครั้งเมื่อถึงเทศกาลน้ำเมา  เอ้อ สงกรานต์  ผมรถยนต์ผ่านไปทาง รพ.น่าน เห็นสิ่งผิดปกติ  เลยเลี้ยวรถยนต์เข้าไป  เห็นกลุ่มวัยรุ่นก่อเหตุบริเวณถนนหน้าตึกอุบัติเหตุ ใน รพ.น่าน แบบนี้ไม่ธรรมดา แต่ผมต้องระวังรถยนต์ภรรยาเกรงรถยนต์เธอจะสีถลอก จนท.ผู้เกี่ยวข้องต้องดูแลผู้ป่วย ต้องเปลี่ยนหน้าที่มาเป็นผู้ระงับเหตุทำร้ายร่างกาย

สิ่งที่ผมได้พบและร่วมแก้ปัญหากับเจ้าหน้า รปภ.รพ.และ จนท.ตร. เป็นปัญหาที่น้อง ๆ ลูก ๆ หลาน ๆ  ดูจากสีหน้า ท่าทาง พวกเขาเมาครองสติไม่ได้   โดยมีเหตุจนสตรีถูกทำร้าย พากันมารักษาที่ รพ.น่าน  ได้มาพบอีกกลุ่มวัยรุ่นอยู่ที่ รพ.น่าน ระงับอารมณ์ไม่ได้เป็นส่วนใหญ่ มีการก่อเหตุกันจนเกิดเหตุชุลมุนวุ่นวายอย่างมาก สตรีหลายคนอยู่ในขั้นหน้าตาดี  สังเกตเธออยู่ในอาการมึนเมาหรือไม่สบอารมณ์  บางคนพูดแก้ตัวให้ว่า แดดร้อนเธอจึงหน้าแดง ๆ ที่แน่นอนต้องตรวจเลือดหรือจับเป่า  แบบนี้เดากันไม่ได้ จะหาว่าหมิ่นประมาท  ที่ว่ามาก็รู้ ๆ กันอยู่

สิ่งประสบการณ์ที่ได้พบเหตุเย็นวันนี้นั้น   ผมไม่ต้องเดาเอาเอง เห็นกับตา ได้ยินกับหู ได้ไปพูดคุยกับน้อง ๆ  กลุ่มดังกล่าวว่า  มันเกิดอะไรกันขึ้น  ทราบว่า เหตุเกิดที่ท่าน้ำหาดหินขาว สตรีถูกกลุ่มวัยรุ่นขวางขวดใส่  มารักษาที่ รพ.น่าน พวกเขาเห็นกลุ่มก่อเหตุมาที่ รพ.น่าน เลยทนไม่ได้ตรงเข้าทำร้าย  และถูกทำร้าย  พวกเขายังชวนกันไปดื่มสุราต่ออีก  อะไรจะขนาดนั้น

ผมดูแล้วความเมาทำให้น้อง ๆ ลูก ๆ หลาน ๆ  ไม่กลัวใคร โดยเฉพาะน้องผู้หญิง อยู่ในขั้นหน้าตาดี ดูเธอจะเป็นหัวขบวนด้วยซ้ำไปไม่ธรรมดา  ขอเรียกกลุ่มที่เพิ่งไปเห็นนี้ว่า  เมาไม่กลัว   ไม่ใช่เมาไม่ขับนะครับ   มีอยู่ช่วงหนึ่งที่น้อง ๆ  ตั้งใจจะรอก่อเหตุซ้ำ  เดินเวียนไป วนมา  ท่าทางไม่น่าไว้ใจ  ทำให้ผู้ป่วยรายอื่นและญาติกังวล  จนเราต้องจัดการให้น้อง ๆ  ที่เมาไม่กลัว   ได้รู้สึกตัวบ้างด้วยการให้เจ้าหน้าที่ใส่กุญแจมือนำขึ้นรถไปสงบสติอารมณ์ที่สถานีตำรวจ  เรียบร้อยโรงเรียนวัยรุ่นคงได้เรียนรู้ชีวิตจริง คนเราในเมื่อพูดกันดี ๆ ไม่ได้แล้วคงจำเป็นต้องใช้มาตราการขึ้นเด็ดขาดแบบนี้ล่ะครับ บทเรียนของการเมาไม่กลัว

อย่างไรก็ดี  พวกเรายังมองว่า  การรู้จักดื่มก็ดี  การไม่รู้จักดื่มก็ดี   เราจะทำอย่างไรกันดี  ก็รู้ ๆ  กันอยู่ว่า  เมื่อมีเหตุวิวาทบาดหมางเกิดขึ้นแล้ว  ไม่ก่อให้เกิดผลดีเลย  เทศกาลสงกรานต์หรือการเลี้ยงฉลองไหน ๆ  หากรู้จักดื่ม  รู้จักกิน  รู้จักอยู่ก็ดี  สังคมยุคนี้เราจำเป็นต้องช่วยกันดูแลสุขภาพสังคมกันด้วยครับ  เมาไม่กลัว แบบที่ผมพบเมื่อครู่ใหญ่ ๆ นี้  มีคำถามให้คิดต่ออีกว่า  เขาจะต้องไปใช้เงินอีกสักเท่าไหร่เพื่อให้ได้มาซึ่งความยุติธรรม เพราะถูกทำร้าย  หรือต้องปกป้องตนเองเพราะถูกกล่าวหาว่าไปทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่ง ใช้เวลากันอีกนานสักเพียงใดจึงจะยุติธรรม  ทุกอย่างเกิดจากการเมาไม่กลัว เท่านั้นหรือ?
 

หมายเลขบันทึก: 176789เขียนเมื่อ 13 เมษายน 2008 19:18 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 23:35 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

การทดสอบว่าผู้ขับขี่เมาสุราหรือไม่

         ให้ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดของผู้ขับขี่ โดยวิธีการดังต่อไปนี้

1. ตรวจวัดจากลมหายใจ

2. ตรวจวัดจากปัสสาวะ-

3. ตรวจวัดจากเลือด

การอ่านค่าของแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดเป็นมิลลิกรัมเปอร์เซ็นตถ้าเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ให้ถือว่าเมาสุรา

         

บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง การทดสอบการเมาสุราของผู้ขับขี่โดยวิธีการตรวจวัดจากเลือด - คณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ ๑๐ - เรื่องเสร็จที่ ๙๗๗/๒๕๔๗)


                                   เมาสุรา-ตรวจเลือด


        การขับขี่รถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่นเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ เจ้าพนักงานจราจรมีอำนาจที่จะสั่งให้ผู้ขับขี่หยุดรถ และสั่งให้ทดสอบว่าเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่นได้

        การทดสอบผู้ขับขี่ว่าเมาสุราหรือไม่นี้ จะกระทำโดยให้ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด โดยใช้วิธีการตามลำดับ คือ ตรวจวัดลมหายใจ ตรวจวัดจากปัสสาวะ และตรวจวัดจากเลือด โดยมีหลักเกณฑ์ว่าต้องตรวจวัดลมหายใจก่อน ถ้าไม่สามารถทดสอบโดยวิธีตรวจวัดลมหายใจได้ จึงให้ใช้วิธีการตรวจวัดจากปัสสาวะและตรวจวัดจากเลือด (กฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๖ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒)

        คณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ ๑๐ ให้ความเห็นเมื่อเร็วๆ นี้ว่า การเจาะเลือดและการตรวจเลือดเป็นการกระทำต่อร่างกายของบุคคลซึ่งกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของบุคคลตามที่มาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญให้การรับรองไว้ และในหลักทั่วไปของการประกอบวิชาชีพเวชกรรม การกระทำต่อร่างกายของผู้ป่วยต้องได้รับความยินยอมจากผู้ป่วย เว้นแต่เพื่อประโยชน์ในการช่วยชีวิตของผู้ป่วยในกรณีฉุกเฉิน ดังนั้น การเจาะเลือดที่กระทำต่อร่างกายของผู้ขับขี่ก็ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ขับขี่ด้วย

        อย่างไรก็ตาม มาตรา ๑๔๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ อันเป็นแม่บทของการออกกฎกระทรวงดังกล่าว ไม่ได้กล่าวถึงการเจาะเลือดไว้ ดังนั้นก็เกินอำนาจที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๔๒

        เมื่ออ่านความเห็นข้างต้นนี้แล้วก็อย่าเข้าใจไปว่าการตรวจวัดแอลกอฮอล์ของผู้ขับรถกระทำไม่ได้นะครับ ยังทำได้ แต่ต้องทำโดยการตรวจวัดลมหายใจหรือตรวจปัสสาวะเท่านั้น การเจาะเลือดยังทำไม่ได้จนกว่าจะแก้กฎหมายแม่บทเสียก่อน ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ ๑๑ ก็ให้ข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ถ้าต้องการให้มีอำนาจตรวจเลือดเช่นว่านี้แล้ว ก็ต้องแก้ไขมาตรา ๑๔๒ ในส่วนที่เกี่ยวกับการทดสอบผู้ขับขี่โดยกำหนดให้มีการเจาะเลือดไว้อย่างชัดเจน

น่าสงสารผู้ปกครองของเด็กพวกนั้นมาก ที่จะต้องเสียเวลา เสียเงินทองเพื่อต่อสู้คดีความอีกไม่รู้เท่าไร และที่สำคัญก็คือเสียประวัติ เสียอนาคต และเสียใจ ถึงอย่างไรพ่อแม่ก็ทิ้งลูกไม่ได้ จะดีชั่วอย่างไรก็ต้องทน ไม่อยากโทษใครเพราะสังคมสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างนี้ คงแก้ที่ใดที่หนึ่งไม่ได้ต้องแก้ทั้งระบบ ทั้งการศึกษา ศาสนา การเมือง ทุกวันนี้เราทิ้งเรื่องศาสนา ใช้ศาสนาเป็นเพียงพิธีกรรม ทำบุญบ้าน งานแต่ง งานศพ แต่แท้จริงศาสนาเป็นยิ่งกว่านั้น ถ้าศึกษาหลักธรรมคำสอน ด้วยปัญญาและศรัทธา อย่าหนักไปทางด้านใดด้านหนึ่ง ถ้าศรัทธามากขาดปัญญาก็คืองมงาย แต่ถ้าปัญญาอย่างเดียวแต่ขาดศรัทธา ก็สุดโต่งเกินไป บ้านเราเมืองพุทธแต่แค่ศีลห้าก็หายาก โดยเฉพาะข้อสุรา

ออกกฎหมายมาบังคับก็ยังไม่เกรงกลัว ต้องแก้ที่ตัวเอง ครอบครัว และสื่อต่างๆ ผมเองได้แต่งกลอนเกี่ยวกับเหล้าไว้หลายบท จึงฝากมาให้อ่านด้วย

สาเหตุจากน้ำเมา

คดีความมากมายทั้งหลายหลาก

นั้นส่วนมากจากสุราคือสาเหตุ

ทั้งลวนลามกามฉาวคาวเรื่องเพศ

ทั้งก่อเหตุข่มขืนหื่นเพราะเมา

ก่อวิวาทบาดหมางวางมวยหมู่

ชกต่อสู้ยิงฟันนั้นเพราะเหล้า

อุบัติเหตุอันตรายไม่บรรเทา

ก็เพราะเมาแล้วขับดับบรรลัย

เรื่องครอบครัวผัวเมียละเหี่ยนัก

ก่อนเคยรักคลอเคล้าเอาใจใส่

แต่พอเหล้าเข้าปากก็ลากไป

เปลี่ยนนิสัยหยาบช้าด่าประจาน

เรื่องโรคเอดส์เหตุต้นไม่พ้นเหล้า

เมื่อดื่มเมาลืมทุกข์สนุกสนาน

ทำสำส่อนเสพทุกข์สุขสำราญ

อยู่ไม่นานนำเชื้อมาเผื่อเมีย

ผลกระทบจากสุราพาให้รัฐ

จำต้องจัดสมทบงบสูญเสีย

เก็บภาษีไม่คุ้มเท่าจากเหล้าเบียร์

ผลเฉลี่ยเสียกว่าได้ควรไตร่ตรอง

ทั้งตำรวจและศาลงานด้านคุก

สาธารณสุขจัดหายาทั้งผอง

ผลกระทบงบประมาณด้านเงินทอง

รัฐจำต้องจัดไว้ให้ประชา

คนผลิตเหล้าเบียร์ขายกำไรมาก

บริจาคการกุศลการศึกษา

สนับสนุนแข่งขันการกีฬา

ได้หน้าตาชื่อเสียงเพียงเศษเงิน

สมเจตน์ เมฆพายัพ

๑ สิงหาคม ๒๕๕๐

สวัสดีครับ คุณสมเจตน์

เป็นการบ้านให้ขบคิด และลงมือทำงานกันต่อ กับพฤติกรรมที่ดื่มจนเคยชิน ทั้ง ๆ ที่ได้ใช้จ่ายเงินผ่าน สสส.ไปเพื่อรณรงค์ป้องกันไม่น้อย และหากไม่มี สสส.จะเกิดการล้มตาย เกิดปัญหามากเพียงใด ให้หลับตานึกกันดู

การทำงานใหญ่เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ( มักง่าย ) บนกระแสโลกแห่งการสื่อสารยุคนี้นั้น คนไทย ชาวโลก จำเป็นต้องตั้งสติ เหตุการณ์ที่ได้ไปเห็นกับตา ทำให้ต้องเขียนข้อความขึ้นมา เพื่อจะได้เห็นเป็นแนวทาง....

ขอบพระคุณสำหรับข้อเขียน ได้เรียงร้อยลำดับสามารถให้ ผู้อำนาจนำไปดำเนินการอย่างหนึ่ง อย่างใด ให้เป็นรูปธรรมได้ดีครับ.

เศรษฐีไทย อันดับหนึ่งและสองของไทย และไปติดอันดับโลกด้วย

คือ ขายน้ำชูกำลังและน้ำเมา ขายอุตสาหกรรมเกษตรยังแพ้

รัฐได้ภาษีบาป และสปอนเซอร์บาป

ตัวชี้วัดนี้ ภาคภูมิใจ หรือ น่าจะหาทางแก้ไข

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท