ความตาย..การเปลี่ยนผ่านที่สำคัญของชีวิต


สวัสดีครับ...

สองวันที่ผ่านมา  ต้องสัมผัสกับผู้ป่วยสองราย...

เป็นผู้ป่วยวาระสุดท้าย....

 

ท่านแรกคุณตา  เป็นถุงลมโป่งพอง...

   เจ็บป่วยเรื้อรังมานาน  และเป็นมากๆมาเกือบ 2 ปี  และ 6 เดือนก่อนนี้ เข้านอน รพ เดือนละ 2-3 ครั้ง  ประสบการณ์การเจ็บป่วยของท่าน มากมาย  เคยถูก CPR  เคยต้องใส่ ET-tube , on ventilator  เเละเคยไปรพ.ใหญ่ๆหลายที่....

  จนพักหลังท่านบอกว่า  หมอผมไม่ไปไหนแล้ว  ไม่ใส่ท่อแล้ว...

  ญาติก็ผ่านประสบการณ์  เรียนรู้ในความทุกข์ของผู้ป่วยและตนเองมาพร้อมๆกับผู้ป่วย  ทุกคนเข้าใจ  และยอมทำตามความต้องการผู้ป่วย...  

    เรื่องของญาติ  ในกรณีนี้ ผมให้คำปรึกษาซ้ำๆ บ่อยครั้งมาก  ทำให้ได้เรียนรู้ว่าแนวคิดเรื่องญาติป่วย  ครอบครัวก็ป่วยได้ด้วย  และก็ได้เรียนรู้และเติบโต  เข้าใจอะไรมากมายจากการปฏิบัติเพื่อให้คำแนะนำญาติครังนี้...

  ผมเองก็ทำใจได้ หรืออาจจะเข้าใจมากขึ้น  สัมผัสได้มากขึ้นที่จะเคารพความเป็นมนุษย์และจิตวิญญาณของผู้ป่วยเอง  ที่ไม่ต้องการให้เกิดการกระทำอะไรต่อร่างกายของเขามากเกินไป....

  แม้ว่าอีกใจจะรู้สึกทุกข์ไม่น้อยเหมือนกัน...แต่ก็พยามรู้และกำหนดทุกข์...

 

 

  อีกรายวันนี้...คุณยาย  ท่านป่วยด้วย CVA, HT

       ความเจ็บป่วยเริ่มมาเยือนท่าน 6 เดือน   การต้องเดือนเองไม่ได้  การต้องถูกรัดตรึงเพื่อไม่ให้ไปไหนมาไหน  และการต้องใส่สายยางเพื่อให้อาหารนั้น   เป็นประสบการณ์ที่คุณยายปฏิเสธตลอด  ท่านดึงสายออกบ่อยๆ

   วานนี้พบบุตรสาวท่านเล่าว่าคุณยายซึมลงไม่ยอมทานอะไร...และก็ได้คุยกัน  บุตรสาวคุณยายท่านเป็นนักปฏิบัติธรรม  แนวสมถะกรรมฐาน  เราได้เสวนากัน  ท่านกล่าวว่าอาจจะเป็นวาระ..ของคุณยายท่านและลูกๆ  อาจจะไม่ยื้อต่อไปแล้ว...

   วันนี้ได้มีเหตุให้ได้ไปเยี่ยมคุณยาย....

   สิ่งที่พบคือ..ลูกๆมากันทุกคน  ครบหน้าทั้งหลานๆด้วย  ห้อมล้อมคุณยาย

  ท่านนั่งบนเก้าอี้ล้อเลื่อน  ไม่ได้ถูกมัดเหมือนปกติ  ไม่มีสายยางที่จมูก  

 

 

          คุณป้าลูกสาวท่านบอกว่า  ท่านขอให้เอาออก  พอเอาออกลูกๆบอกว่าท่านท่าทางพอใจ  และดูดีขึ้นมาก  และพูดคุยกันได้ด้วยดีกับทุกคน...

   จริงๆแล้วคุณป้าที่เป็นบุตรสาคุณยายจะให้ผมไปใส่สายยางอาหารให้  แต่พอไปถึงท่านบอกว่ายายทานเองได้  ทานได้มากเลย  ทุกคนก็เลยตัดสินใจจะลองให้ทานเองก่อน...

  ท่านดูสบายๆ  สีหน้าสดใส  มีหลานกุมมืออยู่ข้างๆ  ท่านอาจจะพูดไม่ค่อยชัดนักแต่ก็สื่อสารรู้เรื่องได้  อื่นๆปกติอยู่...

  

         ลูกๆของคุณยายทุกคนล้วนเป็นนักปฏิบัติธรรม  และเป็นอาจารย์สอนกรรมฐานหรือธรรมะด้วย  ทำให้เราได้สนทนาธรรมกัน  และเปลี่ยนเรื่องราว  และผมก็ได้เรียนรู้จากท่านด้วย....

   คุณป้าท่านหนึ่งที่เป็นลูกคนโต  ก็รู้จักกับท่านอาจารย์พิชัย...ท่านให้ข้อคิดว่าท่านติดสมถะกรรมฐานอยู่เกือบ 10 ปี  ...

     

               ผมลาคุณยายด้วยการขอขมา  ในสิ่งที่อาจจะเคยล่วงเกินท่าน  ทั้งกายวาจา ใจ 

   และกล่าวในใจถึงบุญกุศลใดที่ข้าพเจ้าได้เคยทำไว้ เคยมี ทั้งในอดีต ปัจจุบันและในอนาคต...ให้เกิดต่อคุณยายด้วย..

 

 

  กลับมาที่เรื่องของผู้ป่วยทั้งสองคน....

           ท่านทั้งสองกำลังเปลี่ยนผ่านวาระที่สำคัญ...ซึ่งก็คงต้องเกิดขึ้นกับผมด้วยเช่นกันครับ..ในวันข้างหน้า....  วันไหนๆก็ไม่แน่เช่นกัน  เพราะไม่อาจะรู้ได้...

         

 ความตาย ..มรณะสติ..ให้อะไรมากมายหลายอย่างจริงๆครับ

 

                                                                                     สุพัฒน์...

     

หมายเลขบันทึก: 175490เขียนเมื่อ 5 เมษายน 2008 20:53 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 พฤษภาคม 2012 01:22 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

สวัสดีค่ะ เพิ่งแวะมาอ่านครั้งแรก การช่วยให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายได้ไปอย่างสงบ เป็นสิ่งที่ดีมากๆเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ มีประสบการณ์เรื่องนี้อยู่บ้างเหมือนกันค่ะ ไว้จะแวะมาอ่านอีกนะคะ

สวัสดี คุณ kmsabai

       ปรีดีโดม : "...การที่บัคตินต้องการชี้ให้เห็นว่าการดำรงอยู่บนความตายของผู้คนโดยไม่เข้าใจความตายถือเป็นการไม่เข้าใจชีวิต 
        ธเนศ : เป็นมรณานุสติหรือ ? 
        ปรีดีโดม : (หัวเราะ)...คือทั้งชีวิตและความตายมันเป็นกระบวนการเดียวกัน ...ความตายสำหรับบัคตินจึงไม่ใช่จุดจบ ก็เพราะคุณมองชวิตเป็นเรื่องของตัวเอง และเรื่องส่วนตัว และนั่นก็คือการมองแบบคับแคบ แต่ถ้าคุณมองชีวิตเป็นส่วนหนึ่งกระแสธารของมนุษยชาติ ความตายของคุณจะตามมาด้วยการเกิดของคนรุ่นต่อไป... (จากใครว่าการหัวเราะเป็นเรื่องธรรมชาติ : สนทนากับธเนศ วงศ์ยานนาวา และปรีดีโดม พิพัฒน์ชูเกียรติ)
          พอดีผมไปเที่ยวงานสัปดาห์หนังสือมาครับ และซื้อวารสารหนังสือใต้ดิน ฉบับที่ 13 ไปอ่าน ที่ปายน่าจะมีขาย ครับ 
         

 

หวัดดีค่ะ

อ่านแล้วนึกถึง แย่งกันป่วย...ที่พึ่งเขียนเสร็จ โลกนี้ ไม่มีอะไรที่แน่นอน เดี๋ยวก็ตายล่ะ

ความเปลี่ยนผ่านที่สำคัญนี้  เป็นแบบทดสอบการอยู่กับความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่สำหรับทั้งผู้ที่จะจากไปและผู้ที่ยังอยู่  โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เราใกล้ชิด ผูกพันค่ะ

เราโชคดีครับที่เห็นการเกิดการตายก่อนที่จะถึงเวลาของเราเอง ผู้มีสติจะได้เรียนรู้ความจริงของชีวิต นี่แหละคือศิลปะแห่งการมีชีวิต

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท