ถ้าเป็นแม่หมอ......หมอจะทำยังไงครับ
คำถามแบบนี้ หมอหลายๆคนอาจเคยถูกถามกับตัวเอง แม้ว่าสายงานที่ทำอยู่จะไม่ได้ดูแลผู้ป่วยใน(ผู้ป่วยนอนหรือ IPD) แต่ก็เคยถูกถามตอนที่ไปปฏิบัติงานที่รพ.จังหวัด
......ได้คุยกับเพื่อนหมอท่านหนึ่งเมื่อวานนี้ ถึงกรณีที่ผู้ป่วยที่มีอาการหนักมาก ๆ รายนั้นเป็นไตวายระยะสุดท้าย และมาโรงพยาบาลด้วยอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ความดันเลือดต่ำลง ญาติซึ่งเป็นลูกไม่มีเงินพอค่าใช้จ่ายทั้งขณะที่มารักษาตัวอยู่นี้และไม่มีพอสำหรับการฟอกไตระยะยาวตลอดชีวิต
และขณะที่นอนรพ.อยู่ สัญญาณชีพก็เริ่มไม่ค่อยดี ความดันเลือดเริ่มต่ำลง ความรู้สึกตัวเริ่มแย่ลง คนไข้เริ่มสลึมสะลือครึ่งหลับครึ่งตื่น
คุณหมอท่านนั้นจึงคุยกับญาติของคนไข้ด้วยความเป็นกลางถึงการฟอกไตทางหน้าท้องชั่วคราว และการใส่ท่อช่วยหายใจและกดหน้าอกกระตุ้นหัวใจหากมีภาวะฉุกฉิน คือให้ข้อมูลทั้งข้อดีและข้อเสียที่อาจจะเกิดขึ้น และโอกาสความเป็นไปได้ของการฟื้นอาการ(แต่ไม่หายขาด)
ซึ่งจากประสบการณ์ของอาจารย์แพทย์ และแพทย์ท่านอื่น ก็เห็นว่า โอกาสรอดชีวิตน้อยมาก และมีโอกาสเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็วได้
ตัวคนไข้เองก็มีความลำบากใจ ตัดสินใจไม่ได้ จึงถามคุณหมอท่านนั้นกลับด้วยความจริงใจและอยากรู้จริงๆ ว่าจะต้องตัดสินใจอย่างไร ...จากสีหน้าและแววตาของคนไข้ สามารถสัมผัสได้ถึง ความไม่มั่นใจ ไม่แน่ใจในการตัดสินใจที่อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตและความเป็นความตายของคนๆหนึ่งได้ คนไข้คนนั้นจึงถามว่า...
“..ขอโทษครับหมอ ถ้าเป็นแม่หมอ หมอจะทำยังไงครับ... ”
คำตอบคงมีสองทางคือ
แนะนำแนวโน้มที่จะไม่สร้างความเจ็บปวดหรือความทรมานให้กับผู้ป่วย เพราะทุกคนทราบถึงผลลัพท์สุดท้ายคือเสียชีวิต เพียงแต่ไม่มีใครรู้ได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ยิ่งเห็นญาติก็ยิ่งรู้สึกสงสารเห็นใจ เพราะญาติเองก็เป็นคนหาเช้ากินค่ำ การที่ทำการเพียงเพื่อ “ยืดเวลาตาย” ออกไป อาจจะยิ่งเป็นผลเสียเพิ่มหนี้สินและความทุกทรมานแก่คนที่ยังมีชีวิตอยู่
อีกทางหนึ่งคือ สู้เต็มที่ แม้ว่าผลที่ได้อาจจะทำให้คนไข้มีชีวิตอยู่เพิ่มขึ้นอีก 5 วันก็คุ้มค่าแล้ว และได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดแก่คนไข้แล้ว และแม้โอกาสจะน้อยหรือแทบจะเป็นศูนย์ แต่หากเสี่ยงแล้วคุ้ม คนไข้ตื่นขึ้น และมีเวลาอยู่กับลูกๆและญาติเพิ่มอีกเป็นหลายเดือน คนไข้จะได้มีโอกาสสั่งเสีย จัดการกับภาระที่ยังค้างคาอยู่ได้ หรือมีเวลาอยู่กับครอบครัวได้นานขึ้นสักนิดก็ยังดี
…….คงไม่มีใครบอกได้ว่าอะไรจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในวินาทีนั้น และประเด็นคงไม่ได้อยู่ที่ แพทย์ท่านนั้นตอบกับผู้ป่วยว่าอย่างไร ....ผู้เขียนเพียงอยากให้พวกเรามอง “คน” มากกว่า “โรค” และ “รักษาโรค” ไปพร้อมๆกับ “รักษาคนและครอบครัว”ของเขา
.......แน่นอนว่า คำตอบที่ตอบออกไปอาจเป็นการสร้างความลำเอียง(bias)ต่อการตัดสินใจที่จะเกิดขึ้นของญาติ หมอคงได้แต่เพียงคอยอยู่ไกล้ๆ ตอบในสิ่งที่ญาติสงสัย และถามเพื่อประเมินกลับว่า....คุณมีอะไรที่ไม่สบายใจ กังวลใจอยู่ หรือมีอะไรที่อยากบอกคนไข้ อยากทำให้คนไข้ในขณะนี้บ้าง.....และ...ในตอนนี้ เป็นการตัดสินใจ ที่ลำบากมาก หมออยากให้ญาติคุยปรึกษากับญาติที่ใกล้ชิดกับคนไข้มากที่สุด เพราะครอบครัวและญาติมีความผูกพันใกล้ชิดกับคนไข้มากที่สุด ....การตัดสินใจนั้นๆมีแนวโน้มที่จะเป็นไปตามเจตนารมณ์หรือตามความต้องการของคนไข้มากที่สุด ในฐานะแพทย์ต้องเคารพการตัดสินใจของครอบครัวและญาติ คอยช่วยเหลือ ให้คำแนะนำ และปลอบโยนญาติ ช่วยsupportทางจิตใจแก่ญาติด้วยความเห็นอกเห็นใจและให้ข้อมูลอย่างเป็นกลางมากที่สุด
และคงต้องอาศัยความช่วยเหลือร่วมมือกันจากทีมรักษาพยาบาล ในการดูแล “คนไข้ ” รวมถึง “ครอบครัว” ในลักษณะนี้ให้ดีที่สุด ไม่ให้ครอบครัวรู้สึกถูกทอดทิ้งและมีกำลังใจที่จะดูแลผู้ป่วย หรือมีกำลังใจที่จะดำเนินชีวิตต่อไป
อาจารย์มาอ่านไวมากเหนือความเร็วแสงอีกค่ะ55
(เหนือความเร็วแสงคือ ความคิดถึงค่ะ หุหุ)
ทำการบ้านจะเสร็จแล้วค่ะ
55สักครู่ค่ะ
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่า
สวัสดีครับ คุณหมออิน
ขอให้กำลังใจได้ไหม ครับ :)
ช่วงก่อนเน็ทเสียเลยห่างเหินวงการไปนานค่ะ....ขอโทษด้วยค่ะ
"ญาติคนไข้ถามคุณหมอท่านนั้นกลับด้วยความจริงใจและอยากรู้จริงๆ ...จากสีหน้าและแววตาของคนไข้ สามารถสัมผัสได้ถึง ความไม่มั่นใจ ไม่แน่ใจในการตัดสินใจที่อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตและความเป็นความตายของคนๆหนึ่งได้ คนไข้คนนั้นจึงถาม"
บางสิ่งก็ลึกซึ้งกว่าประโยคที่ถาม
.......อย่างที่คุณWasawat Deemarn บอกเลยค่ะ..........
สำคัญที่สุดก็คือ "หัวใจ" ของผู้เกี่ยวข้องทุกคน ..........
ขอบคุณมากแทนแพทย์ท่านอื่นๆสำหรับกำลังใจในการทำงานค่ะ
สวัสดีเจ้าค่ะ พี่อิน คุณหมอคนสวย แหะๆ
แวะมาเป็นกำลังใจเจ้าค่ะ....เอิกๆๆ รักษาสุขภาพเพื่อประชาชนด้วยนะเจ้าค่ะ คิคิ
เป็นกำลังใจให้เจ้าค่ะ ----> น้องจิ ^_^
ขอบคุณค่ะน้องจิ น่ารักสดใสจริงๆ
สวัสดีค่ะ คุณหมอ
รู้สึกดีใจที่ได้เห็นบันทึกนี้ แม้ว่าจะไม่ใช่คนไข้หรือญาติของคนไข้
ก็รู้สึกดีใจและภูมิใจนะคะ ที่มีหมอดีๆสำหรับคนไข้ค่ะ
ขอบคุณมากค่ะคุณจตุรัส
สวัสดีค่ะคุณหมออิน
สมัยพี่หนิงอยู่โรงพยาบาล(สิบกว่าปีก่อน) ก็เจอคำถามแบบนี้ค่ะ
แรกๆก็อึ้งนะคะ ไม่รู้จะตอบไง
แต่หลังๆพี่ก็จะตอบว่า ทุกอย่างที่เราทำให้ เราก็คิดเสมอว่าเรากำลังทำให้พ่อแม่พี่น้องของเรา แต่การตัดสินใจอะไรสักอย่างนั้น อย่างไรเราก็ต้องปรึกษากันในหมู่ญาติๆนะคะ
แล้วพี่หนิงมักจะให้เขาปรึกษาญาติพี่น้องเขาด้วยค่ะ
ปล.ชอบอ่าน blog คุณหมออินนะคะ ชอบจังที่มีคุณหมอมาเขียน blog แบบนี้ค่ะ รู้สึกดีจัง
ขอบคุณมากค่ะพี่หนิง
ดีใจที่ยังมีอีกหลายคนให้ความสำคัญและดูแลทั้งผู้ป่วยและครอบครัว
แล้วก็ รู้สึกดีที่มีพี่น่ารักๆมาอ่านด้วยค่ะ
ใจเย็นๆค่ะคุณsuksom หากญาติหรือคนไข้เองก็ตาม
พูดโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ อาจมีเนื้อหา ความหมาย คำพูดที่ค่อนข้างแรง
หรือเป็นการติเตียนทีมรักษาอย่างรุนแรง
อย่างแรกเลยต้องตั้งสติค่ะ (แม้เราจะหดหู่ หรือแม้เราจะเริ่มอารมณ์เสียเพียงใดก็ตาม)
เพราะเราไม่ได้ตกอยู่ในสภาพอย่างเค้า ...เช่นกันเค้าก็ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์แบบเรา
สิ่งที่เค้าพูดหรือแสดงออกมาอาจมีความหมายมากกว่าแค่ประโยคนั้น
เขาอาจกำลังโมโหในความเจ็บป่วยที่เกิดโดยเขาไม่ได้ทำ...
เขาอาจโมโหในโชคชะตาตัวเองที่ต้องเจอแบบนั้น...
เขาอาจโมโหที่เหมือนกับทำอะไรดีขึ้นอีกด้วยตัวเขาเองไม่ได้...
.....เป็นกลไกทางจิตในการโยน(project) หรือหาตัวแทนความผิดหวังนั้นๆ
แต่เชื่อเลยค่ะ ถ้าเราเย็นไว้ ตั้งสติไว้ คนไข้หรือญาติจะเริ่มสงบลง
ทำให้เราสามารถคุยได้รู้เรื่องขึ้นค่ะ
ขอบคุณค่ะอาจารย์ขจิต
ตามไปตอบที่บล๊อกอาจารย์นะคะ
คำถามนี้โดนถามเหมือนกัน สิ่งสำคัญอยู่ที่ meaning จริงๆ ของคำถาม เมื่อเข้าใจความหมายโดยนัยที่เขาถาม สิ่งที่ตอบก็เป็นไปตามที่ควรเป็น
ดีใจครับที่เห็นน้องเติบทางความคิดอย่างมาก จะติดตามต่อไปครับ
ขอบคุณค่ะพี่โรจน์