ถอดเทปวงเสวนาในงาน "สรุปบทเรียนการจัดการความรู้ 1 ปีและแนวทางการดำเนินงานในอนาคต" เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 48 ซึ่งมี อ.ประพนธ์ ผาสุขยืด, อ. ทรงพล เจตนาวณิชย์, ตัวแทนกรมส่งเสริมการเกษตร จ. นำร่อง และทีมผลักดัน KM กรม ร่วมวงเสวนากัน ต่อจากเมื่อวานนี้นะคะ (Link เมื่อวาน)
นายชำนาญ ฉุ้นประดับ
: |
สวัสดีครับผมชำนาญ ฉุ้นประดับ สสก.เขต 5
ส่วนกลาง ไม่ได้เป็นผู้ปฏิบัติไม่ได้เป็นคนขี่จักรยานโดยตรง
แต่ว่ามาร่วมอบรมและร่วมชี้แจงในระดับจังหวัด แต่ว่าไม่ได้ปฏิบัติ
แต่ผมมองว่าการจัดการความรู้ในกรมส่งเสริมการเกษตร มีอยู่ 2 ลักษณะ
คือ ระบบการจัดการความรู้ที่เราพยายามสร้างขึ้นโดยแนวความคิดของ KM
ที่อาจารย์นำมาถ่ายทอด ให้กับจังหวัดนำร่อง 9
จังหวัด
และอีกส่วนหนึ่งเป็นการจัดการความรู้ที่กรมส่งเสริมพัฒนามาเรื่อย ๆ
จนเป็นระบบส่งเสริมหรือเป็นลักษณะการจัดการความรู้เหมือนกัน
เลยไปมองภาพในพื้นที่ระดับเขต คือ
โดยมีเจ้าหน้าที่ในระดับอำเภอแต่ไปรับผิดชอบตำบล
โดยทำงานกับศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยี
มีคณะกรรมการของศูนย์ร่วมกันทำงานด้วยกัน
ภายใต้ขอบเขตพื้นที่ของศูนย์ที่รับผิดชอบอยู่ มีโรงเรียนเกษตรกร
มีกลุ่มแม่บ้าน มีกลุ่มเรียนรู้ มีอะไรหลาย ๆ ตัว
วิธีการทำงานของเกษตรตำบล
ซึ่งอาจจะมีแนวร่วมจากผู้นำชุมชนลงไปทำงานกับตำบล
เข้าใจว่าระบบปกติเหล่านี้จะไปจัดการความรู้และทำให้คุณอำนวยกับคุณลิขิต
ซึ่งตามระบบแบบนี้ก็จะมีแนวความคิดตามโรงเรียนเกษตรกร
ก็มีการอบรมโดยปกติอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าแนวคิดตามระบบ KM
ยังไม่เข้าหรืออาจจะเข้ามาโดยไม่รู้ตัวก็ได้ผมเลยมองดูว่า 2
อย่างตอนนี้ มันมีปัญหาอยู่ว่า
สิ่งที่ได้ทำอยู่นั้นไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่สิ่งที่เราทำไปก็ยังมองภาพไม่เห็นว่าสำเร็จกว่าสิ่งเก่าเท่าใดครับ
ในความรู้สึกผมผมว่าน่าจะประสบความสำเร็จบ้าง
ถ้าเราทำแล้วนำนำสิ่งที่ทำมาเสนอให้คนทั่วไป |
|
ดร.ประพนธ์
ผาสุขยืด : |
ตอนท้ายทำให้พวกเราเห็นอะไรที่ชัดขึ้นนะ
เพราะจากมุมมองที่ท่านมองชัดมาก ตอนนี้ 7 เดือนที่ผ่านมา
ตั้งแต่มีเรื่อง KM ตั้งแต่ที่ ร.ร.มารวย
แต่ถ้าท่านมองย้อนกลับไปก็จะเห็นว่ากรมส่งเสริมการเกษตรมีการทำ KM
อยู่แล้ว ที่ไปทำในตำบลอย่างนี้ใช่เลยนะ ผมอยากจะตอบว่าจริง ๆ
แล้ว KM โดยเฉพาะกรมส่งเสริมทำหน้าที่ส่งเสริม ทำหน้าที่คุณอำนวย
ท่านจะบอกว่าท่านไม่เคยทำ KM เลยไม่ได้ เพราะตั้งแต่ท่านตั้งกรมมา
ท่านทำ KM มาแล้วเพียงแต่ว่าพอเดือนมีนาคม ส.ค.ส. ก็บอกว่า KM
ต้องมีอย่างนี้ แล้วก็ลองนำร่องไปทดลอง 9
จังหวัดแต่ไม่ได้หมายความว่าท่านที่เหลือไม่ได้ทำ KM ท่านทำอยู่แล้ว
ทีนี้ก็เหลือแต่การตัดสินใจของท่านเองว่าจะทำอย่างไรให้เป็น KM
ของกรมส่งเสริม version เก่าบวก version ใหม่
หรืออะไรก็แล้วแต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่าน ส.ค.สง
เพียงแต่แนะนำว่าท่านทำแบบนี้นะ จริง ๆ แล้ว ส.ค.ส.
ก็เป็นกรมส่งเสริมเหมือนกันนะเพียงแต่ส่งเสริมเรื่อง KM
เราเพียงแต่หวังว่าเราให้แก่นเขาจะใช้หรือไม่ใช้
หรือเอาไปบูรณาการกับสิ่งที่ทำอยู่
ถ้าสิ่งที่ทำอยู่ดีอยู่แล้วมันมีหัวปลา ตัวปลา หางปลา ก็ดี
หรือถ้ามันไม่มีก็เอาไปเสริม โดยไม่ยึดของใหม่หรือทิ้งของเก่า
ท่านกำลังผ่านชุดที่ 1 คือ เรียนรู้ตำรา วิธีการ สิ้นสุดปี 2548 พอปี
2549 เข้าสู่ชุดที่ 2 ท่านจะต้องเอาไปบูรณาการได้
ที่เรียกว่าไร้กระบวนท่า
ไม่ติดของเก่าไม่ติดของใหม่กลมกลืนเป็นเรื่องเดียวกัน
ไม่ต้องมีนำร่องแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดทำหมดเลย
เพราะฉะนั้นผมเห็นด้วยกับที่ท่านมองว่ากรมส่งเสริม KM อยู่แล้ว
แต่อาจจะต้องเสริมบางจุด อย่างเช่นที่จังหวัดนครพนมบอกว่าคุณลิขิต
เราอาจจะต้องเสริม โดยไม่ต้องยึดติด Model โดย Phase ที่
2ไม่ยึดติดกับ Model แล้ว แล้วก็นำออกมา
แล้วแต่ละจังหวัดมาแลกเปลี่ยนกัน ผมคิดว่าคุณได้เดิน KM
อย่างเต็มรูปแบบแต่เมื่อไหร่กรมส่งเสริมบอกว่าทุกจังหวัดต้องทำแบบนี้ผมว่าแบบนั้นท่านไม่ได้ทำ
KM แล้ว
แต่ถ้ากรมทำหน้าที่เป็นเวทีให้กับจังหวัดมาแลกเปลี่ยนกันนั่นแหละกรมทำหน้าที่เป็นคุณอำนวย
ให้กับคุณอำนวย..แสดงว่ากรมเข้าใจ KM
วันนี้ผมว่าดีมากที่เราได้คำถามดี ๆ แบบนี้
แล้วเราจะได้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น
ตั้งแต่นี้ไปจะต้องไม่ได้ยินคำว่าสับสนนะ phase 2
จะต้องไม่สับสนแล้วนะ จะต้องกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน
ต้องเนียน |
|
อ.
ทรงพล เจตนาวณิชย์
: |
ผมขอย้ำช่วงท้ายที่ท่านพูดว่าคล้าย ๆ
กรมส่งเสริมก็ทำอยู่แล้วแต่ไม่สำเร็จ
ถ้าพูดอย่างนั้นเรากำลังจะทำใหม่ดูเหมือนว่าน่าจะสำเร็จ
แต่อยากให้ท่านดูว่าถ้าท่านทำอยู่แล้วอะไรที่ทำให้ท่านทำไม่สำเร็จ
ถ้าทำแบบใหม่อะไรที่เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าถ้าทำแล้วจะสำเร็จ
ไม่ทราบเหมือนกันนะว่าตอบได้หรือเปล่านะครับ |
|
นายชำนาญ
ฉุ้นประดับ : |
ผมคิดว่าสิ่งที่ทำไม่สำเร็จเพราะขาดทักษะใช้เครื่องมือต่าง ๆ
หรือความไร้กระบวนท่าและเปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อย ๆ
แต่ไม่ทราบว่าในสถานการณ์แบบใดจะใช้รูปแบบไหนจะประสบความสำเร็จ
ไม่ทราบว่าพอจะเป็นคำตอบให้อาจารย์ได้แค่ไหน |
|
นายประสาร
เฉลิมศรี : |
เพิ่มเติมในส่วนพี่ชำนาญว่าถ้ามองถึงระบบโรงเรียนเกษตรกรที่กรมส่งเสริมใช้ในองค์กรผมขอตอบว่าเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานมีความสุขในการทำงานตรงนี้ครับ |
|
นายณัฐวัตร เตชะสาน
: |
ยังมีจังหวัดอื่น ๆ ที่ยังไม่ได้พูด
เดี๋ยวท่านจะเสียสิทธินะครับ โดยเฉพาะจังหวัดดัง ๆ
อย่างกำแพงเพชรที่ท่านทำประสบความสำเร็จอย่างสูง
มีอะไรเป็นปัจจัยความสำเร็จให้ช่วยบอก
และอาจารย์จะได้ร่วมชื่นชมด้วยครับ |
|
นายสายัณห์
ปิกวงศ์ : |
ผมก็ได้จดประเด็นที่จะถามไว้ด้วยเหมือนกัน
ขณะที่ฟังไปก็วิเคราะห์ไปได้รับความชัดเจนเพิ่มมากขึ้น
มีคำตอบมากยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้เสียสิทธิมีคำถามจะถาม 3 ข้อครับ
ตามความเข้าใจนะครับในระดับ CKO คุณอำนวย คุณกิจ
ในระดับแต่ละระดับอยู่ในตัวใช่หรือไม่ เช่น ในระดับกรมส่วนไหนเป็น CKO
คุณอำนวย แต่เมื่อมองในระดับจังหวัด CKO ก็คือ เกษตรจังหวัด
คุณอำนวยคือเจ้าหน้าที่ระดับจังหวัดที่รับผิดชอบ KM
และคุณกิจคือเกษตรอำเภอหรือเลขานุการศูนย์หรือเกษตรกร
เมื่อมองไปที่สำนักงานเกษตรอำเภอ CKO คือ เกษตรอำเภอ เลขาศูนย์คือ
คุณอำนวย
คุณกิจคือเกษตรกรอยากเรียนถามว่าเจ้าหน้าที่ที่ไปจากกรมไปติดตามนิเทศและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในระดับจังหวัดเป็น
CKO ใช่หรือไม่ ประเด็นที่ 2 การที่จะเป็นคุณอำนวย CKO และคุณลิขิต
ในส่วนตรงนี้จะต้องผ่านประสบการณ์กระบวนการ KM มาก่อนใช่หรือไม่
อีกประเด็น คือ บทบาทของคุณลิขิตที่ทำหน้าที่บันทึก
จะต้องทำให้เกิดคลังความรู้
แล้วนำไปเผยแพร่บนเว็บไซด์ ซึ่งเป็นการ Action
ของ เจ้าหน้าที่และในระดับพื้นที่ในตรงนี้อยากจะขอคำแนะนำจากอาจารย์ครับผม |
|
ดร.ประพนธ์
ผาสุขยืด : |
ขอตอบประเด็นแรกนะ CKO กับคุณอำนวย
บทบาทหรือทักษะทั้ง 2 บทบาทใช้ทักษะไม่เหมือนกันเลย CKO
จะต้องมีวิสัยทัศน์และทิศทางที่ชัดเจน
คุณอำนวยก็เอื้ออำนวยให้กระบวนการเรียนรู้ให้ไหลไปได้สะดวก มีความสุข
ได้ผล และผมเลยมองว่าบทบาทเขาคนละเรื่องกันเลย จึงมองว่าคนบางคนเป็น
CKO ได้ บางคนเป็นคุณอำนวยได้ ผมคิดว่าตรงนี้มีคนละบทบาท
ตามความรู้สึกของผมเพราะหน้าที่คนละเรื่องกันเลย
ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมอบระดับไหน ถ้าระดับกรม CKO เป็นใคร
คุณอำนวยก็เป็นทีมงานระดับกรม คุณกิจก็พวกเราไง พวกเราก็มาแชร์กัน
ในระดับจังหวัดก็จะมี CKO
คือเกษตรจังหวัดเจ้าหน้าที่จังหวัดเป็นคุณอำนวย ระดับอำเภอเป็นคุณกิจ
เป็นชั้น ๆ ไป ที่ท่านคิด
ผมว่าถูกต้องแล้วครับแต่ฟังจากท่านพูดว่าเป็นคุณอำนวยก่อนแล้วค่อยไปเป็น
CKO ค่อย ๆ เลื่อนชั้นในมุมมองผมว่าไม่ใช้บางคนเหมาะจะเป็น CKO
บางคนเหมาะจะเป็นคุณอำนวย CKO ก็เกี่ยวกับตำแหน่งพอสมควร
เพราะเกี่ยวกับการอนุมัติด้วย คุณทุกคนเป็นคุณอำนวยใช่หรือไม่
ผมคิดว่าไม่ใช่นะคุณอำนวยต้องมีการฝึกฝนต้องมีมนุษย์สัมพันธ์
คนบางคนมีทุนเดิมดีอยู่แล้ว นำมาฝึก workshop 2 วัน บินได้เลย
แต่ขณะที่อีกคนฝึกอีกหลายเดือน เราก็ต้องเลือกว่าใครเหมาะจะเป็นอำนวย
เพื่อความสะดวกในการทำงาน ใช้เครื่องมือได้หลากหลาย
..แต่ในส่วนประเด็นที่ 3
ผมยังไม่สามารถคอมเมนส์ท่านได้เพราะผมยังไม่ได้ดูเอกสาร แต่เท่าที่..
สรุปบทเรียน
และถอดองค์ความรู้นำลงเอกสารและเว็บไซด์ว่าเป็นอย่างนี้ได้คิดว่าครบถ้วนกระบวนความ
ถือว่าเยี่ยมแล้วนะ |
|
นางอุษา
ทองแจ้ง : |
ขอตอบที่ถามจาก
จ.กำแพงเพชรว่าเจ้าหน้าที่จากกรมที่ไปลงติดตามงานตามจังหวัดต่าง ๆ
เราเป็น CKO จากกรมหรือไม่ ขอตอบว่าเราไม่ใช่ CKO
แต่สองวันมานี้เราไม่ได้พูดถึงคำอยู่คำหนึ่งคือ เราคือคุณประสานคะ
เราพยายามจะเชื่อมระหว่างกรมกับจังหวัด |
|
|
ผมรู้สึกว่าไม่ Happy เลย
เพราะว่าทุกคนที่มาร่วมไม่ยิ้มเลย
แสดงว่าทุกคนไม่มีความสุขเลยคงเครียดกับโปรแกรมหัวปลา ก้างปลา
หางปลาอะไรทำนองเนี่ย ที่จริงผมฟังอาจารย์ทั้ง 2 ท่าน
ก็เลยคิดขึ้นได้ว่าที่จริงแล้วรูปแบบไม่ใช่สาระสำคัญอะไรมากนัก
แต่สิ่งที่ใจคิด เราจะทำอย่างไรก็ได้ให้เกิดมีการนำไปสู่การปฏิบัติ
(Action) นี่แหละคือประโยชน์ของ KM ปี 49
ผมคิดว่าน่าจะเป็นการประยุกต์ใช้อย่างที่อาจารย์ทั้ง 2 ท่าน
แนะนำในแต่ละคนน่าจะมีการสรุปแล้วเอา Action ของแต่ละคนไปใช้
และควรให้อิสระแต่ละท้องที่และจังหวัดในการคิดของแต่ละจังหวัด
สตูลก็คิดอย่างสตูล นครศรีธรรมราชก็คิดอย่างนครศรีธรรมราช
แต่เป้าหมายก็คือเอาความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์ได้
ตอบวัตถุประสงค์ได้ ตอบเป้าหมายให้ได้ก็น่าจะ OK
เราจะได้ไม่ต้องนั่งเครียด อยากให้มีบรรยากาศสบาย ๆ
กลับไปบ้านแล้วมีความสุขนะครับ
ขอแสดงความรู้สึกไว้เพียงเท่านี้ครับ ขอบคุณครับ |
ยังไม่จบนะคะ อ่านดูแล้วเดาว่าบรรยากาศการเสวนาถอดบทเรียนกำลังเข้มข้นและเป็นบรรยากาศที่เปิดใจ เท่าเทียมกัน และให้สาระมากค่ะ แล้วติดตามกันต่อนะคะ
ไม่มีความเห็น