เมื่อ 23-24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ทางโรงพยาบาลบ้านตากและโรงพยาบาลต่างๆในเขตจังหวัดตากได้รับการช่วยเหลือจากทีมงานดูแลเบาหวานที่ถือเป็นBest practiceของประเทศและของภูมิภาคมาช่วยจัดประชุมวิชาการให้ ผมดูแล้วก็น่าจะเป็นPeer Assistได้เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในห้องประชุมเป็นหลัก ผมเองได้นั่งฟังเฉพาะส่วนของอาจารย์หมอเทพ บรรยายเท่านั้นเพราะมีประชุมและดูงานซ้อนอยู่อีกหลายคณะ
จากที่ผมได้ฟัง ผมก็ได้พยายามฟังอย่างลึกซึ้งเพื่อจะสกัดเอาความรู้ฝังลึกที่ได้จากผู้บรรยายออกมาให้ได้มากที่สุดและพยายามที่จะเขียนเล่าแต่ก็เขียนไม่ได้สักที ก็จะพยายามเขียนเติมไปทีละเล็กละน้อยเท่าที่จะเขียนได้ครับ
1. เบาหวานไม่ใช่น้ำตาล แต่เป็นความเสี่ยงของกลุ่มโรคจากเมตะบอลิซึ่มส์ ที่เกี่ยวข้องกับอาหารและการออกกำลังกาย
2. เบาหวานเป็นโรคระบาด(DM Epidermic)เป็นดรคทางสาธารณสุขหรือPublic Health มีผู้ป่วยเบาหวานครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่รู้ว่าตนเองเป็นเบาหวานและเข้ามาสู่กระบวนการรักษาพยาบาล เบาหวานจึงถูกขนานนามเป็นSilent killer
3. คนไข้เบาหวาน ร้อยละ 80 ตายด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด
4. โรคอ้วนเป็นกรรมพันธุ์และสมทบจากสิ่งแวดล้อม โดยร้อยละ 70 ของเด็กอ้วนจะกลายเป็นผู้ใหญ่อ้วน ส่วนเด็กแรกเกิดที่น้ำหนักต่ำกว่า 2,500 กรัม โตขึ้นมักจะเป็นเด็กอ้วนเพราะสรางภาวะดื้ออินสุลินตั้งแต่แรกเกิด
5. สูบบุหรี่ทำให้เกิดอนุมูลอิสระส่งผลให้เส้นเลบือดอักเสบและกลายเป็นเบาหวานได้
6. Metabolic syndromeเป็นภาวะดื้อต่ออินสุลิน
เริ่มจากการอ้วน
ก็ยิ่งทำให้ดื้อตอ่อินสุลินมากขึ้นเกิดความดันสูงเกิดภาวะไขมันผิดปกติมีไตรกลีเซอร์ไรด์สูงขึ้นแต่HDLลดลง
เกิดภาวะArterosclerosisและเป็นเบาหวานชนิดที่ 2
7. สาเหตุสำคัญของเบาหวานชนิดที่ 2
คือการตายของเบต้าเซลที่ทำหน้าที่ผลิตอินสุลินในตับอ่อนกับภาวะดื้อต่อินสุลิน
8.
การดูว่าจะเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานหรือไม่ดูได้ง่ายจากเปอร์เซนต์ไขมันหน้าท้อง
หรือไขมันที่พุง ถ้ามากกว่า 36 นิ้วในผู้ชายหรือมากกว่า 32
นิ้วในผู้หญิงจะถือว่าอ้วนและมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน
9.ไขมันที่พุงจะสลายเป็นไตรกลีเซอร์ไรด์ที่จะเปลี่ยนเป็นFree fatty
acid ที่ทำให้เบต้าเซลตายได้เยอะ
10.
รูปแบบของการเกิดโรคเบาหวานจะเกิดจากอ้วนแล้วมีการทดสอบน้ำตาลกลูดคสผิดปกติ(IGT)แล้วกลายเป็นเบาหวานจนมีภาวะน้ำตาลสูงแบบควบคุมไม่ได้
ความเสี่ยงต่างๆจะค่อยๆเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆไม่ใช่มาตัดฉับที่เป็นกับไม่เป็นเบาหวาน
ดังนั้นน้ำตาลหลังอดอาหาร120(ปกติ) กับ 130
(เป็นเบาหวาน)จึงไม่ได้มีความเสี่ยงที่แตกต่างกันนัก
11.การวินิจฉัยดดยการเจาะน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร(FBS)
ที่สูงจึงเป็นการตรวจที่ช้า
โดยที่FBSจะสะท้อนให้เห็นถึงการทำหน้าที่ของเบต้าเซล
แต่น้ำตาลหลังอาหาร(Postpandrial
sugar)จะสะท้อนให้เห็นถึงภาวะดื้อต่ออินสุลิน
12. ในการวินิจฉัยเบาหวาน จึงไม่จำเป้นต้องอดอาหารมาเท่านั้น
ใช้Random sugarเลยก็ได้
และในการเจาะไขมันในเลือดก็ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร(ปัจจุบันคนยังไม่เชื่อ
แต่ในอนาคตจะปรับเปลี่ยนมาเป้นแบบนี้)
13. เมื่อวินิจฉัยผู้ป่วยเป็นเบาหวานแล้ว
ก็ไม่ได้เริ่มต้นด้วยการให้ยาเท่านั้น น้ำตาลอดอาหาร 160-180
ก็สามารถเริ่มด้วยเรื่องอาหารและการออกกำลังกายก่อนได้
การให้ยาเร็วเกินไปเพราะกลัวน้ำตาลสูงจึงเป็นความเชื่อที่ไม่ค่อยถูกต้อง)
14.
รากเหง้าของโรคหัวใจและหลอดเลือดก็คือภาวะดื้อต่ออินสุลินหรือInsulin
resistance
15.
การจัดการกับผู้ป่วยกลุ่มนี้จึงเป็นการจัดการกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น
ไม่ใช่มามัวรอจัดการกับตัวโรค "Doing nothing very costly"
16. FBSมากกว่า 126 วินิจฉัยเป็นเบาหวาน น้ำตาลแบบสุ่มมากกว่า 200
เป็นเบาหวานแน่นอน แต่ถ้ามากกว่า140ให้นัดอดอาหารมาเจาะน้ำตาลหรือถ้า
141-199.shme OGTT
17. FBSเป็นการแสดงแค่ค่าน้ำตาลเฉพาะวันนั้น ส่วนHbA1C
เป้นการแสดงค่าน้ำตาลสะสม เราจะพบได้ว่าผู้ป่วยรุ้ว่าอีก 2-3
วันจะตรวจเบาหวานก็ควบคุมอาหารอย่างดี
พอวันตรวจFBSจึงปกติได้