สมองวัยรุ่น


สมองมีพัฒนาการ มีระบบ ซื้อขายไม่ได้ ทุกช่วงวัยต้องการความรัก ความเข้าใจ กำลังใจทั้งนั้น กอดกันทุกวันนะ

เมื่อวันพุธที่ 5 มี.ค.51 ได้ถูกเชิญไปสัมภาษณ์พร้อมกับท่านพิทยา จินาวัฒน์ รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(รองเลขาธิการ ปปส.) ในรายการวัชระโชว์ ของคุณวัชระ กรรณิการ์ เป็นการพูดคุยกันถึงสถานการณ์ยาเสพติดในประเทศไทย ท่านพิทยาได้กล่าวถึงบทบาทของ สำนักงาน ปปส. และสถานการณ์ในปัจจุบัน ถึงแม้ว่าจะมีหน่วยงาน และเจ้าหน้าที่ เจ้าพนักงานมาก แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้สถานการณ์ยาเสพติดในประเทศดีขึ้น ท่านพิทยาให้ความเห็นว่าเป็นเพราะการบริหารจัดการในทุกระดับยังไม่เข้มแข็งพอ (คงต้องจับมาเข้าคอร์ส KM แบบเข้มข้น) พิธีกรได้ถามในประเด็น สมองติดยา ให้ดิฉันช่วยอธิบาย ดิฉันได้อธิบายไปในรายการแบบสังเขปเท่าที่เวลามีจำกัด เลยมีความรู้สึกว่าอยากเขียนเรื่อง สมองวัยรุ่น มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับ เพื่อนพ้องน้องพี่ใน blog ดีกว่า

สมองเป็นอวัยวะที่มีพัฒนาการของการเจริญเติบโต เติบโตแบบมีจังหวะ มีกระบวนการ และใช้เวลา ซื้อขายกันไม่ได้ ไม่ว่ารวยเป็นหมื่นล้านบาท หรือจนเป็นศูนย์บาทก็มีคนละ 1 กิโลกับ 3 ขีด ไม่สามารถทำเทียมมาสวมได้!!!  

มีอยู่วันหนึ่งถูกเชิญไปเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในงานวิจัยของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม ได้ถูกคุณแทนคุณ จิตต์อิสระ (พิธีกรรายการทีวีหลายรายการ) ถามว่า อาจารย์ครับถ้าเอาสมองอาจารย์มาเปลี่ยนกับผม ตัวผมยังเป็นผมอยู่หรือเปล่า! เอ้อ! เข้าใจถาม อันดับแรกคงตายไปแล้วละ OK. คำตอบคือคุณก็เป็นเรา เราก็เป็นคุณ เพราะสมองเป็นอวัยวะที่กำหนดตัวตน กำหนดอุปนิสัยใจคอ และกำหนดชะตากรรม (นี่ถ้าเปลี่ยนกันได้นะดิฉันอยากเอาสมองคนดีมาสวมให้ผู้มีอำนาจในบ้านในเมืองนี้เปลี่ยนกันไปคนหัว สองหัว!!! เผื่อจะมีวิธีคิดวิธีบริหารจัดการแบบสร้างสรรค์ และมีนวตกรรมด้วย)

สมองวัยรุ่น จะมีส่วนที่มีพัฒนาการสูงสุด(ประมาณอายุ 12-13 ปี) คือส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ โดยเฉพาะบริเวณที่เรียกว่า อะมิกดาลา (amygdala) จึงเห็นพฤติกรรมโดยทั่วไปของวัยรุ่น ทั้งก้าวร้าว รุนแรง ซ้ายสุดขอบ ขวาสุดขอบ แต่มีหลายคนไม่เป็นอย่างนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าในช่วงอายุ 1213 ปีนี้สมองหน้า (Frontal cortex) ก็มีการเจริญเติบโตเพียงแต่ยังไม่เจริญขีดสุด แต่ทำงานทำหน้าที่ได้นะคะ หน้าที่ของสมองส่วนหน้าคือคิดเป็นเหตุเป็นผล ยับยั้งชั่งใจได้ คิดและมองอย่างมีคุณธรรม และมีจริยธรรมในการมองปัญหา และแก้ปัญหาเป็น ดังนั้นหลายคนที่ผ่านวัยรุ่นมาได้อย่างดีเพราะเราถูกฝึกวิธีคิด คือสมองส่วนหน้าถูกฝึกมาเรื่อย ๆ ใช้งานบ่อย หลายคนถูกฝึกมาตั้งแต่เล็ก ๆ ด้วยซ้ำชนิดที่ฝึกไปพร้อมกับพัฒนาการ จะเห็นได้ว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ณ์ใดขึ้นมาก็จะมีวิธีคิดวิธีจัดการอย่างดีเกิดปัญหาหรือผลกระทบตามมาน้อย

เพราะฉะนั้นแทบไม่แปลกใจเลยว่าทำไมวัยรุ่นจึงมีแต่ปัญหา และซับซ้อน ทั้งยาเสพติด พฤติกรรมก้าวร้าว มั่วสุม ติดเนต ติดเซ็กส์ ฯลฯ ถ้าวันนี้ผู้ใหญ่ยังไม่ใจดี ไม่ใจกว้าง และไม่เข้าใจปล่อยเขาไปไม่ให้โอกาสเขา ต่อไปชีวิตพวกเขาจะเป็นอย่างไร ตัวเขาเองโดยระบบชีววิทยาก็สับสนพอดูอยู่แล้วยังจะมาเจอระบบสังคมที่แย่เข้าไปอีก!!!

เมื่อลูกเป็นวัยรุ่น (ลูกดิฉันเองก็อายุ 11 ปี) พ่อ แม่ ผู้ดูแล ครู ญาติ จะต้องทำอย่างไร อย่าลืมว่าเราทุกคนก็ผ่านช่วงวัยนี้มาแล้วทั้งนั้น ผ่านกันมาคนละแบบ คนละยุค

เคยตั้งคำถามกับผู้ปกครองที่มาปรึกษาว่ากอด-หอมลูกบ้างหรือเปล่า หลายคนบอกว่าไม่ได้กอดกันเลย ไม่ค่อยได้แสดงความรักแบบใกล้ชิดสัมผัสกันสักเท่าไหร่ ในครอบครัวพี่น้องก็ไม่ค่อยได้ทำ จำไม่ได้ว่ากอดกันครั้งสุดท้าย หรือหอมแก้มลูกครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ตอนอนุบาลยังกอด-หอมอยู่ ประถมหนึ่งก็ทำบ้าง ไม่ทำบ้าง ประถมสองน้อยลง อืมมม...ประถมสี่-ห้ามานี่ แทบไม่ได้กอด-หอมเลย ตอนนี้ลูกอายุ 17 แล้ว ไม่อยากทำ ลูกเองก็ไม่อยากทำเดี๋ยวเพื่อนล้อว่าลูกแหง่...

ก็เข้าใจนะคะ บ้านเราไม่มีวัฒนธรรมการกอดทักทายกัน เรามีแต่ไหว้กันซึ่ง ๆ หน้า !!! ไม่สัมผัสกันเลยสักนิด เมื่อไหว้และรับไหว้เสร็จก็นั่งสำรวมสนทนากัน ให้กำลังใจผ่านสีหน้า และรอยยิ้มเท่านั้น ไม่สัมผัส จับมือ ลูบหลัง ตบไหล่ ให้กำลังใจแบบฝรั่ง

มีอยู่หลายครั้งที่ดิฉันพานักศึกษาไปฝึกงานในสถานบำบัดยาเสพติดแห่งหนึ่ง และทุกครั้งที่ไปดิฉันจะถือโอกาสพูดคุยกับเด็กผู้หญิงวัยรุ่นติดยา ระหว่างพูดคุยดิฉันจะพูดคุยด้วยความอ่อนโยน จับมือ สัมผัส ลูบหลัง ให้กำลังใจ อย่างมีจังหวะเพื่อให้เขาไว้ใจ ผ่อนคลาย พอพูดคุยเสร็จก็กอดเขา กอดแบบใจโดนใจเหมือนกอดลูก ตอนแรกน้องเขาเกร็งอึดใจเดียวเขากอดพร้อมร้องไห้สะอึกสะอื้น คราวนี้กอดไม่ยอมปล่อยเราเลยแฮะ!!! เขาบอกว่าตั้งแต่เด็ก ๆ มาหนูไม่เคยมีใครกอด ละพูดคุยชมเชย ให้กำลังใจหนูแบบนี้มาก่อนเลย ถ้ามีสักคนหนูคงไม่เป็นแบบนี้!!! ทุกคนโปรดฟังไว้ และโปรดฟังอีกครั้งหนึ่งว่าวัยรุ่นต้องการความรักและกำลังใจทุกคน ไม่ว่าเลวสุด ๆ แย่สุด ๆ หรือแม้กระทั้งทำดีสุด ๆ และมีคนชมเชยมากแล้วก็ยังอยากได้ยินคำชมและกำลังใจอยู่ดี

ลองถอดบทเรียนคนใกล้ชิดที่ประสบความสำเร็จดูก็ได้ว่าเขามีคนคอยเป็นกำลังใจและไว้วางใจได้อย่างน้อย ๆ หนึ่งคนทุกคน...

ท้ายนี้อยากให้พวกเราทุกคนปรับเปลี่ยนพฤติกรรม มีใจเย็นลง ค่อย ๆ ฟังคำอธิบายของวัยรุ่นเขาแม้ว่าหลายคนบอกว่าเป็นคำแก้ตัว ค่อยสอนวิธีคิด นั่งคิดนั่งคุยกัน นั่งแก้ไขปัญหาไปด้วยกัน นั่งเล่นเกมส์ด้วยกัน นั่งเล่น Hi 5ด้วยกัน วัยรุ่นต้องการพ่อแม่เข้าใจเขาทุกเรื่อง การแต่งกายอย่าไปว่าแต่ค่อย ๆ ทำความเข้าใจ เพราะเขาจะเด็กก็ไม่ใช่ผู้ใหญ่ก็ไม่เชิง จะให้เขาแต่งแบบเด็กประเภทดอกไม้ ตุ๊กตา การ์ตูนก็จะโดนเพื่อล้อว่าคิกคุ จะแต่งเสื้อผ้าของผู้ใหญ่ประเภทเว้าโค้งเห็นทุกโค้งก็จะโดนว่าเป็นเด็กแดดแก่!!! ลองดูให้พอดี ๆ ตามแต่บริบท วัฒนธรรมของท้องถิ่น และภูมิอากาศด้วย 

วันหลังจะมาเขียนทีละประเด็น เอาเป็นว่าใครอยากรู้เรื่องอะไร หรือมีอะไรมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันก็เขียนมาคุยนะคะ

วันนี้กอดลูกกันหรือยัง!!!

หมายเลขบันทึก: 169582เขียนเมื่อ 7 มีนาคม 2008 17:05 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 03:36 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

ไปเชียงใหม่ด้วยกันไหมคะ

จะได้มีโอกาสกอด อ.เหม่งไงคะ

สวัสดีครับ

อยากถามว่า...คนที่ถนัดมือซ้ายเพราะได้รับการพัฒนาสมองซีกขวา ทำให้เก่งการคำนวณ ตัวเลข ทุกคนจริงไหมครับ

ขอบคุณครับ

ตอบคุณมาหาอ้วน

ว่าไม่จริงเสมอไปค่ะ และข้อมูลทางด้านประสาทวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าคนที่มีความถนัดทางศิลปะ เช่นวาดรูปเก่งไม่ใช่ไม่เก่งคำนวณนะคะ ขณะทำงานด้านศิลปะสมองต้องทำงานทั้งสองซีก สมองด้านซ้ายต้องคอยคำนวณการตกกระทบของแสง น้ำหนักการให้สี ร่วมกับจินตนาการของสมองซีกขวาเสมอ คนที่มีพรสวรรค์ทางการคำนวณก็ยังต้องใช้จินตนาการเกี่ยวกับค่า(value)ของตัวเลขเลยค่ะ ทั้งหลายทั้งปวง เมื่อจะส่งเสริมพัฒนาการในเด็กไม่ต้องไปฝืนถ้าพบเด็กถนัดซ้าย และอย่าอคติว่าเด็กถนัดซ้าย หรือถนัดสองมือจะเป็นอัจฉริยะ เพราะอัจฉริยะสร้างได้ด้วยการส่งเสริมพัฒนาการของสมองอย่างเต็มศักยภาพทุกช่วงวัย ประการสำคัญอันดับแรกต้องเลี้ยงเด็กให้เป็นเด็กดี มีคุณธรรม จริยธรรม รู้จักพอเพียง และมีความสุข เมื่อมีความสุขก็จะพร้อมเสมอในการเรียนรู้ และในที่สุดจะเป็นคนเก่งเอง หลายคนติดเรียงลำดับว่า เก่ง ดี มีสุข อย่าเก่งนำเพราะเสี่ยงในการนำเอาความเก่งมาโกงกินและในที่สุดก็ไม่มีความสุขทั้งตัวเองและสังคม ขอเป็น

                               " ดี มีสุข เก่ง "                                

สวัสดีครับ อยากทราบว่า อ.เหม่ง คิดเห็นอย่างไรกับคำว่า ต้นทุนฃีวิต

ถึงคุณไม่แสดงตน

คำว่าต้นทุนชีวิต ดิฉันจะหมายถึงทั้งnatureและ nurture นั่นหมายถึงการสร้างสมองให้พร้อมทำหน้าที่อย่างเต็มประสิทธิภาพก่อนกำเนิด เช่นคนท้องต้องรู้ว่าคุณกำลังสร้างอีกหนึ่งชีวิต คุณต้องดูแลในสิทธิการมีชิวิตของเขา โดยดูแลการตั้งครรภ์อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อออกมาในช่วงต้น คือ 2 ปีแรก เป็นช่วงที่สมองจะสร้างโครงข่ายใยประสาทมากที่สุด จึงต้องการ nature หรือสภาวะแวดล้อมในการบ่มเพาะให้เขามีฐานคิดที่ดี เหมาะสม ถูกต้อง เคารพในกฎ กติกามารยามของสังคม และระบบการศึกษาก็ต้องรับช่วงต่ออย่างปราณีต มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบ้านและโรงเรียน ประคับประคองจนถึงประมาณ 20 ปี เพราะสมองส่วนหน้าจะค้องค่อย ๆ พัฒนาร่องรอยหรือวิถีประสาทในพฤติกรรมที่เหมาะสมต่าง ๆ จนอายุ 20 ปี หลังจากอายุ 20 ปีไปแล้วนั้นไม่ว่าจะมีโจทย์ชีวิตใหม่ ๆ วิกฤติชีวิตใหม่ ๆ เขาจะตอบโจทย์และผ่านวิกฤติได้อย่างดี ไม่สร้างปัญหาสังคม และอาจเป็น role model ได้อีกด้วย ดังนั้นต้นทุนชีวิตไม่ต้องการเงินทองมากมายแต่ต้องการร่องรอยสมองที่ดีงดงามมากมายต่างหากค่ะ

ขอบคุณที่เข้ามาติดตามนะคะ

ขอโทษค่ะพิมพ์ผิด หลังคลอดจะเป็น nurture หรือภาวะแวดล้อม เช่น การอบรม เลี้ยงดู อาหาร

อยากให้อาจารย์เหม่งช่วยบอกหน่อยอะคะ ว่า พัฒนาการทางสมองของวัยรุ่น

มีอะไรบ้างคะ ?

อยากทราบเกี่ยวกับ " พัฒนาทางสมอง และความคิดของวัยรุ่น " , " ทิศทางของวัยรุ่น " และ " คนที่มี EQ สูงเป็นอย่างไร หรือ คนที่มี IQ สูงเป็นอย่างไร " เพื่อที่จะได้เอาไปทำรายงาน

ขอบพระคุณล่วงหน้า ^^

อยากรู้เรื่องราวที่เกี่ยวกับ "คนที่มี IQ สูงเป็นอย่าไร" เหมือนกันค่ะ ช่วยๆบอกหน่อยนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท