การดื่มกาแฟ 1 ถ้วย (150 มิลลิลิตร) จะได้รับคาเฟอีนประมาณ 60-150 มิลลิกรัม เพราะฉะนั้นยายกาแฟ คงได้รับคาเฟอีน อย่างต่ำ 450 มิลลิกรัมต่อวัน ( 3 ถ้วย) และอย่างสูง 900 มิลลิกรัมต่อวัน (9 ถ้วย) อะจึ้ย
-
-
-
- ครั้งก่อนหน้านี้ ยายกาแฟเคยนำเอา
บทความที่เรียบเรียงเกี่ยวกับกาแฟกับสุขภาพ มาเล่าสู่กันฟัง
มีเพื่อนสมาชิกท่านหนึ่ง Request มาบอกว่า อุ้ยยย จะรู้ได้ยังไงอ่ะ
เวลาเราดื่มกาแฟว่า มีระดับคาเฟอีนเท่าไหร่เข้าไปแล้ว
ก็จริงอย่างเขาว่า เพราะว่าคนเราไม่ได้มี มิเตอร์บอกปริมาณ
คาเฟอีนซะหน่อยเนอะ ว่าแล้วก็ไปค้นเจอบทความดี ๆ
เกี่ยวกับคาเฟอีนครั้งก่อนนอกจากจะมาเข้าใจเภสัชวิทยาของคาเฟอีนแล้ว
ครั้งนี้ลองมาทำความเข้าใจในอีกแง่หนึ่ง เช่นว่า เอ๊ะ
คาเฟอีนไม่ได้มีแต่ในกาแฟซะหน่อยแล้วมีที่ไหนบ้าง และ เอ๊ะ
ต้องดื่มเท่าไหร่จึงจะพอดี
ต้องทำใจให้เป็นกลางและเลิกเข้าข้างตัวเองแบบผิด
ๆ ก่อนจะเอาบทความนี้มาลง ด้วยนะเนี่ย คิคิ
-
- การบริโภคคาเฟอีนของมนุษย์มีมานานนับพันๆ ปี
ของยายกาแฟเองก็มีมามากกว่า 10 ปี
-
- การดื่มกาแฟ 1 ถ้วย
(150 มิลลิลิตร) จะได้รับคาเฟอีนประมาณ 60-150 มิลลิกรัม ดื่มชา 1
ถ้วย จะได้รับคาเฟอีนประมาณ 40-80 มิลลิกรัม
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการชงและชนิดของกาแฟหรือชา
-
เพราะฉนั้นยายกาแฟ
คงได้รับคาเฟอีน อย่างต่ำ 450 มิลลิกรัมต่อวัน ( 3 ถ้วย) และอย่างสูง
900 มิลลิกรัมต่อวัน (9
ถ้วย) อะจึ้ย คิดแล้วหยดหยอง นี่เราชักจะ Over Dose
เกินไปนะเนี่ย อิอิ
- คนทั่วไปมักคิดว่าแหล่งของการได้รับคาเฟอีนมาจากการดื่มชาหรือกาแฟ
แต่ความจริง "คาเฟอีน" (cafeine) เป็นสารเคมีที่พบในส่วนต่างๆ
ของพืชกว่า 60 ชนิด ได้แก่ เมล็ดกาแฟ ใบชา ผลโกโก้ ผลโคล่า
มาเต้กัวราน่า เป็นต้น พืชเหล่านี้สร้างคาเฟอีนขึ้นสะสมในส่วนต่างๆ
ปริมาณมากน้อยต่างกันตามชนิดและสายพันธุ์
- มารู้จักคาแฟอีน
อีกนิด
- คาเฟอีนเป็นสารเคมีประเภทอัลคาลอยด์สามารถสกัดออกมาจากส่วนของพืชที่มีคาเฟอีนเป็นองค์ประกอบสารที่ได้เป็นผงสีขาว
มีรสขม ละลายน้ำได้
เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดและออกฤทธิ์อย่างรวดเร็วภายใน
15 นาที ออกฤทธิ์ได้นาน 3-4 ชั่วโมง
- คาเฟอีนมีฤทธิ์สำคัญในการกระตุ้นการทำงานของสมอง
ทำให้ระบบประสาทตื่นตัว
และผ่อนคลายกล้ามเนื้อโดยกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า
ลดอาการง่วงนอน และเพิ่มความทนในการออกกำลังกาย
โดยไปชะลอความเมื่อยล้า ทำให้สามารถออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาได้นานขึ้น
จึงเป็นที่นิยมนำมาใช้ในการผลิตเครื่องดื่ม เช่น กาแฟ ชา โกโก้
น้ำอัดลมประเภทโคล่าและเครื่องดื่มชูกำลังชนิดต่างๆ
- ปัจจุบันมีการนำสารคาเฟอีนสังเคราะห์
ซึ่งเป็นสารเคมีที่มีสังเคราะห์ขึ้นตามกระบวนการทางเคมี
มาใช้ในการผลิตเครื่องดื่มผสมกาเฟอีนหลายประเภท เช่น
เครื่องดื่มชูกำลัง น้ำอัดลม กาแฟหรือชาพร้อมดื่มบรรจุกระป๋องหรือขวด
เพื่อคงปริมาณคาเฟอีนให้อยู่ในระดับที่มีผลต่อการออกฤทธิ์
หรือลดต้นทุนการผลิต
โดยลดปริมาณวัตถุดิบจากธรรมชาติแต่ผสมการคาเฟอีนสังเคราะห์ลงไปแทน
- การดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้วันละหลายขวดหรือหลายกระป๋องอาจทำให้ร่างกายได้รับคาเฟอีนปริมาณมาก
ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ กระทรวงสาธารณสุข
จึงได้กำหนดให้เครื่องดื่มผสมกาเฟอีนมีคาเฟอีนเป็นส่วนผสมได้ไม่เกิน
50 มิลลิกรัมต่อหน่วยบรรจุ
- คาเฟอีนในอาหาร
- นอกจากเครื่องดื่มแล้วยังได้รับคาเฟอีนจากอาหารอื่น
เช่น ช็อกโกแลต ขนมที่มีส่วนประกอบของช็อกโกแลตหรือกาแฟ เช่น ลูกอม
เค้ก ขนมขบเคี้ยว สอดไส้ต่างๆ
ซึ่งเป็นที่นิยมของเด็กทั่วไป
- คนมีโอกาสได้รับคาเฟอีนจากอาหารและเครื่องดื่มหลายชนิด
(ตาราง 1) ในปริมาณมากน้อยต่างกันขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของแต่ละบุคคล
เด็กนิยมดื่มน้ำอัดลมและกินช็อกโกแลต วัยรุ่นนิยมดื่มน้ำอัดลม ชาเขียว
กาแฟกระป๋อง ผู้ใหญ่วัยทำงานนิยมดื่มชา กาแฟ
ผู้ใช้แรงงานและนักกีฬานิยมดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง
- ชนชาติที่ดื่มชากาแฟเป็นประจำในชีวิตประจำวัน เช่น
คนยุโรปมีการบริโภคคาเฟอีนสูงถึงวันละ 300-400 มิลลิกรัม
จากการสำรวจพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มผสมกาเฟอีนของ รศ.นพ.ยงยุทธ
ขจรธรรม ในปี 2543 พบว่าคนไทยประมาณ 17.3 ล้านคน
ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนทุกวัน และการศึกษาของ รศ.ดร.ทรงศักดิ์
ศรีอนุชาต
พบว่าในกลุ่มคนไทยที่ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนทุกวันจะได้รับคาเฟอีน
200-250 มิลลิกรัมต่อวัน คนกรุงเทพฯ
และภาคกลางนิยมดื่มเครื่องดื่มผสมคาเฟอีนมากกว่าภาคอื่น
- ปัจจุบันกระแสการบริโภคกาแฟ
ชาเขียว น้ำอัดลม และเครื่องดื่มชูกำลัง
กำลังเป็นที่นิยมในหมู่ผู้บริโภคมากขึ้น ดังนั้น
การบริโภคคาเฟอีนในคนไทยน่าจะมีแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้น ตาม ๆ
กันไปด้วย
- การได้รับคาเฟอีนในปริมาณน้อยร่างกายจะมีกลไกกำจัดออกภายใน
24 ชั่วโมง แต่ทารกจะขจัดกาเฟอีนได้ช้ามาก รวมถึงผู้ป่วยโรคตับ
และผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้ตับกำจัดคาเฟอีนได้น้อยลง
คนกลุ่มนี้จึงควรงดบริโภค เครื่องดื่ม ที่มีคาเฟอีน
การได้รับคาเฟอีนไม่มากในคนปกติที่มีสุขภาพดีจะไม่เกิดอันตรายต่อร่างกาย
-
- มีการศึกษาพบว่าการได้รับคาเฟอีนวันละไม่เกิน 300
มิลลิกรัม (เท่ากับกาแฟ 150 มิลลิลิตร 2-3 ถ้วย หรือน้ำอัดลม 6-8
กระป๋อง) ไม่ก่อให้เกิดผลเสียร้ายแรงต่อสุขภาพ แต่ถ้าบริโภคเกิน 300
มิลลิกรัมเป็นประจำ อาจเกิดอาการปวดศีรษะ อ่อนเพลีย กระวนกระวายใจ
และหงุดหงิดเมื่อหยุดบริโภค
- คาเฟอีนไม่จัดเป็นสารเสพติด
ผู้บริโภคอาจติดคาเฟอีนในลักษณะการบริโภคจนเป็นนิสัย เช่น
ที่นิยมดื่มชากาแฟหลังอาหารเป็นประจำทุกวัน
แต่สามารถหยุดได้โดยไม่มีผลกระทบต่อร่างกาย
- คาเฟอีนกับสุขภาพ
- ปัจจุบันยังไม่มีการกำหนดขนาดการบริโภคที่ปลอดภัย
แต่มีการศึกษาพบว่าอาการส่วนใหญ่ที่มักเกิดขึ้นหลังบริโภคคาเฟอีน
200-500 มิลลิกรัม (เท่ากับกาแฟ 2-5 ถ้วย) คือ นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ
เครียด แต่ถ้าบริโภคในปริมาณสูงเกิน 600 มิลลิกรัม (เท่ากับกาแฟ 6-8
ถ้วย) เป็นเวลานาน จะทำให้เกิดอาการกระวนกระวาย วิตกกังวล หงุดหงิด
มือสั่น ตัวร้อน นอนไม่หลับ ปัสสาวะบ่อย กล้ามเนื้อกระตุก
หัวใจเต้นแรงและเร็ว
- ถ้าบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีคาแฟอีนสูงถึง
1,000 มิลลิกรัม (เท่ากับกาแฟ 10-15 ถ้วย) จะทำให้เกิดพิษรุนแรง
มีอาการกระสับกระส่าย หายใจเร็ว คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องแบบตะคริว
หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น ความดันเลือดสูง กล้ามเนื้อเกร็ง
ชัก
- ขนาดที่ทำให้เสียชีวิต
คือคาเฟอีนมากกว่า 5,000-10,000 มิลลิกรัมในผู้ใหญ่ (เท่ากับกาแฟ
50-100 ถ้วย) ในเด็กประมาณ 100 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
โดยต้องได้รับจากการบริโภคในครั้งเดียว
ซึ่งเป็นปริมาณที่คนโดยทั่วไปไม่สามารถได้รับจากการดื่ม
เครื่องดื่มหรือบริโภคอาหารตามปกติ
มักพบในผู้ตั้งใจฆ่าตัวตายโดยการกินหรือฉีดยาที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนในปริมาณมาก
- ปริมาณกาเฟอีนและเครื่องดื่มต่างๆ
ประเภทอาหาร |
ปริมาณคาเฟอีน
(มิลลิกรัมต่อหน่วยบริโภค หรือขนาดบรรจุ) |
ข้อมูลการวิเคราะห์ของ
สถาบันวิจัยโภชนาการ |
ข้อมูลของประเทศ
สหรัฐอเมริกา |
กาแฟคั่วบด |
|
64-124 มก. ต่อ 150 มล. |
กาแฟผงสำเร็จรูป |
22-87 มก. ต่อ 2 กรัม |
40-180 มก. ต่อ 150 มล. |
กาแฟผงสำเร็จรูปสกัดกาเฟอีน |
0.5-2 มก. ต่อ 2 กรัม |
2-5 มก. ต่อ 150 |
กาแฟดำพร้อมดื่ม (กระป๋อง) |
94-131 มก. ต่อ 180 มล. |
|
กาแฟผสมนมพร้อมดื่ม (กระป๋อง) |
47-167 มก. ต่อ 180 มล. |
|
ใบชาชง/ชาชนิดซอง |
30-80 มก. ต่อ 2 กรัม |
28-48 มก. ต่อ 150 มล. |
ชาผงสำเร็จรูป |
18-26 มก.ต่อ 0.7 กรัม |
12-28 มก. ต่อ 150 มล. |
ชาสำเร็จรูปพร้อมดื่ม |
16-158 มก. ต่อ 250 มล. |
|
ชาเขียวพร้อมดื่ม |
21-51 มก. ต่อ 250 มล. |
|
เครื่องดื่มประเภทโคล่า |
29-65 มก. ต่อ 325 มล. |
38-46 มก. ต่อ 355 มล. |
เครื่องดื่มผสมกาเฟอีน |
40-78 มก. ต่อ 150 มล. |
15-48 มก. ต่อ 150 มล. |
เครื่องดื่มโกโก้ร้อน |
5-30 มก. ต่อ 180 มล. |
|
ผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลต |
3-10 มก. ต่อ 50 กรัม |
3-50 มก. ต่อ 60 กรัม |
คุกกี้ผสมช็อกโกแลต |
1-15 มก. ต่อ 50 กรัม |
|
ผลิตภัณฑ์เวเฟอร์ |
4-15 มก. ต่อ 50 กรัม |
|
ผลิตภัณฑ์ไอศกรีม |
0.5-20 มก. ต่อ 1 ถ้วย (55 กรัม) |
8-85 มก. ต่อ 1 ถ้วย |
ผลิตภัณฑ์ลูกอม |
0-46 มก. ต่อ 50 กรัม |
2.5-10 มก. ต่อ 50 กรัม |
ผลิตภัณฑ์อาหารเช้า (cereal) |
1-7 มก. ต่อ 50 กรัม |
|
-
หมายเหตุ มก. = ตัวย่อของหน่วยบอกน้ำหนัก คือ
มิลลิกรัม มล. = ตัวย่อของหน่วยบอกปริมาตร คือ มิลลิลิตร.
- ผลเสียสำคัญของคาเฟอีนคือ
ทำให้นอนหลับยาก ซึ่งเกิดจากฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของสมอง
ทำให้เกิดการตื่นตัว ไม่ง่วงนอน
โดยขึ้นอยู่กับความไวของแต่ละบุคคลต่อการออกฤทธิ์ของคาเฟอีน
จึงไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนใกล้เวลานอน
โดยเฉพาะเด็ก
พบว่าการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในปริมาณมากเกินไปอย่างต่อเนื่อง
อาจส่งผลให้เกิดการกระตุ้นสมองของเด็ก ทำให้นอนไม่หลับ สะดุ้งตื่นง่าย
กระสนกระวาย หงุดหงิดง่าย
การนอนหลับไม่เพียงพอย่อมส่งผลต่อพัฒนาสมรรถภาพทางสติปัญญาและร่างกายได้
- สำหรับผลเสียต่อการตั้งครรภ์นั้นการวิจัยส่วนใหญ่ยังไม่สามารถชี้ถึงผลเสียด้านนี้ได้ชัดเจน
พบว่าการได้รับคาเฟอีนวันละไม่เกิน 300 มิลลิกรัม
ระหว่างตั้งครรภ์ไม่มีผลต่อขนาดทารก
แต่มีการศึกษาจำนวนหนึ่งพบว่าการได้รับคาเฟอีนมากกว่า 150
มิลลิกรัมต่อวัน
ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการแท้งบุตรในบางช่วงของการตั้งครรภ์
ดังนั้น
สตรีมีครรภ์และมารดาที่ให้นมบุตรควรบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนแต่น้อย
ถ้างดได้ควรงดเพราะทารกจะได้รับคาเฟอีนจากแม่
ซึ่งจะมีผลเสียต่ออวัยวะต่างๆ ของทารกได้
- เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 10 ขวบ
ไม่ควรดื่มกาแฟ ในผู้ใหญ่เองก็ไม่ควรดื่มเกินวันละ 3 ถ้วย
อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้เกิดโรคและอาการต่างๆ ได้
เช่น อาการวิตกกังวล หลอดเลือดหดตัว ความดันเลือดสูง ไตทำงานหนักขึ้น
เร่งการสูญเสียแคลเซียมจากกระดูกนำไปสู่การเพิ่มปัญหาโรคกระดูกพรุน
ดังนั้น สตรีที่อายุมากจึงไม่ควรดื่มกาแฟเกินวันละ 2-3 ถ้วย นอกจากนี้
คาเฟอีนยังมีผลเร่งการหลั่งกรดในกระเพาะ
- สำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะ หัวใจ ตับ
ความดันเลือดสูง และผู้ที่ไวต่อการได้รับคาเฟอีน
ควรงดดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
- เอ้า ไปละเหวย
ไปละวา คอกาแฟ อย่าเฉยอ่านแล้วก็ปฏิบัติเลย นะค้า อิอิ
ด้วยความปรารถนาดีจากคอกาแฟ ปางมะผ้า
ที่มาข้อมูลดี ๆ : [ นิตยสารหมอชาวบ้านปีที่ 28 ฉบับที่ 325 พฤษภาคม 2549]
โดย คาเฟอีนในอาหารและเครื่องดื่ม โดย ผศ.ดร.เวณิกา เบญจพงษ์