ดอกมะลิ...เบ่งบานในใจเราเสมอ
โรงพยาบาลนาหม่อม จังหวัดสงขลา
โดย.... แพทย์หญิงสุธาทิพย์ ธรรมชาติ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล
และคณะทีมงานโรงพยาบาลนาหม่อม
หญิงไทยคู่วัย 42 ปี ประวัติเป็นโรคเบาหวานมาประมาณ 3 ปี เธอมีนามว่า มะลิ ได้รับการวินิจฉัยและรักษาที่โรงพยาบาลนาหม่อมและไปรักษาต่อที่สถานีอนามัย แต่รักษาและรับยาไม่ต่อเนื่อง ไม่สม่ำเสมอ สุดท้ายในเดือนมกราคม ปี 2550 มะลิต้องมาโรงพยาบาลด้วยอาการแขนขาข้างซ้ายอ่อนแรง หายใจเหนื่อยหอบ จุกแน่นลิ้นปี่ ปรากฏว่าน้ำตาลในเลือดสูงมากๆ จึงรับมะลิรักษาเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาลนาหม่อม เพื่อปรับน้ำตาลและรักษาอาการดังกล่าว แพทย์วินิจฉัยเป็นโรค Diabetic Keto Acidosis ( DKA ) ต่อมามีอาการช็อก และหมดสติ ต้องใส่ท่อช่วยหายใจส่งต่อโรงพยาบาลศูนย์ นอนรักษาที่โรงพยาบาลศูนย์เป็นเวลา 1 เดือน แล้วส่งตัวผู้ป่วยมารักษาต่อที่โรงพยาบาลนาหม่อม เนื่องด้วยทางโรงพยาบาลศูนย์ บอกว่าอาการผู้ป่วยดีขึ้น และไม่เกิดแผลกดทับใดๆ
แรกรับมะลิกลับมาที่โรงพยาบาลนาหม่อม แขนขาข้างซ้ายอ่อนแรง เจาะคอใส่ท่อช่วยหายใจ ช่วยเหลือตัวเองได้น้อยมาก มีแผลติดเชื้อที่รอบๆอวัยวะเพศ มีอุจจาระออกทางช่องคลอด มีภาวะซีด ร่างกายผ่ายผอม ทีมแพทย์พยาบาลโทรปรึกษาแพทย์โรงพยาบาลศูนย์เรื่องถ่ายอุจจาระทางช่องคลอด แพทย์ทางโรงพยาบาลศูนย์ไม่ได้ทำอะไรต่อ เพียงให้ทำความสะอาดสม่ำเสมอและให้ระวังเรื่องการติดเชื้อ ทีมแพทย์พยาบาลโรงพยาบาลนาหม่อมต้องมานั่งคิดร่วมกันว่าจะดูแลอย่างไร ทุกคนก็ลงความเห็นว่ายังไงๆต้องทำให้ผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองให้ได้แม้ใช้เวลานานเท่าไรก็ตาม เรามีความสามารถในการดูแลแผลที่ถือว่ายอดเยี่ยมทำให้ผู้ป่วยหลายคนหายมาแล้วแม้แผลจะเป็นมากขนาดคิดว่าจะต้องตัดขา ตัดนิ้ว ยังหายได้โดยไม่ต้องสูญเสียอวัยวะเลย พวกเราจึงมั่นใจว่าทำได้แม้จะมีสีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ซึ่งในช่วง 2-3 วันแรกที่มะลิกลับมานอนที่โรงพยาบาลนาหม่อม มะลินอนร้องไห้ตลอด จะพูดก็พูดไม่ได้ จะเขียนก็เขียนหนังสือไม่เป็น มีภาวะซึมเศร้า เวลาแพทย์ พยาบาลมาดูแลจะร้องให้ตลอด บางครั้งไม่ยอมให้ความร่วมมือใดๆ จึงปรึกษาพยาบาลจิตเวช เมื่อพยาบาลจิตเวชผู้ที่มีร่างอวบแบบอบอุ่นมาดูแลมะลิ พยาบาลจิตเวชไม่ได้พูดอะไรกับมะลิเลย แค่นั่งนิ่งๆ พูดเพียงเล็กน้อยและจับมือมะลิทั้ง 2 ข้างมากุมนิ่งๆอยู่สักพักใหญ่ๆ ทำเช่นนี้ทุกวันเป็นเวลาประมาณ 4-5 วัน เราเรียกว่ามีการถ่ายทอดพลังกายทิพย์ ทำให้มะลิรู้สึกดีขึ้นอย่างประหลาดจนในที คนอื่นๆที่เฝ้าดูก็รู้สึกทึ่งมาก หลังจากนั้นเป็นต้นมามะลิก็ให้ความร่วมมือในการรักษา ยังร้องไห้อยู่บ้างแต่น้อยลง มะลิพยายามสื่อสารว่ากลัวตัวเองไม่หาย กลัวตัวเองพูดไม่ได้ กลัวเดินไม่ได้ สามีก็ไม่ค่อยได้มาดูแลเพราะต้องทำงานรับจ้างหาเงินมาใช้จ่าย
มะลิมีเพียงลูกชายคนเดียวอายุเพียง 10 ปี ชื่อน้องสมบูรณ์ ที่ไม่ได้ไปโรงเรียนเพราะเป็นห่วงแม่ คอยซักถามแพทย์และพยาบาลตลอดว่าแม่เป็นอย่างไรบ้าง ทำอย่างไรแม่จะหาย เราเห็นเป็นเด็กที่ฉลาดและกตัญญู พยายามที่จะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ว่า “ ช่วงนี้แม่ไม่สบาย ยังเดินไม่สะดวก ยังพูดไม่ได้ แต่ไม่เป็นไร แม่ของหนูต้องดีขึ้น ถ้าแม่ทำตามที่หมอและพยาบาลบอก แต่ให้หนูมาเป็นกำลังใจให้แม่ด้วยนะ” ดังนั้นทุกครั้ง ที่พยาบาลสอนมะลิหรือให้การรักษาบางครั้งมะลิจะไม่ยอมบ้าง แต่ลูกจะช่วยคอยบอกแม่ว่า "แม่ทำตามพยาบาลเถอะ แล้วแม่จะได้หายเร็วๆ ได้กลับบ้าน"
จนกระทั่งมะลิมีกำลังใจเพิ่มขึ้น น้องสมบูรณ์ยังไปช่วยรับจ้างล้างจานเพื่อหาเงินมาช่วยครอบครัว เป็นการพยายามโดยตัวของน้องสมบูรณ์เอง ไม่ได้มีใครบอกให้ทำ สมบูรณ์ก็จะคอยมาดูแล ป้วนเปี้ยนใกล้ๆเตียงแม่ตลอดเวลา เป็นภาพที่เราเห็นแล้วซึ้งใจ แม้ผู้ป่วยและญาติเตียงข้างเคียงยังอดสงสารไม่ได้ ส่วนเรื่องที่มีอุจจาระออกทางช่องคลอด ทีมแพทย์และพยาบาลคิดว่าควรทำการเย็บบริเวณช่องคลอด เมื่อเห็นพ้องต้องกันจึงนำมะลิเข้าห้องผ่าตัดเย็บปิดช่องคลอด และทำความสะอาดทางช่องคลอด ผลที่น่าพอใจคือไม่มีการติดเชื้อใดๆในช่องคลอดเลย นับเป็นผลงานที่ทำให้เราภูมิใจและมั่นใจในการดูแล
พยาบาลเข้าใจปัญหามะลิอย่างลึกซึ้งและเริ่มศึกษาปัญหาและวางแผนการรักษามะลิอย่างจริงจังด้วยกันทั้งแพทย์ พยาบาล เริ่มวางแผนดูแลเรื่องการสื่อสารเป็นอับดับ 1 ที่มะลิกลัวว่าพูดไม่ได้ พยาบาลได้ฝึกมะลิโดยให้มะลิหายใจทางจมูกแล้วใช้ผ้าก๊อสมาปิดที่ท่อเจาะคอ ฝึกให้เปล่งเสียง พยาบาลจะมาทำให้วันละ 1 ชั่วโมง พูดคุยให้กำลังใจตลอด แม้ไม่ได้รับการพูดกลับมาจากมะลิก็ตาม พยาบาลก็จะพูดคนเดียวให้มะลิฟังทุกๆวัน อย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่าย แล้วเพิ่มเวลามากขึ้นทุกๆวัน จากวันละครั้ง เป็นวันละ 2 ครั้ง จนเป็นวันละหลายครั้ง จนกระทั่งมีเสียงออกจากคอและปากบ้าง มะลิดีใจจนร้องให้ ทำให้เราผู้ดูแลน้ำตาซึมไปด้วย น้ำตาแต่ละครั้งเริ่มเปลี่ยนจากน้ำตาแห่งความซึมเศร้า หมดอาลัยในชีวิต เป็นน้ำตาจากความดีใจและภาคภูมิใจ
เราก็จะพูดให้สามีเข้าใจปัญหาของมะลิ และเริ่มหาเวลามาดูแลช่วงก่อนไปทำงาน โดยสามีจะมาประมาณ 06.00 น. ของทุกวัน และหลังเลิกงานประมาณ 18.00 น. ของทุกวัน อยู่มาวันหนึ่งในเวรดึก มะลิก็ดึงท่อที่เจาะคอเอง พวกเราตกใจ และพยาบาลเองเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดว่าจะเกิดอาการอะไรหรือเปล่า มะลิสามารถหายใจเองได้ เมื่อมั่นใจว่าไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน เราก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและยินดี และแล้วมะลิก็พูดได้แม้จะช้าบ้างก็ตาม ทั้งมะลิและสามีพร้อมกับลูกดีใจมากๆ เราได้เห็นรอยยิ้มแห่งความอบอุ่นและแววตาที่บอกเราว่าขอบคุณ จนเราอดคิดไม่ได้ว่าแม้เพียงรอยยิ้มกับแววตาที่สื่อมา สามารถบอกอะไรแทนคำพูดได้ดีจริงๆ
ต่อมามีคำถามในทีมตลอดว่า “ทำไมน้ำตาลในเลือดของมะลิสูงอยู่อีก ทั้งๆที่เราพยายามให้ยา ควบคุมอาหาร” จนเราสืบค้นได้ว่าเตียงข้างๆทั้งผู้ป่วยและญาติ สงสารพยายามให้อาหารบ้าง ขนมบ้าง ระหว่างมื้อ ทำให้เราต้องบอกผู้ป่วย และญาติเตียงข้างเคียงว่าไม่ให้ขนมและอาหารกับมะลิระหว่างมื้อโดยเฉพาะของหวาน เพราะเราพยายามควบคุมอาหารให้มะลิ ไม่เช่นนั้นมะลิก็จะไม่หาย อาจเป็นมากกว่าเดิม และญาติเตียงข้างเคียงมาไม่ซ้ำกันทำให้บางคนไม่เข้าใจ ยังให้ขนมมะลิอีก มะลิก็กินทุกครั้ง จนพยาบาลต้องเขียนป้ายว่า ห้ามให้อาหารหรือของกิน เนื่องจากผู้ป่วยต้องควบคุมอาหาร ได้ผลทุกคนเข้าใจและเราสังเกต น้ำตาลมะลิจะสูงมากช่วงบ่ายและเย็น ทำให้แพทย์ต้องปรึกษาเภสัชกรขอปรับยาเบาหวานที่กินมื้อเช้ามาเป็นมื้อเที่ยงแทนซึ่งได้ผลชัดเจน และควบคุมน้ำตาลได้
“มะลิผึกเดินด้วยกะลานวดเท้า...ที่คลินิกแพทย์แผนไทย”
เรื่องต่อมาที่เราต้องดูแลและใช้ความพยายามและอดทนอย่างมาก คือต้องฝึกให้มะลิมีกำลังกล้ามเนื้อที่ดูจะลีบเอามากๆ ทั้งที่โรงพยาบาลนาหม่อมเป็นโรงพยาบาลชุมชนเล็กๆ เราไม่มีเจ้าหน้าที่กายภาพบำบัด แต่เราพร้อมสวมวิญาณเป็นนักกายภาพบำบัดแบบมือสมัครเล่น โดยเราคิดว่าจะให้มะลิพยายามตักอาหารเข้าปากตัวเองให้ได้ พยาบาลหัวหน้าตึกก็ไปซื้อลูกบอลแบบยางมาให้มะลิฝึกกำและคลายทุกวันวันละหลายครั้งครั้งละ 15 นาที และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ฝึกส่งลูกบอลยางสลับมือกันบ้าง เรารอคอยอย่างมีความหวัง เพราะทั้งสามีและลูกก็ช่วยกันฝึกให้มะลิอย่างต่อเนื่อง และวันหนึ่งมะลิก็พยายามที่จะใช้มือตักอาหารได้บ้าง 2-3 คำ แม้ยังสั่นอยู่มาก เราก็ให้กำลังใจว่า “มะลิมีความพยายามพูดก็พูดได้แล้ว ส่วนเรื่องตักอาหารเราเชื่อว่ามะลิต้องทำได้ ดูสิ ทั้งสามีและลูกคอยลุ้นอยู่นะ” ต่อมาเราก็พยายามทำถุงทรายถุงละครึ่งกิโล 2 ถุง โดยเอาเชือกมาผูก แล้วให้มะลิถือเชือกยกขึ้นลงทุกวัน จนกระทั่งมะลิสามารถตักอาหารเองได้หมดถาดทุกวัน ต่อมาเราก็ฝึกให้มะลิลุกนั่งโดยการประคอง ต่อมาสอนวิธีให้มะลิสามารถลุกเองได้แม้จะไม่มั่นคง โดยเราก็คอยประคองและให้กำลังใจ สอนวิธีการปฏิบัติทุกๆวัน และภาพที่เราเห็นทุกครั้งที่มาดูแลมะลิ มะลิจะยกมือไหว้ สวัสดีและขอบคุณพวกเราทุกครั้ง บางครั้งวันละ 5-6 รอบ จนบางครั้งเราก็ยิ้มๆขำๆไปด้วย ก็มันทำให้เราชื่นใจไปด้วย คงพยายามโชว์เสียงที่พูดได้ชัดเจนแล
เรื่องที่คิดว่าหนักที่สุดคือการฝึกเดินเราก็นำถุงทราย 1 กิโลมาผูกเชือกแล้วให้มะลิใช้เท้าและขายกเชือกที่ผูกถุงทรายขึ้นลงทุกวันๆ ขณะนี้มะลิก็เป็นมะลิที่ใครๆก็รู้จักกันไปทั่วในทีมผู้รักษา ขั้นต่อมาเราประคองให้มะลินั่งรถเข็นไปชมสวนนอกตึกบ้าง ต่อมาให้สามีและลูกจะมาช่วยพยุง มารับมะลินั่งรถเข็นออกไปดูทิวทัศน์นอกตึกผู้ป่วยในบ้าง ช่วงเวลานี้เราไม่เห็นความเศร้าหมองของมะลิอีกเลย เราเห็นแต่รอยยิ้มและเสียงทักทาย และภาพที่เราเห็นจนติดตา คือภาพที่สามีและลูกชายช่วยกันเข็นรถเข็นให้มะลิออกมาชมทิวทัศน์ทุกเย็นหลัง 6 โมงเย็นและทุกเช้าเวลาประมาณ 06.00 น. แล้วสามีต้องไปทำงานรับจ้างที่โรงงาน ส่วนลูกต้องไปเรียน จะเป็นอย่างนี้ไปทุกๆวัน จนเราเห็นภาพครอบครัวที่อิ่มอุ่น แม้ลำบากเท่าใดก็ต่อสู้และดูแลไม่ทอดทิ้ง มีกำลังใจที่ดีให้กันและกัน สามีและลูกดูแลมะลิอย่างดีเยี่ยมอย่างที่เราฝึกและให้ความรู้ความเข้าใจ จนเราต้องชมจากใจจริง เป็นครอบครัวที่น่าประทับใจมากๆ
เรามักจะพูดกันในทีมว่าแม้มะลิจะโชคร้ายที่เป็นแบบนี้แต่มะลิโชคดีที่มีครอบครัวที่อบอุ่น มีสามีที่ดีและลูกชายที่น่ารัก เมื่อมาถึงเวลาที่มะลิต้องเริ่มฝึกเดินและทรงตัว เมื่อเราเตรียมความพร้อมของกล้ามเนื้อขาและแขนมาพอสมควร โดยเริ่มฝึกยืนเองโดยมีคนประคองและให้เกาะยึด มีคนช่วยประคอง 2 คน จนกระทั่งมีคนประคองเพียง 1 คน มะลิก็สามารถทรงตัวได้ และสามารถนั่งบริหารกล้ามเนื้อขาได้มั่นคงขึ้น ถึงบทเรียนที่หนักคือพยายามก้าวขาเดิน เราก็ลุ้นกันตัวโก่งเหมือนฝึกหัดเด็กที่เพิ่งตั้งไข่และฝึกเดิน จนกระทั่งสามารถใช้ Walker ได้เองโดยมีพวกเราคอยเดินเคียงข้างระวังหลังหากเกิดอาการเซหรือป้องกันการล้ม ระหว่างนั้นเราก็พามะลิมาลองเดินกะลา “ กะลานวดเท้า ” ซึ่งเป็นนวัตกรรมชิ้นโบว์แดงของงานแพทย์แผนไทย สามารถนวดฝ่าเท้าคลายกล้ามเนื้อที่เกร็งหรือมีอาการชาได้ ทุกวันเราก็จะเห็นสามีประคองมะลิเดินกะลานวดเท้าทุกเช้าและเย็น ก่อนและหลังทำงาน เวลากลางวันพยาบาลก็พามาเดินไปมาบ้าง เดินกะลาบ้าง ประมาณ 1 เดือน นับวันความสัมพันธ์ครอบครัวมะลิและทีมดูแลกระชับมากขึ้น มะลิมักจะเรียกทีมที่มาร่วมดูแลว่า “คุณครู” พอเจอหน้าใครที่เป็นทีมการดูแลรักษาพยาบาล มะลิจะทักทายว่า “สวัสดีค่ะ คุณครู” พวกเราก็มักจะบอกว่า “คุณหมอกับพยาบาล ไม่ใช่คุณครู” แม้จะบอกซักกี่ครั้ง มะลิก็ยังเรียกพวกเราว่า คุณครู ทุกครั้งไป จนพวกเราในทีมกลายเป็น “คุณครู ” ของมะลิไปทุกคน
และแล้ววันที่มะลิต้องคืนสู่เหย้า ทีมแพทย์ พยาบาลในหอผู้ป่วยและพยาบาลแพทย์แผนไทยที่ดูแลเรื่อง Home Health Care ( HHC ) วางแผนการจำหน่าย ก่อนจำหน่ายเป็นธรรมเนียมที่ผู้ป่วยที่นอนโรงพยาบาลนานๆหรือมีภาวะแทรกซ้อนหรือผู้ที่ต้องได้รับการดูแลที่ดีเป็นพิเศษ เราทั้งทีมไปเยี่ยมบ้านก่อนจำหน่ายผู้ป่วย เพื่อเตรียมความพร้อมในการต้อนรับสมาชิกที่จะกลับมาใช้ชีวิตที่บ้านอย่างเหมาะสมที่สุด บ้านของมะลิเป็นบ้านลักษณะคล้ายกระท่อมหลังเล็กๆยกพื้น ฝาบ้านทำจากไม้ไผ่ หลังคามุงจาก มีบันไดขึ้นบ้าน 4 ขั้น ภายในบ้านแบ่งเป็น 2 ฟาก ส่วนหนึ่งเป็นที่นอนและเก็บเสื้อผ้า อีกส่วนเป็นครัวเล็กๆสำหรับทำกับข้าว อยู่ด้วยกัน 3 คน มะลิ สามีและลูกชาย ห้องน้ำห้องส้วมอยู่ห่างจากบ้านประมาณ 100 เมตร รอบๆบ้านมีหญ้าขึ้นค่อนข้างรก จนกระทั่งพนักงานขับรถพูดว่า “พี่ๆเรามาช่วยกันตัดหญ้า ให้มะลิหน่อยดีมั๊ย บ้านจะได้น่าอยู่มากขึ้น” เราเองฟังแล้วรู้สึกชื่นใจที่น้องมีความคิดที่ดีที่อยากจะช่วย แต่เราก็ได้พูดคุยกับสามีมะลิ ให้ช่วยกันจัดสภาพบ้านให้สะอาดและเป็นระเบียบมากขึ้น พร้อมทั้งการตัดหญ้าดูแลสิ่งแวดล้อมรอบบ้าน ซึ่งสามีมะลิก็รับปากกับทีมเราจะจัดสิ่งแวดล้อมตามที่แนะนำ อีก 2 วัน มะลิก็ได้จำหน่ายกลับบ้านด้วยสีหน้าแววตาสดชื่น พร้อมหน้าพร้อมตาครอบครัว บอกลา "คุณครู" ทุกคน พวกเราก็ไปส่งถึงบ้านเลยทีเดียว ก่อนกลับก็ร่ำลากันอยู่นาน
เรื่องนี้ประทับใจมากค่ะอาจารย์คะ
คุณ sasinanda ครับ
เห็นด้วย 100% ครับผม ที่ยิ่งดีไปกว่านั้นก็คือ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่นานๆทีมีหน สืบหาดู มองหาดูให้ดี มันเกิดขึ้นรอบๆตัวเราเกือบตลอดเวลาเหมือนกัน
สวัสดีครับอาจารย์
ทำให้ได้เรียนรู้เรื่องราวที่ละเอียดมากขึ้น...
จริงๆแล้วเวลาดูคนไข้เราก็มีกรณีแบบนี้มากมายครับ...
บางครั้งจินตนาการได้แต่ยังไม่สามารถทำได้ อาจจะเพราะสักยภาพภายในของเราเองที่ไม่พร้อม หรือทีม...
แต่พออ่านเรื่องเล่าอาจารย์แล้วทำให้เกิดความมุ่งมั่นมากขึ้นครับ..
ว่าน่าจะเริ่มสักกรณี..อย่างน้อย เป็นการเริ่มต้น..
คุณหมอสุพัฒน์ครับ
เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับ เรามี resource ที่จะช่วย charge พลังงานของเรามากมายเต็มไปหมด เพียงแต่บางทีเรานั่งบนรถด่วน ก็เลยปล่อยให้ทิวทัศน์ ประสบการณ์ อันงดงามผ่านสายตาไปเฉยๆอย่าน่าเสียดายครับ
เรามาเก็บเกี่ยวสิ่งที่เราพึงได้กันเถอะนะครับ
ขอบคุณที่เอามาเล่าให้ฟังครับ
อ่านแล้วมีความสุขจริงๆ
ยินดีครับ อ.แป๊ะ
เรื่องของ อ.แป๊ะอีกมากมาย ก็น่าสนใจมากครับ เป็นเรื่องเล่าเร้าพลังทั้งสิ้น
อยากให้เล่าความดีงามของ ผอ. สุธาทิพย์จังเลยค่ะ
เป็นคนนึงที่มีโอกาสได้รู้จักคุณหมอเก๋เนื่องจากได้ทำกิจกรรมร่วมกัน บอกได้ว่าหมอเป็นคนดี และมีความมุ่งในการทำงานเพื่อการพัฒนาจริง ๆ