เรื่องเล่า เร้าพลัง: ดอกมะลิบานที่ รพ.นาหม่อม (3)


เรื่องเล่า เร้าพลัง: ดอกมะลิบาน ที่รพ.นาหม่อม (3) 

ดอกมะลิ...เบ่งบานในใจเราเสมอ

โรงพยาบาลนาหม่อม  จังหวัดสงขลา

                               โดย....       แพทย์หญิงสุธาทิพย์  ธรรมชาติ   ผู้อำนวยการโรงพยาบาล

                                                                                                                       และคณะทีมงานโรงพยาบาลนาหม่อม                                                                                                                                                                                                                         

                  หญิงไทยคู่วัย 42 ปี ประวัติเป็นโรคเบาหวานมาประมาณ  3 ปี เธอมีนามว่า มะลิ  ได้รับการวินิจฉัยและรักษาที่โรงพยาบาลนาหม่อมและไปรักษาต่อที่สถานีอนามัย แต่รักษาและรับยาไม่ต่อเนื่อง ไม่สม่ำเสมอ  สุดท้ายในเดือนมกราคม ปี 2550  มะลิต้องมาโรงพยาบาลด้วยอาการแขนขาข้างซ้ายอ่อนแรง  หายใจเหนื่อยหอบ  จุกแน่นลิ้นปี่ ปรากฏว่าน้ำตาลในเลือดสูงมากๆ  จึงรับมะลิรักษาเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาลนาหม่อม   เพื่อปรับน้ำตาลและรักษาอาการดังกล่าว  แพทย์วินิจฉัยเป็นโรค  Diabetic Keto Acidosis  ( DKA )  ต่อมามีอาการช็อก  และหมดสติ  ต้องใส่ท่อช่วยหายใจส่งต่อโรงพยาบาลศูนย์   นอนรักษาที่โรงพยาบาลศูนย์เป็นเวลา 1 เดือน  แล้วส่งตัวผู้ป่วยมารักษาต่อที่โรงพยาบาลนาหม่อม  เนื่องด้วยทางโรงพยาบาลศูนย์  บอกว่าอาการผู้ป่วยดีขึ้น  และไม่เกิดแผลกดทับใดๆ

แรกรับมะลิกลับมาที่โรงพยาบาลนาหม่อม  แขนขาข้างซ้ายอ่อนแรง  เจาะคอใส่ท่อช่วยหายใจ   ช่วยเหลือตัวเองได้น้อยมาก   มีแผลติดเชื้อที่รอบๆอวัยวะเพศ  มีอุจจาระออกทางช่องคลอด  มีภาวะซีด  ร่างกายผ่ายผอม ทีมแพทย์พยาบาลโทรปรึกษาแพทย์โรงพยาบาลศูนย์เรื่องถ่ายอุจจาระทางช่องคลอด แพทย์ทางโรงพยาบาลศูนย์ไม่ได้ทำอะไรต่อ  เพียงให้ทำความสะอาดสม่ำเสมอและให้ระวังเรื่องการติดเชื้อ   ทีมแพทย์พยาบาลโรงพยาบาลนาหม่อมต้องมานั่งคิดร่วมกันว่าจะดูแลอย่างไร  ทุกคนก็ลงความเห็นว่ายังไงๆต้องทำให้ผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองให้ได้แม้ใช้เวลานานเท่าไรก็ตาม เรามีความสามารถในการดูแลแผลที่ถือว่ายอดเยี่ยมทำให้ผู้ป่วยหลายคนหายมาแล้วแม้แผลจะเป็นมากขนาดคิดว่าจะต้องตัดขา ตัดนิ้ว  ยังหายได้โดยไม่ต้องสูญเสียอวัยวะเลย    พวกเราจึงมั่นใจว่าทำได้แม้จะมีสีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย    ซึ่งในช่วง 2-3 วันแรกที่มะลิกลับมานอนที่โรงพยาบาลนาหม่อม  มะลินอนร้องไห้ตลอด  จะพูดก็พูดไม่ได้  จะเขียนก็เขียนหนังสือไม่เป็น มีภาวะซึมเศร้า   เวลาแพทย์  พยาบาลมาดูแลจะร้องให้ตลอด   บางครั้งไม่ยอมให้ความร่วมมือใดๆ  จึงปรึกษาพยาบาลจิตเวช  เมื่อพยาบาลจิตเวชผู้ที่มีร่างอวบแบบอบอุ่นมาดูแลมะลิ   พยาบาลจิตเวชไม่ได้พูดอะไรกับมะลิเลย  แค่นั่งนิ่งๆ พูดเพียงเล็กน้อยและจับมือมะลิทั้ง 2 ข้างมากุมนิ่งๆอยู่สักพักใหญ่ๆ    ทำเช่นนี้ทุกวันเป็นเวลาประมาณ  4-5 วัน  เราเรียกว่ามีการถ่ายทอดพลังกายทิพย์  ทำให้มะลิรู้สึกดีขึ้นอย่างประหลาดจนในที คนอื่นๆที่เฝ้าดูก็รู้สึกทึ่งมาก  หลังจากนั้นเป็นต้นมามะลิก็ให้ความร่วมมือในการรักษา   ยังร้องไห้อยู่บ้างแต่น้อยลง    มะลิพยายามสื่อสารว่ากลัวตัวเองไม่หาย  กลัวตัวเองพูดไม่ได้    กลัวเดินไม่ได้    สามีก็ไม่ค่อยได้มาดูแลเพราะต้องทำงานรับจ้างหาเงินมาใช้จ่าย  

มะลิมีเพียงลูกชายคนเดียวอายุเพียง  10 ปี ชื่อน้องสมบูรณ์ ที่ไม่ได้ไปโรงเรียนเพราะเป็นห่วงแม่   คอยซักถามแพทย์และพยาบาลตลอดว่าแม่เป็นอย่างไรบ้าง   ทำอย่างไรแม่จะหาย  เราเห็นเป็นเด็กที่ฉลาดและกตัญญู   พยายามที่จะพูดให้เข้าใจง่ายๆ  ว่า    ช่วงนี้แม่ไม่สบาย  ยังเดินไม่สะดวก  ยังพูดไม่ได้  แต่ไม่เป็นไร  แม่ของหนูต้องดีขึ้น   ถ้าแม่ทำตามที่หมอและพยาบาลบอก   แต่ให้หนูมาเป็นกำลังใจให้แม่ด้วยนะ  ดังนั้นทุกครั้ง  ที่พยาบาลสอนมะลิหรือให้การรักษาบางครั้งมะลิจะไม่ยอมบ้าง  แต่ลูกจะช่วยคอยบอกแม่ว่า "แม่ทำตามพยาบาลเถอะ  แล้วแม่จะได้หายเร็วๆ  ได้กลับบ้าน" 

จนกระทั่งมะลิมีกำลังใจเพิ่มขึ้น น้องสมบูรณ์ยังไปช่วยรับจ้างล้างจานเพื่อหาเงินมาช่วยครอบครัว เป็นการพยายามโดยตัวของน้องสมบูรณ์เอง ไม่ได้มีใครบอกให้ทำ สมบูรณ์ก็จะคอยมาดูแล  ป้วนเปี้ยนใกล้ๆเตียงแม่ตลอดเวลา  เป็นภาพที่เราเห็นแล้วซึ้งใจ  แม้ผู้ป่วยและญาติเตียงข้างเคียงยังอดสงสารไม่ได้   ส่วนเรื่องที่มีอุจจาระออกทางช่องคลอด   ทีมแพทย์และพยาบาลคิดว่าควรทำการเย็บบริเวณช่องคลอด  เมื่อเห็นพ้องต้องกันจึงนำมะลิเข้าห้องผ่าตัดเย็บปิดช่องคลอด  และทำความสะอาดทางช่องคลอด   ผลที่น่าพอใจคือไม่มีการติดเชื้อใดๆในช่องคลอดเลย   นับเป็นผลงานที่ทำให้เราภูมิใจและมั่นใจในการดูแล

พยาบาลเข้าใจปัญหามะลิอย่างลึกซึ้งและเริ่มศึกษาปัญหาและวางแผนการรักษามะลิอย่างจริงจังด้วยกันทั้งแพทย์  พยาบาล     เริ่มวางแผนดูแลเรื่องการสื่อสารเป็นอับดับ 1 ที่มะลิกลัวว่าพูดไม่ได้   พยาบาลได้ฝึกมะลิโดยให้มะลิหายใจทางจมูกแล้วใช้ผ้าก๊อสมาปิดที่ท่อเจาะคอ   ฝึกให้เปล่งเสียง  พยาบาลจะมาทำให้วันละ 1 ชั่วโมง   พูดคุยให้กำลังใจตลอด   แม้ไม่ได้รับการพูดกลับมาจากมะลิก็ตาม  พยาบาลก็จะพูดคนเดียวให้มะลิฟังทุกๆวัน  อย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่าย  แล้วเพิ่มเวลามากขึ้นทุกๆวัน  จากวันละครั้ง  เป็นวันละ 2 ครั้ง  จนเป็นวันละหลายครั้ง จนกระทั่งมีเสียงออกจากคอและปากบ้าง  มะลิดีใจจนร้องให้   ทำให้เราผู้ดูแลน้ำตาซึมไปด้วย  น้ำตาแต่ละครั้งเริ่มเปลี่ยนจากน้ำตาแห่งความซึมเศร้า  หมดอาลัยในชีวิต  เป็นน้ำตาจากความดีใจและภาคภูมิใจ   

เราก็จะพูดให้สามีเข้าใจปัญหาของมะลิ  และเริ่มหาเวลามาดูแลช่วงก่อนไปทำงาน  โดยสามีจะมาประมาณ 06.00 น. ของทุกวัน และหลังเลิกงานประมาณ 18.00 น. ของทุกวัน     อยู่มาวันหนึ่งในเวรดึก  มะลิก็ดึงท่อที่เจาะคอเอง  พวกเราตกใจ  และพยาบาลเองเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดว่าจะเกิดอาการอะไรหรือเปล่า    มะลิสามารถหายใจเองได้   เมื่อมั่นใจว่าไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน  เราก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและยินดี   และแล้วมะลิก็พูดได้แม้จะช้าบ้างก็ตาม    ทั้งมะลิและสามีพร้อมกับลูกดีใจมากๆ   เราได้เห็นรอยยิ้มแห่งความอบอุ่นและแววตาที่บอกเราว่าขอบคุณ   จนเราอดคิดไม่ได้ว่าแม้เพียงรอยยิ้มกับแววตาที่สื่อมา  สามารถบอกอะไรแทนคำพูดได้ดีจริงๆ  

 ต่อมามีคำถามในทีมตลอดว่า “ทำไมน้ำตาลในเลือดของมะลิสูงอยู่อีก  ทั้งๆที่เราพยายามให้ยา  ควบคุมอาหาร   จนเราสืบค้นได้ว่าเตียงข้างๆทั้งผู้ป่วยและญาติ   สงสารพยายามให้อาหารบ้าง  ขนมบ้าง  ระหว่างมื้อ  ทำให้เราต้องบอกผู้ป่วย  และญาติเตียงข้างเคียงว่าไม่ให้ขนมและอาหารกับมะลิระหว่างมื้อโดยเฉพาะของหวาน  เพราะเราพยายามควบคุมอาหารให้มะลิ  ไม่เช่นนั้นมะลิก็จะไม่หาย  อาจเป็นมากกว่าเดิม  และญาติเตียงข้างเคียงมาไม่ซ้ำกันทำให้บางคนไม่เข้าใจ  ยังให้ขนมมะลิอีก  มะลิก็กินทุกครั้ง  จนพยาบาลต้องเขียนป้ายว่า  ห้ามให้อาหารหรือของกิน  เนื่องจากผู้ป่วยต้องควบคุมอาหาร   ได้ผลทุกคนเข้าใจและเราสังเกต น้ำตาลมะลิจะสูงมากช่วงบ่ายและเย็น  ทำให้แพทย์ต้องปรึกษาเภสัชกรขอปรับยาเบาหวานที่กินมื้อเช้ามาเป็นมื้อเที่ยงแทนซึ่งได้ผลชัดเจน  และควบคุมน้ำตาลได้

“มะลิผึกเดินด้วยกะลานวดเท้า...ที่คลินิกแพทย์แผนไทย”

เรื่องต่อมาที่เราต้องดูแลและใช้ความพยายามและอดทนอย่างมาก คือต้องฝึกให้มะลิมีกำลังกล้ามเนื้อที่ดูจะลีบเอามากๆ ทั้งที่โรงพยาบาลนาหม่อมเป็นโรงพยาบาลชุมชนเล็กๆ   เราไม่มีเจ้าหน้าที่กายภาพบำบัด แต่เราพร้อมสวมวิญาณเป็นนักกายภาพบำบัดแบบมือสมัครเล่น   โดยเราคิดว่าจะให้มะลิพยายามตักอาหารเข้าปากตัวเองให้ได้  พยาบาลหัวหน้าตึกก็ไปซื้อลูกบอลแบบยางมาให้มะลิฝึกกำและคลายทุกวันวันละหลายครั้งครั้งละ 15 นาที  และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ฝึกส่งลูกบอลยางสลับมือกันบ้าง   เรารอคอยอย่างมีความหวัง   เพราะทั้งสามีและลูกก็ช่วยกันฝึกให้มะลิอย่างต่อเนื่อง    และวันหนึ่งมะลิก็พยายามที่จะใช้มือตักอาหารได้บ้าง 2-3 คำ  แม้ยังสั่นอยู่มาก  เราก็ให้กำลังใจว่า   มะลิมีความพยายามพูดก็พูดได้แล้ว  ส่วนเรื่องตักอาหารเราเชื่อว่ามะลิต้องทำได้     ดูสิ ทั้งสามีและลูกคอยลุ้นอยู่นะ  ต่อมาเราก็พยายามทำถุงทรายถุงละครึ่งกิโล 2 ถุง  โดยเอาเชือกมาผูก  แล้วให้มะลิถือเชือกยกขึ้นลงทุกวัน  จนกระทั่งมะลิสามารถตักอาหารเองได้หมดถาดทุกวัน    ต่อมาเราก็ฝึกให้มะลิลุกนั่งโดยการประคอง  ต่อมาสอนวิธีให้มะลิสามารถลุกเองได้แม้จะไม่มั่นคง   โดยเราก็คอยประคองและให้กำลังใจ  สอนวิธีการปฏิบัติทุกๆวัน   และภาพที่เราเห็นทุกครั้งที่มาดูแลมะลิ  มะลิจะยกมือไหว้  สวัสดีและขอบคุณพวกเราทุกครั้ง  บางครั้งวันละ 5-6 รอบ  จนบางครั้งเราก็ยิ้มๆขำๆไปด้วย  ก็มันทำให้เราชื่นใจไปด้วย  คงพยายามโชว์เสียงที่พูดได้ชัดเจนแล

เรื่องที่คิดว่าหนักที่สุดคือการฝึกเดินเราก็นำถุงทราย 1 กิโลมาผูกเชือกแล้วให้มะลิใช้เท้าและขายกเชือกที่ผูกถุงทรายขึ้นลงทุกวันๆ       ขณะนี้มะลิก็เป็นมะลิที่ใครๆก็รู้จักกันไปทั่วในทีมผู้รักษา  ขั้นต่อมาเราประคองให้มะลินั่งรถเข็นไปชมสวนนอกตึกบ้าง     ต่อมาให้สามีและลูกจะมาช่วยพยุง  มารับมะลินั่งรถเข็นออกไปดูทิวทัศน์นอกตึกผู้ป่วยในบ้าง    ช่วงเวลานี้เราไม่เห็นความเศร้าหมองของมะลิอีกเลย  เราเห็นแต่รอยยิ้มและเสียงทักทาย   และภาพที่เราเห็นจนติดตา  คือภาพที่สามีและลูกชายช่วยกันเข็นรถเข็นให้มะลิออกมาชมทิวทัศน์ทุกเย็นหลัง 6 โมงเย็นและทุกเช้าเวลาประมาณ 06.00 น. แล้วสามีต้องไปทำงานรับจ้างที่โรงงาน  ส่วนลูกต้องไปเรียน จะเป็นอย่างนี้ไปทุกๆวัน   จนเราเห็นภาพครอบครัวที่อิ่มอุ่น   แม้ลำบากเท่าใดก็ต่อสู้และดูแลไม่ทอดทิ้ง  มีกำลังใจที่ดีให้กันและกัน     สามีและลูกดูแลมะลิอย่างดีเยี่ยมอย่างที่เราฝึกและให้ความรู้ความเข้าใจ   จนเราต้องชมจากใจจริง  เป็นครอบครัวที่น่าประทับใจมากๆ   

เรามักจะพูดกันในทีมว่าแม้มะลิจะโชคร้ายที่เป็นแบบนี้แต่มะลิโชคดีที่มีครอบครัวที่อบอุ่น  มีสามีที่ดีและลูกชายที่น่ารัก   เมื่อมาถึงเวลาที่มะลิต้องเริ่มฝึกเดินและทรงตัว เมื่อเราเตรียมความพร้อมของกล้ามเนื้อขาและแขนมาพอสมควร   โดยเริ่มฝึกยืนเองโดยมีคนประคองและให้เกาะยึด   มีคนช่วยประคอง 2 คน จนกระทั่งมีคนประคองเพียง 1 คน มะลิก็สามารถทรงตัวได้   และสามารถนั่งบริหารกล้ามเนื้อขาได้มั่นคงขึ้น  ถึงบทเรียนที่หนักคือพยายามก้าวขาเดิน    เราก็ลุ้นกันตัวโก่งเหมือนฝึกหัดเด็กที่เพิ่งตั้งไข่และฝึกเดิน  จนกระทั่งสามารถใช้  Walker ได้เองโดยมีพวกเราคอยเดินเคียงข้างระวังหลังหากเกิดอาการเซหรือป้องกันการล้ม  ระหว่างนั้นเราก็พามะลิมาลองเดินกะลา  “ กะลานวดเท้า ” ซึ่งเป็นนวัตกรรมชิ้นโบว์แดงของงานแพทย์แผนไทย   สามารถนวดฝ่าเท้าคลายกล้ามเนื้อที่เกร็งหรือมีอาการชาได้   ทุกวันเราก็จะเห็นสามีประคองมะลิเดินกะลานวดเท้าทุกเช้าและเย็น  ก่อนและหลังทำงาน  เวลากลางวันพยาบาลก็พามาเดินไปมาบ้าง  เดินกะลาบ้าง ประมาณ 1 เดือน   นับวันความสัมพันธ์ครอบครัวมะลิและทีมดูแลกระชับมากขึ้น มะลิมักจะเรียกทีมที่มาร่วมดูแลว่า “คุณครู”    พอเจอหน้าใครที่เป็นทีมการดูแลรักษาพยาบาล   มะลิจะทักทายว่า “สวัสดีค่ะ  คุณครู”  พวกเราก็มักจะบอกว่า  “คุณหมอกับพยาบาล  ไม่ใช่คุณครู”  แม้จะบอกซักกี่ครั้ง  มะลิก็ยังเรียกพวกเราว่า  คุณครู  ทุกครั้งไป   จนพวกเราในทีมกลายเป็น “คุณครู ” ของมะลิไปทุกคน

     

และแล้ววันที่มะลิต้องคืนสู่เหย้า  ทีมแพทย์  พยาบาลในหอผู้ป่วยและพยาบาลแพทย์แผนไทยที่ดูแลเรื่อง  Home Health Care ( HHC )  วางแผนการจำหน่าย  ก่อนจำหน่ายเป็นธรรมเนียมที่ผู้ป่วยที่นอนโรงพยาบาลนานๆหรือมีภาวะแทรกซ้อนหรือผู้ที่ต้องได้รับการดูแลที่ดีเป็นพิเศษ   เราทั้งทีมไปเยี่ยมบ้านก่อนจำหน่ายผู้ป่วย  เพื่อเตรียมความพร้อมในการต้อนรับสมาชิกที่จะกลับมาใช้ชีวิตที่บ้านอย่างเหมาะสมที่สุด    บ้านของมะลิเป็นบ้านลักษณะคล้ายกระท่อมหลังเล็กๆยกพื้น   ฝาบ้านทำจากไม้ไผ่  หลังคามุงจาก  มีบันไดขึ้นบ้าน 4 ขั้น  ภายในบ้านแบ่งเป็น 2 ฟาก  ส่วนหนึ่งเป็นที่นอนและเก็บเสื้อผ้า   อีกส่วนเป็นครัวเล็กๆสำหรับทำกับข้าว    อยู่ด้วยกัน 3 คน  มะลิ  สามีและลูกชาย       ห้องน้ำห้องส้วมอยู่ห่างจากบ้านประมาณ 100 เมตร   รอบๆบ้านมีหญ้าขึ้นค่อนข้างรก   จนกระทั่งพนักงานขับรถพูดว่า  “พี่ๆเรามาช่วยกันตัดหญ้า  ให้มะลิหน่อยดีมั๊ย  บ้านจะได้น่าอยู่มากขึ้น”  เราเองฟังแล้วรู้สึกชื่นใจที่น้องมีความคิดที่ดีที่อยากจะช่วย   แต่เราก็ได้พูดคุยกับสามีมะลิ   ให้ช่วยกันจัดสภาพบ้านให้สะอาดและเป็นระเบียบมากขึ้น  พร้อมทั้งการตัดหญ้าดูแลสิ่งแวดล้อมรอบบ้าน    ซึ่งสามีมะลิก็รับปากกับทีมเราจะจัดสิ่งแวดล้อมตามที่แนะนำ     อีก 2 วัน มะลิก็ได้จำหน่ายกลับบ้านด้วยสีหน้าแววตาสดชื่น  พร้อมหน้าพร้อมตาครอบครัว  บอกลา "คุณครู" ทุกคน   พวกเราก็ไปส่งถึงบ้านเลยทีเดียว   ก่อนกลับก็ร่ำลากันอยู่นาน

 

มีการติดตามเยี่ยมบ้านต่อเนื่อง  ครั้งแรกในการเยี่ยมบ้านมะลิ  สภาพบ้านวันนี้สะอาดและเป็นระเบียบ  ไม่มีหญ้ารกเหมือนวันเก่า  เมื่อเราไปถึงบ้านเรียกทักทายมะลิ    มะลิดีใจมากยิ้มและแสดงแววตาที่ดีใจสุดๆ  จนเราอดหัวเราะไม่ได้  คำแรกที่มะลิทักทายแบบตะโกนดังลั่นว่า  “ดีจังที่คุณครูมาเยี่ยม ”   ตอนนั้นมะลิอยู่บ้านคนเดียว   ช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้น   ทำกิจวัตรประจำวันได้บางส่วน   มะลิบอกว่า  กลางวันลูกจะไปเรียน   ส่วนสามีไปทำงานรับจ้างที่โรงงาน   มะลิอยู่บ้านช่วยเหลือตนเองได้บ้าง  โดยสามีจะเตรียมอุปกรณ์ต่างๆไว้ให้มะลิ   หยิบใช้ได้สะดวกใกล้ๆตัว   เตรียมอาหารไว้ให้ใกล้ตัว  เราถามมะลิว่าอยู่บ้านคนเดียวเป็นอย่างไรบ้าง   มะลิบอกเราว่า   “อยู่ได้ค่ะคุณครู  ตอนเย็นแฟนหนูก็จะกลับมาค่ะ”   เราก็พูดคุยเรื่องความเป็นอยู่  มะลิก็บอกว่า “ดีเพราะสามีก็ดูแลเอาใจใส่ดี   ช่วยหนูฝึกหัดเดินทุกวัน ”   แรกๆให้เดินกับเครื่องช่วยเดิน 4 ขา  และพยาบาลแนะนำกะลาแบบที่เคยเดินที่โรงพยาบาลวางเรียงที่พื้นและใช้มือจับที่ฝาบ้าน  จนกระทั่งมะลิเดินได้คล่องขึ้น   พวกเราก็ตามมาดูแลการรับประทานยาของมะลิ   ซึ่งมะลิก็ปฏิบัติได้ถูกต้อง   ได้ย้ำเรื่องการระมัดระวังการหกล้มเพราะต้องขึ้นลงบันได   การปฏิบัติตัวถูกต้อง  ทุกวันก็ฝึกการบริหารกล้ามเนื้อ   เมื่อเราเห็นแววตาที่สดใส  สีหน้าแห่งความดีใจ  ตื้นตันใจ   เป็นภาพที่พวกเราจำฝังใจก็เป็นมีความสุขที่ยาวนาน  มันเกิดขึ้นในใจเรา    เราได้ถามเพื่อนบ้านมะลิถึงความเป็นอยู่ของมะลิ  ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า  สามีเอาใจใส่ดีมากทุกวันก่อนไปทำงานและหลังจากทำงาน  จะมาช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อ  ฝึกเดิน  จนกระทั่งช่วยเหลือดูแลการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันต่างๆที่เอื้อให้มะลิสามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากที่สุดและสะดวกที่สุด    เป็นน้ำทิพย์ที่ช่วยหล่อเลี้ยงชโลมใจให้มะลิมีความอดทนและพยายามชนะโรคภัยไข้เจ็บ    และเราก็ไปเยี่ยมบ้านมะลิเป็นระยะๆตามแผน  

 

เป็นความรู้สึกที่ยากจะบอกใครได้ว่า สิ่งที่พวกเราได้ทำให้ใครคนหนึ่งที่คิดว่าชีวิตนี้หมดความหมาย  หมดคุณค่า  ท้อแท้ทั้งตนเอง ผู้ที่รักและผู้ที่อยู่รอบข้าง

มะลิดูดีขึ้นเป็นลำดับ  ขณะที่เราก็ยังเป็น “คุณครู” ทุกลมหายใจของมะลิ    และวันที่หมอนัดมะลิมาดูอาการและเจาะน้ำตาลในเลือด   เป็นภาพที่เราเห็นประจำคือสามีประคองมะลิเดินและนั่งรถเข็นรอหมอตรวจ   หมอและทุกคนร้องทักทายมะลิคำที่มะลิทักทายกลับมาคือ  “คุณครูคะหนูดีขึ้นมากเลย”  สามีก็บอกอาการ  ว่าเริ่มเดินได้ดีแล้ว  ซึ่งสามีมะลิทำราวให้มะลิเดินกะลาคล้ายแบบโรงพยาบาล  และระดับน้ำตาลอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเป็นที่พอใจต่อผู้รักษา   มะลิในวันนั้นที่เราเจอเป็นดอกมะลิที่เบ่งบานและสดชื่นพร้อมรับวันใหม่ในวันนี้และยังคงเบ่งบานในใจเราตลอดไป

หมายเลขบันทึก: 167246เขียนเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2008 10:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 มิถุนายน 2012 15:00 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

เรื่องนี้ประทับใจมากค่ะอาจารย์คะ

คุณ sasinanda ครับ

เห็นด้วย 100% ครับผม ที่ยิ่งดีไปกว่านั้นก็คือ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่นานๆทีมีหน สืบหาดู มองหาดูให้ดี มันเกิดขึ้นรอบๆตัวเราเกือบตลอดเวลาเหมือนกัน

สวัสดีครับอาจารย์

ทำให้ได้เรียนรู้เรื่องราวที่ละเอียดมากขึ้น...

จริงๆแล้วเวลาดูคนไข้เราก็มีกรณีแบบนี้มากมายครับ...

บางครั้งจินตนาการได้แต่ยังไม่สามารถทำได้  อาจจะเพราะสักยภาพภายในของเราเองที่ไม่พร้อม  หรือทีม...

แต่พออ่านเรื่องเล่าอาจารย์แล้วทำให้เกิดความมุ่งมั่นมากขึ้นครับ..

ว่าน่าจะเริ่มสักกรณี..อย่างน้อย  เป็นการเริ่มต้น..

คุณหมอสุพัฒน์ครับ

เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับ เรามี resource ที่จะช่วย charge พลังงานของเรามากมายเต็มไปหมด เพียงแต่บางทีเรานั่งบนรถด่วน ก็เลยปล่อยให้ทิวทัศน์ ประสบการณ์ อันงดงามผ่านสายตาไปเฉยๆอย่าน่าเสียดายครับ

เรามาเก็บเกี่ยวสิ่งที่เราพึงได้กันเถอะนะครับ

ขอบคุณที่เอามาเล่าให้ฟังครับ

อ่านแล้วมีความสุขจริงๆ

ยินดีครับ อ.แป๊ะ

เรื่องของ อ.แป๊ะอีกมากมาย ก็น่าสนใจมากครับ เป็นเรื่องเล่าเร้าพลังทั้งสิ้น

อยากให้เล่าความดีงามของ ผอ. สุธาทิพย์จังเลยค่ะ

      

ขอไว้อาลัยแด่....พญ.สุธาทิพย์.....

ขอให้คุณความดีของคุณหมอ.....

เบ่งบานในใจผู้คน.....ตลอดไป

เป็นคนนึงที่มีโอกาสได้รู้จักคุณหมอเก๋เนื่องจากได้ทำกิจกรรมร่วมกัน  บอกได้ว่าหมอเป็นคนดี  และมีความมุ่งในการทำงานเพื่อการพัฒนาจริง ๆ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท