การวิจัยตนเอง - พัฒนาทักษะ พูด-ฟังภาษอังกฤษ


วิจัยตนเอง

 

 

   การพัฒนาทักษะการพูดและฟังภาษาอังกฤษ

        โดยใช้โทรศัพท์เป็นเครื่องมือในการสื่อสาร

 

 

 

มารู้จักกันก่อน…………………………………

 

ผู้เขียน ทำงานในสำนักพิมพ์แปลนปริทัศน์ ในตำแหน่งบรรณาธิการบริหาร  เกี่ยวข้องกับงานการผลิตต้นฉบับหนังสือเรียน หนังสือวิชาการต่างๆ โดยบางครั้งก็มีการแปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย ทั้งนี้ อาจมีการติดต่อกับสำนักพิมพ์ต่างประเทศ  ซึ่งโดยปกติจะติดต่อกันทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์    (e-mail) การติดต่อในลักษณะนี้มักไม่มีปัญหาในการสื่อสารเพราะมีเวลาในการพิจารณาและทำความเข้าใจ รวมทั้งแก้ไขได้เมื่อต้องการอ่านและเขียน แต่ในระยะหลังเมื่อมีขอบข่ายงานมากขึ้นทำให้มีการเดินทางติดต่อกับชาวต่างประเทศมากขึ้น ในลักษณะเราต้องเดินทางบ้างหรือเค้าเดินทางมาจากหลายๆแห่ง ทำให้มีความต้องการจะพัฒนาทักษะการพูด การฟังให้มีประสิทธิภาพเหมาะสมกับการติดต่อธุรกิจได้อย่างชัดเจน

 

    แล้วจะทำยังไงดี

 

            เรานั่งคิดถึงวิธีแก้ปัญหาการพัฒนาภาษาอังกฤษมาตลอดเพราะการไปนั่งเรียนตามสถาบันอย่างที่เคยทำ ก็ไม่ค่อยได้ผล เพราะการเรียนพูด ฟัง ที่มีผู้เรียนในชั้นเรียนหลายคนทำให้การฝึกฝนต้องเฉลี่ยกันไปทำให้รู้สึกว่าไม่ได้ผลเท่าที่ควร  แม้จะลงไปหลายคอร์สแล้วก็ตาม   และยิ่งระยะหลังภาระงานมากขึ้น แล้วแถมเสาร์อาทิตย์ต้องไปเรียนปริญญาเอกนอกเวลาอีก  เวลาก็แทบจะไม่มีอันต้องทำอย่างอื่น  นั่นสิ แล้วจะทำยังไงดี  ในช่วงเวลาที่กำลังคิดอยู่หลายวันนี้เอง  วันหนึ่งที่ได้อาศัยรถไฟฟ้า BTS  ไปทำงานได้มีโอกาสเห็นโฆษณาทางสื่อประชาสัมพันธ์บนรถไฟฟ้า  โดยมีคำโฆษณาว่า  English  by Phone  เรารู้สึกสะดุด และคิดว่าต้องการรู้รายละเอียดเพิ่มเติม ก็เลยโทรศัพท์ไปถาม ก็พบว่าเป็นการเรียนสนทนาภาษาอังกฤษผ่านโทรศัพท์ ซึ่งเราเห็นข้อดีอยู่ 2 ข้อ คือ  1. ได้เรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัว ในราคาที่ไม่แพงมาก   2. เราไม่ต้องเสียเวลาเดินทางเพื่อที่จะเข้าชั้นเรียน  เราเริ่มองเห็นแสงริบหรี่ในใจ  เราสมัครลงเรียนทันที                       

      

   เริ่มแล้ว  แล้วจะวางแผนยังไงดี

            อาจารย์ที่สอนเราเป็นคนไทยนี่แหละจบจากต่างประเทศ  (สหรัฐอเมริกา) แล้วก็ทำงานอยู่ประเทศออสเตรเลียเป็นสิบปี  เราฟังสำเนียงอาจารย์แล้วเราก็รู้ว่า อาจารย์สำเนียงดีมากเลยแหละ เราก็เลยวางแผนกับอาจารย์ว่า

1.    จะสนทนากับอาจารย์  สัปดาห์ละ  2  ครั้ง 

2.    ในการสนทนาแต่ละครั้งจะใช้เวลา  30  นาที

      แล้วการเดินทางสายนี้ก็เริ่มขึ้น

 

 

สัปดาห์ที่  1   speak  out !

          เราเริ่มคุยกับอาจารย์ครั้งแรกไปได้ซักระยะ  อาจารย์ก็บอกเราว่าเราก็มีพื้นฐานดีพอควรเพียงแต่อาจต้องการการพูดออกมา  (speak out!) เราคุยกับอาจารย์ได้  2 ครั้ง  ตรงตามที่ตั้งใจไว้ 

ผลที่เกิดขึ้นล่ะ เราเริ่มรู้สึกมีความหวัง เพราะถือว่าเป็นการเรียนที่เหมาะสมกับเราเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่ต้องเดินทางเข้าชั้นเรียน เพราะในวันทำงานเราก็เลิกเย็นมากแล้ว   แล้วในสัปดาห์แรกก็ทำให้เรารู้เห็นข้อบกพร่องของตัวเอง  ที่ชัดมากที่สุดคือ ไม่มั่นใจเอาซะเลย  สัปดาห์แรกดูเรายังไม่ได้อะไร แต่กำลังใจเริ่มมา

 

สัปดาห์ที่  2   Common Life

          เราคุยกับอาจารย์  อาจารย์ก็จะปล่อยให้เราพูดเรื่องราวในชีวิตประจำวันนี่แหละ แล้วพอติดขัด (ติดตลอด)  อาจารย์ก็จะบอกเราว่าทำใจให้สบายไม่ต้องกังวล เพราะภาษาก็แค่เราไม่ค่อยได้ใช้ ดังนั้นอย่ากดดันตัวเอง เดี๋ยวไม่ได้ตรงไหนอาจารย์จะช่วย เราคุยกับอาจารย์ได้  2 ครั้ง  ตรงตามที่ตั้งใจไว้เหมือนเดิม แล้วเราก็เริ่มคลายกังวลลงในครั้งที่ 4 ของการเรียน   

แล้วผลที่เกิดขึ้นล่ะ เราเริ่มรู้สึกมีกำลังใจเพราะอาจารย์มีส่วนช่วยเราในแง่ของความไว้ใจ เราเริ่มสึกไม่อายอาจารย์ถ้าเราพูดผิด

สัปดาห์ที่  3    Keep On

          เราคุยกับอาจารย์  หัวข้อการสนทนา ยังคงเป็นเรื่องราวในชีวิตประจำวันของเราเป็นส่วนใหญ่ เพราะอาจารย์บอกว่าในชีวิตจริงของการใช้ภาษาก็คือเรื่องราวเหล่านี้แหละ  อาจารย์บอกว่าในสัปดาห์นี้เราดูผ่อนคลายมากขึ้น  ถือเป็นพัฒนาการที่ดี ให้เรามั่นใจมากขึ้น อาจารย์บอกว่าถ้าจะให้ดี  เราน่าจะได้คุยกันมากขึ้นใน แต่ละสัปดาห์เพราะน่าจะทำให้พัฒนาการเราดีขึ้น  เราก็คิดตรงกัน เราก็เลยคุยเรื่องตารางเวลากับอาจารย์อีกครั้ง แล้วเราก็ได้เวลา  สัปดาห์นี้เราก็เลยคุยกับอาจารย์  3 ครั้งต่อสัปดาห์เลย

เราพบว่า  เราเริ่มมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในใจ คือการมีทัศนคติที่ดีมากต่อการเรียน  เพราะเรามีความกระตือรือร้นที่จะเรียน  แล้วก็ไม่ยอมขาดเรียน  พยายามหาหัวข้อในแต่ละวันมาคิดดูว่าวันนี้เราอยากจะคุยอะไรกับอาจารย์

  

สัปดาห์ที่  6    Go Ahead

          หลังจากสัปดาห์ที่  3  เป็นต้นมา เราคุยกับอาจารย์ครั้งละครึ่งชั่วโมง สัปดาห์ละ  3 ครั้ง เรารู้สึกว่า กำลังดี  แต่เราก็ต้องการคุยมากขึ้น  เราบอกอาจารย์ว่าเราต้องการใช้เวลาในการเรียนมากขึ้น ซึ่งอาจารย์ก็บอกว่าก็น่าจะเป็นผลดีกับเรา   เพราะ จริงๆแล้วการเรียนนั้น อาจจะไม่ได้สอดคล้องกับการใช้ภาษา  เพราะในชีวิตประจำวันเราไม่ได้ใช้ทุกวัน   เราเริ่มคุยกับอาจารย์ สัปดาห์ละประมาณ  45 นาที -  1  ชั่วโมง

            การเปลี่ยนแปลที่เกิดขึ้น สืบเนื่องมาจากตนเองที่ต้องการเห็นพัฒนาการทางภาษของตัวให้ดีขึ้น ซึ่งในครั้งแรกที่ใช้สัปดาห์ละ  2 ครั้งนั้น อาจทำให้ภาษาเราดีขึ้นๆไม่มากนัก เราก็เลยตัดสินใจใช้เวลา  3 ครั้งต่อสัปดาห์  แล้วเราก็พอใจนะ

  

สัปดาห์ที่  20     Go so Far                           

          หลังจากสัปดาห์ที่  6  เป็นต้นมาเราเริ่มรู้สึกลงตัว  และการพูดกับอาจารย์  3 ครั้งต่อสัปดาห์ทำให้เรามีพัฒนาที่ดีขึ้น  อาจารย์บอกว่า  วันนี้กับครั้งแรกที่เรียนกับอาจารย์นั้นเป็นคนละคนกันเลย  (เราคิดในใจว่าก็นี่ 5 เดือนแล้วนะคะอาจารย์) 

ถ้าให้ประเมินตัวเอง  เราก็รู้สึกว่าเรามั่นใจในการพูดภาษาอังกฤษมากขึ้นมาก  แต่เราก็รู้ว่ายังไม่ได้ดี  แต่ก็อยู่ในขึ้นติดต่อสื่อสารได้ คล่องแคล่วขึ้น   ฟังเข้าใจได้ดี  แต่ก็คงยังอีกไกล

สัปดาห์ต่อ  ๆ ไป  ตอนนี้เรายังคงเรียนภาษาอังกฤษผ่านโทรศัพท์อยู่ต่อไปและเป็นการเรียนที่รู้สึกว่าเหมาะสม และมีพัฒนาการที่ดีมากสำหรับตัวเอง ถ้ามีโอกาสจะกลับมาเล่าให้ฟังอีกนะคะ

 

  

     มาวิเคราะห์การเปลี่ยนของตัวเองหน่อย

 

 

การต้องการพัฒนาทางภาษาที่เราต้องการทั้งการพูดและการฟัง  เป็นแรงผลักจากภายในของตัวเอง   แต่การได้เรียนในวิธีการที่เหมาะสมกับตัวเอง ก็เปรียบเสมือนพาหนะที่จะพาเราไปยังจุดหมายได้  แล้วเมื่อเราได้วิธีการเรียนที่เหมาะสมกับเรา  เรารู้ว่าคุณค่าที่เกิดขึ้นสามารถออกมาได้อย่างเป็นรูปธรรม   นั่นคือการใช้ภาษาอังกฤษที่ดีขึ้น คล่องขึ้น  

ในสัปดาห์แรกๆ  ที่เราเลือกใช้การเรียนสัปดาห์ละ  2  ครั้ง   ก็ถือว่าเป็นจุดดีของการเริ่มต้น  แต่ยังไม่เป็นวิธีที่ดีที่เราพอใจ  เมื่อเปลี่ยนเป็นสัปดาห์ละ   3 ครั้ง   เรารู้ว่าดีมากขึ้น  เหมาะสมกับเรามากขึ้น รู้สึกว่าดี   แต่เราก็พบมากขึ้นมาหากใช้เวลาในแต่ละครั้งนานประมาณ  45 นาที ถึง  1  ชั่วโมง นั้นเหมาะสม ลงตัวมากที่สุด และในปัจจุบัน  เป็นเดือนที่ 7  เราก็ยังคงเรียนอยู่  เราก็เห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ  แม้จะได้เก่งเท่ากับคนอีกหลายคน  แต่เรารู้ว่าเราเอาตัวรอดได้สบายๆ  แล้วเราก็ตั้งใจว่าเราจะเรียนต่อไปเรื่อยๆ  

          มาสรุปกันดีกว่า

 

พัฒนาการทางการเรียนภาษาอังกฤษทางโทรศัพท์  สำหรับตัวเองถือว่าเป็นวิธีการเรียนที่เหมาะสมกับผู้เรียนบางคน  และอยู่ที่นื้อหาของการเรียนที่ต้องการการพูด  และการฟัง  ก็ถือว่าตอบโจทย์ เพราะมีพัฒนาการทางภาษาดีขึ้น  โดยในสัปดาห์แรกที่ใช้เวลา  2  ครั้งต่อสัปดาห์จัดว่าน้อยไป  เมื่อเปลี่ยนมาเป็น  3 ครั้งต่อสัปดาห์ ก็ถือว่าเหมาะสมเพราะทำให้พัฒนาการทางภาษาดีขึ้น และเมื่อใช้เวลามากขึ้นอีกเล็กน้อยก็นับว่ามีประโยชน์ต่อผู้เรียนมาก  และไม่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันมากนัก เพราะสามารถใช้ช่วงเวลาที่ว่างตรงกันกับอาจารย์ได้เลย ซึ่งหากมากกว่านี้ก็อาจทำให้รู้สึกว่าไม่สะดวก ดังนั้นสำหรับตัวเราเองเราพอใจในพัฒนาการที่เกิดขึ้นกับตัวเอง  แล้วเราก็ตั้งใจว่าเราจะเรียนต่อไปเรื่อยๆ  

  

บันทึกการเรียนภาษาอังกฤษผ่านทางโทรศัพท์

การดำเนินการ

วันจันทร์ที่ 5  สิงหาคม   2550 

            วันนี้เป็นวันแรกที่จะคุยกับอาจารย์   อาจารย์ของเราเรียนจบอเมริกา และทำงานในประเทศออสเตรียเลียมานานกว่า  10 ปี  โดยเราบอกปัญหาของเราเกี่ยวกับการติดต่อกับชาวต่างประเทศให้อาจารย์ทราบและอาจารย์ก็ยินดีจะช่วยเรา โดยคุยกันว่าเราจะเป็นคนโทรหาอาจารย์อาทิตย์ละ  3  ครั้ง และวันนี้เราก็เริ่มเลย โดยส่วนใหญ่การคุยเนื้อหาก็เป็นเรื่องในชีวิตประจำวัน   คุยกันประมาณ  30  นาที ในวันแรกนี้เราไม่เข้าใจที่อาจารย์พูดสักเท่าไหร่ เพราะพูดเร็ว  การโต้ตอบก็ใช้เวลาในการนึกคำตอบ แต่อาจารย์ก็ให้กำลังใจว่าเราก็เป็นคนที่รู้ศัพท์เยอะ แต่ยังขาดประสบการณ์ในการพูดเท่านั้น   วันแรกผ่านไป

 

วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน 2550

            วันนี้ตั้งแต่เช้าเราเริ่มฟังวิทยุสถานีข่าว คลื่น  88  FM ในขณะนั่งรถไปทำงาน   ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเลย ได้แต่หัวข้อข่าว ตอนเย็นโทรไปหาอาจารย์ ก็คุยกันในภาคภาษาอังกฤษถึงปัญหาให้อาจารย์ฟังว่าฟังข่าวภาคภาษาอักฤษไม่รู้เรื่อง อาจารย์ก็แนะนำว่าให้อัดข่าวภาษาอังกฤษซักช่วงเวลานึงมาฟังซ้ำๆ จะทำให้ดีขึ้นได้ เราก็เก็บคำแนะนำไว้ตั้งใจว่าจะทำในวันรุ่งขึ้น แถมตอนกลางคืนเราก็เปิดข่าวช่อง  11  News lines เพื่อดูข่าวภาคภาษาอังกฤษ ก็เข้าใจบ้างเพราะมีภาพและตลอดวันเรารู้เรื่องข่าวนั้นเป็นภาษาไทยอยู่แล้ว

 

วันพฤหัสบดีที่  8 พฤศจิกายน 2550

            วันนี้ตั้งใจจะบันทึกข่าวทางวิทยุ แต่ก็ยังไม่ได้ทำเพราะยังงงๆกับอุปกรณ์  ตอนเย็นโทรหาอาจารย์ ก็คุยกันในเรื่องชีวิตประจำวัน ส่วนใหญ่อาจารย์จะถามเราว่าวันนี้เป็นยังไงให้เราเล่าไป เวลาเราติดศัพท์ หรือคิดไม่ออกเราก็จะ quit จากภาษาอังกฤษเพื่อถามก่อน แล้วอาจารย์ก็จะตอบให้เข้าใจก่อนแล้วก็จะพูดภาษาอังกฤษกันต่อ   อาทิตย์นี้ทำได้อย่างที่ตั้งใจดีใจมาก

 

วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน  2550 

            วันนี้เราโทรไปหาอาจารย์ช้ากว่าทุกครั้งเพราะมีประชุม (ทุกครั้งจะโทรหาอาจารย์ประมาณ  6 โมงเย็น) เรื่องที่คุยวันนี้ก็เลยเป็นเรื่องที่เราเข้าประชุมในเรื่องการทำงาน ก็ทำให้รู้สึกว่าเราเริ่มชินสำเนียงของอาจารย์มากขึ้นก็เข้าใจมากขึ้น จากเดิมอาทิตย์ที่แล้วอาจจะเข้าใจประมาณ 50 % อาทิตย์นี้เราคิดว่าน่าจะดีขึ้นมาเล็กน้อย

 

วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน  2550 

            วันนี้เราบอกให้สามีช่วยจัดการเรื่องอัดเสียงข่าวให้หน่อยเพราะเราทำไม่เป็น พอตกเย็นเราก็ได้ข่าวภาคภาษาอังกฤษมา แต่ยังไม่ได้ฟัง วันนี้คุยกับอาจารย์เรื่องการได้ข่าวที่อัดเสียงแล้ว อาจารย์ก็บอกว่าให้ฟังหลายๆครั้ง ไม่เข้าใจก็เอาไว้มาถามอาจารย์  เราบอกอาจารย์ว่าเราเกรงใจเค้าเหมือนกันนะเนี่ยที่เค้าต้องเสียเวลาสอนเรา แต่เค้าบอกว่าเค้าชอบเพราะทำให้เค้าได้ใช้ภาษาอังกฤษด้วย ทำให้รู้สึกค่อยยังชั่วหน่อย

 

หมายเลขบันทึก: 166507เขียนเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2008 09:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มิถุนายน 2012 10:15 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)
  • เป็นบทความที่น่าสนใจมากทีเดียวค่ะ
  • การฟังภาษาอังกฤษทางโทรศัพท์ ไม่ง่ายเลยนะคะถือว่าคุณแสงรุ้งเก่งทีเดียวค่ะ จำได้ว่าสมัยดิฉันย้ายไปอยู่แคนาดาใหม่ ๆ เริ่มฟังฝรั่งรู้เรื่องถ้าพูดต่อหน้า แต่เวลาโทรไปติดต่องานยังฟังไม่รู้เรื่อง บางทีถ้าไม่ไกลนัก ยอมขับรถไปดูสีหน้า เห็นปาก เข้าใจง่ายกว่า  
  • เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยค่ะว่า ทัศนคติและแรงจูงใจมีส่วนสำคัญที่สุดในการเรียนภาษา อีกทั้งการสำรวจหาข้อบกพร่องของตัวเองและพร้อมที่จะแก้ไข และที่สำคัญอีกอย่างคือต้องไม่อายทึ่จะพูดผิด เพราะการใช้ภาษาผิดเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ค่ะ ขอให้โชคดีในการเรียนนะคะ
  • จะคอยติดตามอ่านค่ะ

 

ขอบคุณมากๆนะคะ สำหรับความเห็นที่ดีมาก ถือว่าเป็นกำลังใจอีกทางนะคะในการเรียนภาษา

แนะนำอาจารย์ที่สอนได้ไหมคะ ขอเบอร์หน่อยคะ

อยากเรียนเหมือนกันคะ

ขอบคุณคะ

เป็นบทความ เรื่องเล่า การถ่ายทอด ที่มีประโยชน์ดีมากค่ะ

ดิฉันกำลังสนใจเรื่องนี้อยู่พอดี อาจจะได้นำเทคนิควิธีการ เหล่านี้ ไปใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนต่อไปค่ะ

แล้วจะเข้ามาอ่านเรื่อยๆ นะคะ

ขอบคุณค่ะ

ขอบคุณมากครับ..เป็นบทความที่ดีและมีความรู้ที่แปลกใหม่มาก..ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีการเรียนทางโทรศัพท์ด้วย..อยากให้ลูกเรียนทางนี้บ้าง..จะติดต่ออาจารย์ยังไงครับ..ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับข้อมูลครับ

เบอร์โทรอาจารย์ค่ะ. 023112515. ครูอู๊ด

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท