แม่ทัพในงานส่งเสริมการเกษตร
อาชีพเกษตรกรรม เป็นอาชีพที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษจนถึงลูกหลาน โดยการปลูกพืช และเลี้ยงสัตว์ไว้เพื่อเป็นอาหารเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง หลังจากนั้น ก็พัฒนาขึ้นมาเป็นอาชีพที่หา รายได้เข้ามาสู่ตนเองและครอบครัว "อาชีพเกษตรกรรม" จึงเป็นอาชีพหลักให้กับคนไทยจนถึงปัจจุบัน
“เกษตรกร
เป็นกระดูกสันหลังของชาติ”
“เกษตรกร
เป็นผู้ผลิตอาหารเพื่อเลี้ยงประชากรโลก”
ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจให้กับผู้ประกอบอาชีพค่อนข้างมากแต่เมื่อทำการเกษตรไปได้สักระยะหนึ่งเมื่อทำไป ๆ จะเห็นได้ว่า……เกษตรกรบางท่านก็ประสบผลสำเร็จ…บางท่านก็ล้มเหลวมีหนี้สิน และบางท่านก็ถึงกับหมดเนื้อหมดตัวต้องขายทรัพย์สินที่มีอยู่ มีหนี้สินล้นพ้นตัวจนกลายเป็นสัญลักษณ์ในการส่งเสริมการเกษตรที่ว่า “เกษตรกร คือ ผู้ที่โง่….จน….เจ็บ”
จึงเกิดข้อคิดขึ้นว่า “เราในฐานะของข้าราชการที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการส่งเสริมการเกษตรให้กับเกษตรกร" โดยมีหน้าที่ถ่ายทอดความรู้เพื่อพัฒนาอาชีพของเขาเหล่านั้นให้ประสบ ผลสำเร็จ มีความมั่นคงทางด้านอาชีพ ไม่ล้มลุกคลุกคลาน เป็นเกษตรกรที่ไม่โง่ ไม่จน และไม่เจ็บ และเป็นเกษตรกรที่คิดเป็น ปฏิบัติเป็น และตัดสินใจได้อย่างถูกต้องในการทำเกษตรกรรม
กรมส่งเสริมการเกษตร เป็นผู้นำองค์กรในการถ่ายทอดความรู้ด้านการเกษตรให้กับเกษตรกรในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ มีข้าราชการภายใต้เบื้องพระยุคคลบาทปฏิบัติหน้าที่ภายใต้ภารกิจที่รับผิดชอบในทุกระดับ คือ ส่วนกลาง (กรมฯ และ สำนักส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรเขต) สำนักงานเกษตรจังหวัด และสำนักงานเกษตรอำเภอ การทำงานของบุคลากรเหล่านี้ต่างต้องเชื่อมโยงสอดคล้องและสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน โดยมีนโยบายและแผนเป็นตัวกำหนดการปฏิบัติงานส่งเสริมการเกษตรโดยมี "การตรวจสอบและประเมินผล" เป็นเครื่องชี้วัดความสำเร็จในการทำงานของเจ้าหน้าที่กับเกษตรกรเป้าหมาย
เกษตรกร คือ กลุ่มเป้าหมายในการทำงานที่กรมส่งเสริมการเกษตรต้องดูแลและรับผิดชอบให้มีความมั่นคงทางด้านอาชีพ เศรษฐกิจ และสังคมจากการทำอาชีพการเกษตร ความสำเร็จในการทำงานส่งเสริมการเกษตรจึงขึ้นกับ “ผู้นำ” โดยเฉพาะผู้นำองค์กรในหน่วยงานส่งเสริมการเกษตรในระดับพื้นที่ที่อยู่ใกล้ชิดกับเกษตรกร คือ เกษตรจังหวัด เพราะสำนักงานเกษตรจังหวัด เป็นองค์กรที่ต้องดูแลสำนักงานเกษตรอำเภอในสังกัดระดับจังหวัดนั้น ๆ และ “สำนักงานเกษตรจังหวัด” ยังเป็นหน่วยงานปฏิบัติการที่สำคัญและจำเป็นต่อการแปลงนโยบายและแผนส่งเสริมการเกษตรไปสู่การปฏิบัติงานกับเกษตรกรให้ประสบผลสำเร็จในพื้นที่นั้น ๆ
เกษตรจังหวัด จึงเป็นสัญลักษณ์ของเกษตรกรในเรื่อง “การเกษตร” เพราะป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะการอนุมัติและจัดสรรโครงการให้เจ้าหน้าที่ไปส่งเสริมความรู้ให้กับเกษตรกรในการสนับสนุนการปฏิบัติงานต่าง ๆ ให้ถึงมือเกษตรกรและตรงเป้าหมายขององค์กร งบประมาณและโครงการต่าง ๆ จึงต้องผ่านความเห็นชอบและอนุมัติจากเกษตรจังหวัดก่อนปฏิบัติงานจริงในพื้นที่ภาคสนาม “เกษตรจังหวัด” จึงเป็นผู้นำที่มีบทบาทสำคัญทางด้านนโยบาย การวางแผน การบริหารจัดการ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ประสานงาน ผู้รับผิดชอบ และผู้ตรวจสอบควบคุมและกำกับการทำงานส่งเสริมการเกษตรของเจ้าหน้าที่กับเกษตรกรในระดับพื้นที่
จากการประมวลและสืบค้นข้อมูลโดยใช้วิธีการสนทนาแลกเปลี่ยนเนื้อหาสาระเกี่ยวกับ "สิ่งที่... ผู้นำ...จะต้องเกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์" นั้น สรุปได้ว่ามีด้วยกัน 3 เรื่อง คือ
1) ผู้ตาม
(Follower) เพราะผู้นำจะต้องเกี่ยวข้องกับผู้อื่น ได้แก่
สมาชิกในกลุ่มและผู้ตาม
ซึ่งบุคคลเหล่านี้จะต้องยอมรับผู้นำ
2) อำนาจ
(Power) เพราะผู้นำจะกระจายอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกันในสมาชิกกลุ่มและผู้ตาม
ตลอดจนเป็นผู้ที่มีอำนาจในการชี้ทิศทางของการดำเนินกิจกรรมของสมาชิก
ซึ่งสมาชิก ไม่มีอำนาจหน้าที่ในการชี้นำกิจกรรมของผู้นำ
3) อิทธิพล
(Influence) เพราะผู้นำจะมีอิทธิพลเหนือผู้ตามและสมาชิกกลุ่มในการดำเนินกิจกรรมต่าง
ๆ ของกลุ่มหรือองค์กร ซึ่งกลุ่มจะปฏิบัติตามด้วยความเต็มใจ
นอกจากนี้ ”ความเป็นผู้นำ” จะถูกกำหนดด้วย "ตำแหน่งในกลุ่ม" ได้แก่ การยอมรับของสมาชิกในกลุ่ม บุคลิกภาพ และการตัดสินในการดำเนินงานไปสู่เป้าหมายของกลุ่ม ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็น "ตัวชี้วัดความเป็นผู้นำ” โดยมีสมาชิกและผู้ตาม และสังคมเป็นผู้ประเมิน เช่นเดียวกันกับ “เกษตรจังหวัด” ที่เป็นผู้นำในงานส่งเสริมการเกษตรระดับพื้นที่ก็เช่นเดียวกัน
เมื่อทำการประเมินสถานการณ์และจัดประเภทแบบคร่าว ๆ เกี่ยวกับการทำหน้าที่และการปฏิบัติงานของเกษตรจังหวัดในปัจจุบันนั้นจะมีด้วยกัน 4 ประเภท คือ
ประเภทที่ 1 เป็นผู้บริหารจัดการ
พบว่า เกษตรจังหวัดส่วนใหญ่จะทำหน้าที่เป็นผู้บริหารจัดการ
งบประมาณและโครงการ ในลักษณะของ "การสั่งการ"
ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติ ซึ่งค่อนข้าง
จะใช้อำนาจ ออกจะเผด็จการ และสั่งให้ปฏิบัติตามมากกว่า
"สอนให้ปฏิบัติ"
ประเภทที่
2 เป็นนักวิชาการ พบว่า
เกษตรจังหวัดซึ่งมีน้อยมากที่จะทำหน้าที่เป็นนักวิชาการ "ที่สอนงานและสอนวิชาการ"
ให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งเกษตรจังหวัดลักษณะเช่นนี้อาจจะส่งผลให้เกิดปัญหาทางด้านการบริหาร เพราะในการปฏิบัติการจริงนั้น ถ้าผู้บริหารมุ่งแต่ทำงานวิชาการเพียงอย่างเดียวก็ย่อมส่งผลให้เกิดปัญหาทางด้านการบริหารงานได้
ประเภทที่ 3 เป็นนักผสมผสาน พบว่า
เกษตรจังหวัดมีค่อนข้างน้อยที่ทำหน้าที่เป็นทั้งนักบริหารจัดการและนักวิชาการควบคู่กันไป ซึ่งเกษตรจังหวัดในลักษณะเช่นนี้จะไม่ค่อยมี เพราะจะต้องเป็นเกษตรจังหวัดที่เหนื่อยมาก และต้องทุ่มเทแรงกายและแรงใจให้กับงานและส่วนรวม
คือ เกษตรกร
ดังนั้น ถ้างานส่งเสริมการเกษตรมีเกษตรจังหวัดลักษณะดังกล่าวค่อนข้างสูงก็ย่อมส่งผลให้งานส่งเสริมการเกษตรกับเกษตรกรประสบผลสำเร็จได้เพิ่มขึ้น
ประเภทที่ 4 เป็นนักตามหลัง พบว่า
เกษตรจังหวัดในลักษณะเช่นนี้มีค่อนข้างมากคือ
ทำงานแบบผักชีโรยหน้า รอให้งานมาถึงตัวก่อนแล้วจึงค่อยทำ
หนักไม่เอาเบาไม่สู้ เก่งในเรื่องการ
เข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ ทำงานแบบแบ่งพรรคแบ่งพวก
ไม่ค่อยมีความยุติธรรม
และจะไม่ค่อยนำหลักการมาใช้แต่จะใช้ความรู้สึกในการตัดสินใจเป็นหลัก
ซึ่งจะเป็นปัญหาหลักในการทำงาน
ส่งเสริมการเกษตรในระดับพื้นที่ให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาและเกษตรกร
โดยจะเห็นได้ว่า ถ้าผู้นำองค์กรในระดับจังหวัด คือ เกษตรจังหวัด ยังทำหน้าที่เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือ ไม่ทำงานในหน้าที่ที่รับผิดชอบได้ครบถ้วนและอย่างมีประสิทธิภาพนั้นย่อมส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงานส่งเสริมการเกษตรที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม เพราะในสภาวการณ์ปัจจุบันเกษตรกรจะเป็น "ผู้ประเมินผลและเป็นตัวชี้วัดการทำงานส่งเสริมการเกษตร" ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในทุกระดับได้ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า การทำงานส่งเสริม การเกษตรในระดับพื้นที่จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนและการดูแลอย่างใกล้ชิดจากผู้ที่เกี่ยวข้องในระดับเบื้องบน เช่น การสนับสนุนปัจจัยการผลิตที่สอดคล้องกับความต้องการและการพัฒนาบุคลากรให้สามารถปฏิบัติงานเป็นที่เรียกว่า "นักส่งเสริมฯมืออาชีพ" เป็นต้น โดยสิ่งเหล่านี้ควรจะสอดคล้องและสัมพันธ์กัน
อนาคตของงานส่งเสริมการเกษตรจะประสบผลสำเร็จหรือไม่กลไกสำคัญที่เป็นฟันเฟืองหลัก คือ “ผู้นำที่มีศักยภาพ” เป็นนักผสมผสานระหว่างนักบริหารกับนักวิชาการ และเป็นผู้นำที่ทำงานไปข้างหน้า (เชิงรุก) ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติตามหลัง (เชิงรับ) ตลอดจน “มาตรฐานของผู้นำ” ควรจะได้รับการพัฒนา กำหนด และปฏิบัติกันอย่างจริงจริง มิฉะนั้นอาจจะส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงานส่งเสริมการเกษตรของเจ้าหน้าที่ค่อนข้างสูง เพราะมีการตรวจสอบของสังคมโดยมีตัวชี้วัดอยู่ที่เกษตรกรที่เป็นผู้รับการบริการและเป็นลูกค้าโดยตรง..... แล้วเมื่อนั้น "เราจะอยู่กันได้อย่างไร".
ศิริวรรณ หวังดี เรียบเรียง
24 กุมภาพันธ์ 2549