การวิเคราะห์และการประเมินรายงานวิจัย
การลดอุบัติการณ์การเกิดแผลกดทับโดยการพัฒนาคุณภาพการพยาบาล
( Reduction of the Incidence of Pressure Sore by Improving Quality
of Nursing Care )
1. ชื่อเรื่อง
- สะท้อนเรื่องที่จะวิจัยชัดเจน
คือ การลดอุบัติการณ์การเกิดแผลกดทับโดยการพัฒนาคุณภาพการพยาบาล
-
เขียนได้อย่างกระชับชัดเจนทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษโดยเขียนเรียบเรียงประโยคในรูปประโยคบอกเล่า
และชื่อเรื่องมีความยาวไม่เกิน 2 บรรทัด
-
มีการระบุตัวแปรที่สำคัญ คือ ตัวแปรต้น คือ การพัฒนาคุณภาพการพยาบาล
ตัวแปรตามคือ การเกิดแผลกดทับ
-
ไม่มีการระบุประชากร
-
ไม่ได้ระบุสถานที่ที่จะศึกษา
-
ชื่อเรื่องสะท้อนแนวทางการศึกษาและการวิเคราะห์คือบ่งบอกว่าเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการเป็นการพัฒนาคุณภาพการพยาบาล
2. บทคัดย่อ
-
มีการกล่าวถึงความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
อย่างกระชับและชัดเจน บอกถึงวัตถุประสงค์
กลุ่มตัวอย่าง สถานที่ที่ทำวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การวัดและการวิเคราะห์
รวมทั้งผลการวิจัย
และให้ข้อเสนอแนะได้อย่างกระชับและชัดเจน
จำนวนคำและความยาวเหมาะสม อยู่ระหว่าง 200-300
คำ
ข้อเสนอแนะ
ความสำคัญของปัญหาในส่วนบทคัดย่อจะเน้นแผลกดทับเป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรคระบบประสาทและโรคของหลอดเลือดคือแผลกดทับเป็นภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญและพบบ่อยในผู้ป่วยที่เข้ารักษาในโรงพยาบาล
ซึ่งมักเกิดกับผู้ป่วยที่เคลื่อนไหวได้น้อย
แต่ควรกล่าวในภาพรวม
เนื่องจากกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยทุกรายที่เข้ารับการรักษาใน
12 หอผู้ป่วย
และควรเพิ่มเติมเกี่ยวกับรูปแบบการวิจัย เช่น
เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เป็นต้น
3. ปัญหาการวิจัย
3.1
ไม่มีการเขียนและกล่าวถึงปัญหาการวิจัยในส่วนเริ่มต้นหรือส่วนใดๆของรายงานไว้อย่างชัดเจน
แต่มีการกล่าวถึงปัญหาจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้องโดยเขียนเป็นประโยคบอกเล่า
เช่น
แผลกดทับเป็นภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญและพบบ่อยในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมักเกิดในผู้ป่วยที่เคลื่อนไหวได้น้อย
เนื่องจากเป็นอัมพาต หมดสติหรือสูญเสียการรับความรู้สึก
และการเกิดแผลกดทับเป็นปัญหาที่สามารถป้องกันได้
ถ้าการให้บริการด้านสุขภาพมีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนดไว้
นอกจากนี้ยังกล่าวถึงการเกิดแผลกดทับเป็นตัวหนึ่งที่ใช้เป็นตัวชี้วัดคุณภาพการพยาบาลในกระบวนการพัฒนาและรับรองคุณภาพของโรงพยาบาล
คณะผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาการพัฒนาคุณภาพการพยาบาล
เพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับและการดูแลผู้ป่วยที่มีผลกดทับ
3.2 มีข้อสนับสนุนความเป็นมาความสำคัญของปัญหา
เช่นดังที่กล่าวไว้ข้างต้นไม่ชัดเจน
แต่นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึงความรุนแรงของปัญหา คือ
ในประเทศไทย จากการศึกษาในโรงพยาบาลทั่วประเทศปี
พ.ศ. 2537 พบผู้ป่วยที่มีแผลกดทับร้อยละ 8.5
( Danchai vijitr, Suthisanon, Jitreecheue,
Tantiwatanapaibool, 1995 ) และในปี
พ.ศ. 2544 จากการศึกษาในโรงพยาบาลศิริราช
พบความชุกของแผลกดทับร้อยละ 4.9 ( ยุวดี
เกตุสัมพันธ์ และสุรีรัตน์ ช่วงสวัสดิ์ศักด์, 2544
) และในโรงพยาบาลมหานครเชียงใหม่ จากการศึกษาในปี
พ.ศ. 2541 พบความชุกของแผลกดทับสูงถึงร้อยละ
22.0 ( อภิชา โฆวินทะ และกัลยาณี
ยาวิละ, 2541 ) ใน พ.ศ. 2545
ความชุกของแผลกดทับลดลงเหลือร้อยละ 10.8
แต่ก็ยังอยู่ในระดับสูง ( วิจิตร ศรีสุพรรณ,
วิลาวัณย์ เสนารัตน์, ประทิน ไชยศรี,
สมหวัง ด่านชัยวิจิตร, วิลาวัณย์
พิเชียรเสถียร และ จิตตาภรณ์ จิตรีเชื้อ,
2545 )
3.3 มีการกล่าวถึงงานวิจัยอื่นที่เกี่ยวข้อง
และชี้ให้เห็นความเหมือนและแตกต่างจากงานวิจัยอื่น
3.4
มีการระบุตัวแปรและความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรยังไม่ชัดเจน
แต่มีการกล่าวไว้
3.5 มีการระบุธรรมชาติของประชากรที่ศึกษา
โดยภาพรวมคือ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการซับซ้อน
สถิติการรับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นต้น
3.6
มีการมองปัญหาภายใต้บริบทของแนวคิดตามภาพปัญหาที่เกิดขึ้น
ประสบการณ์ของผู้วิจัย และจากการทบทวนวรรณกรรม
ผนวกกับความต้องการพัฒนาคุณภาพในโรงพยาบาล
3.7 จากการศึกษาปัญหานี้คาดว่า
จะเป็นการพัฒนาคุณภาพการพยาบาลเพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับ
และการดูแลผู้ป่วยที่ทีแผลกดทับ
เพื่อลดผลกระทบที่เกิดจากการเกิดแผลกดทับทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
ลดจำนวนวันนอนโรงพยาบาล ลดโอกาสการติดเชื้อ
และค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยและโรงพยาบาล
นำไปสู่การกำหนดเป็นนโยบายในการปฏิบัติงานการพยาบาล
เพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับให้มีประสิทธิภาพ
4. วัตถุประสงค์ของการวิจัย
มีความเหมาะสมกับเรื่องที่วิจัย
เนื่องจากเพื่อพัฒนาคุณภาพการพยาบาลในการป้องกันและจัดการกับแผลกดทับ
มีการกำหนดวัตถุประสงค์ย่อย
วัตถุประสงค์เฉพาะว่าผู้วิจัยมีการหาปัจจัยที่เกี่ยวข้อง
กับการเกิดแผลกดทับ
หารูปแบบในการพัฒนาคุณภาพการพยาบาลเพื่อป้องกันและจัดการกับแผลกดทับ
ในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
แต่ในส่วนของการจัดทำคู่มือ
แนวทางการป้องกันและการจักกรผู้ป่วยที่มีแผลกดทับสำหรับบุคลากรทางการพยาบาล
และการจัดสื่อการสอน
เป็นกระบวนการขั้นตอนหรือกิจกรรมเพื่อให้ได้มาซึ่งรูปแบบในการพัฒนาคุณภาพการพยาบาล
5.
การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง
ไม่สามารถวิเคราะห์ได้โดยละเอียด
เนื่องจากไม่ใช่รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ ไม่มีในส่วนของการ
review of literature
แต่จากการศึกษาในรายละเอียดของบทความวิจัย
สามารถวิเคราะห์ได้อย่างคร่าวๆ ดังนี้
คือมีการใช้ข้อมูลจากงานวิจัยเป็นส่วนใหญ่
และแหล่งอ้างอิงส่วนใหญ่เป็นทุติยภูมิ เช่น
การศึกษาของ Bliss ใน ค.ศ. 2000
พบว่าแผลกดทับพบได้บ่อยในผู้ป่วยที่มีโรคระบบประสาท
โรคระบบเลือด และอุบัติการณ์ จะสูงตามอายุที่เพิ่มขึ้น
6. คำจำกัดความ
คำจำกัดความไม่สามารถวิเคราะห์วิจารณ์ได้
เนื่องจากไม่มีการระบุคำจำกัดความไว้
แต่การวิเคราะห์ในการให้คำจำกัดความหรือคำนิยามเชิงปฏิบัติการของตัวแปร
ต้องเขียนบนพื้นฐานของคำนิยามเชิงมโนทัศน์
(
Conceptual Definition )
มีความสอดคล้องกับขอบเขตการวิจัย
รวมทั้งสอดคล้องกับประชากรของงานวิจัย
นอกจากนี้ต้องมีการให้ความหมายตัวแปรสำคัญครบถ้วน
7. กรอบแนวคิดทฤษฎี
ไม่มีการระบุกรอบแนวคิดทฤษฎีที่ชัดเจน
แต่จากการศึกษาวิเคราะห์พบว่า
เป็นการระบุข้อความที่เป็นแนวความคิดโดยอธิบายถึงความสัมพันธ์ของตัวแปร
เช่น “การเกิดแผลกดทับเป็นปัญหาที่สามารถป้องกันได้
ถ้าการให้บริการสุขภาพที่มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนดไว้
สำหรับแนวทางการป้องกันการเกิดแผลกดทับประกอบด้วยการประเมินปัจจัยเสี่ยงการเกิดแผลกดทับในผู้ป่วย
การเฝ้าระวังการเกิดแผลกดทับตั้งแต่แรกรับจนถึงจำหน่ายออกจากโรงพยาบาล
การลดแรงกด แรงเสียดทาน และแรงเลื่อนไถล
การดูแลภาวะโภชนาการโดยเฉพาะการเพิ่มโปรตีนให้แก่ผู้ป่วย
การทำความสะอาดละการดูแลผิวหนังให้ชุ่มชื่น
ตลอดจนการออกกำลังกาย
รวมทั้งการให้ความรู้ในการป้องกันการดูแลแผลกดทับแก่ผู้ป่วย
ญาติและบุคลากรพยาบาลที่ปฏิบัติงานใหม่
ทั้งนี่พยาบาลต้องมีความรู้ความเข้าใจในการป้องกันและการดูแลจัดการแผลกดทับและการประเมินการเปลี่ยนแปลงของแผลกดทับอย่างถูกต้อง
ซึ่งเป็นแนวคิดที่เกิดจากการผสมผสานผลงานวิจัยจากการศึกษาและประสบการณ์ดูแลเฝ้าระวังแผลกดทับและให้ความสัมพันธ์ของการมีส่วนร่วม
เป็นต้น
8. สมมติฐาน
ไม่สามารถวิเคราะห์ได้
เนื่องจากไม่มีการระบุสมมติฐานไว้ในรายงายวิจัยฉบับที่ศึกษา
ข้อเสนอแนะ
ควรมีการระบุสมมติฐานเพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร
ในแต่ละสมมติฐานอาจมีการระบุทิศทางหรือไม่ระบุทิศทางของความสัมพันธ์
โดยพิจารณาจาก
-
แนวคิดหรือทฤษฏีที่ผู้วิจัยรวบรวมได้จากการทบทวนวรรณกรรม
หากมีแนวคิดทฤษฎีและผลการวิจัยที่มีเหตุผลเชิงวิชาการสนับสนุนควรระบุสมมติฐานแบบมีทิศทาง
แต่หากแนวคิดหรือทฤษฎียังไม่หนักแน่นเพียงพอควรระบุสมมติฐานแบบไม่มีทิศทาง
- ระดับมาตรวัดตัวแปร
หากตัวแปรต้นและตัวแปรตามมีค่าในมาตราวัด (
Interval Scale ) และมาตรวัด (
Ratio Scale)
และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรโดยหาค่าสหสัมพันธ์เพียร์สัน
นอกจากนี้มีแนวคิดทฤษฎีสนับสนุนทิศทางความสัมพันธ์ของตัวแปร
ในกรณีนี้ ให้ระบุสมมติฐานแบบมีทิศทาง
แต่หากตัวแปรต้นแลตัวแปรตามมีค่าในมาตรวัด (
Nominal Scale)
ซึ่งวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรโดยใช้สถิติไคสแควร์
ในกรณีนี้ให้ระบุสมมติฐานแบบไม่มีทิศทาง เช่น
ตัวแปรตันคือ ปัจจัยส่วนบุคคลซึ่งมีระดับการวัดเป็น
Nominal scale กับตัวแปรตาม คือ
การเกิดแผลกดทับ ซึ่งมีระดับการวัดเป็น Nominal
scale การทดสอบควรใช้ไคสแควร์
ฉะนั้นการระบบสมมติฐานก็ควรไม่ระบุทิศทาง
ข้อเสนอแนะ
ในกระบวนการเขียนวิจัยเชิงปฏิบัติการไม่จำเป็นต้องระบุ สมมติฐาน
9. แบบการวิจัย
9.1 แบบการวิจัยมีการระบุไว้ชัดเจน
เป็นวิจัยเชิงปฏิบัติการ เหตุผลในการเลือก คือ
เพื่อค้นหาวิธีการแก้ไขปัญหา ในการปฏิบัติ
เพื่อลดอุบัติการณ์ในการเกิดแผลกดทับและพัฒนาคุณภาพการพยาบาล
9.2
แบบการวิจัยมีความสอดคล้องกับปัญหาและวัตถุประสงค์
เนื่องจากแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการช่วยลดช่องว่างระหว่างทฤษฎี
และการปฏิบัติไว้ด้วยกัน ตามปัญหาและวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้
9.3 การทำวิจัย การวิเคราะห์ข้อมูล
เป็นไปตามลักษณะของแบบวิจัย
9.4 มีการควบคุมสิ่งคุกคามแบบวิจัย คือ
9.4.1
ความตรงภายใน
มีความตรงภายใน เนื่องจากมีการจัดประชุมระหว่างทีมวิจัย
และพยาบาลผู้ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วย
เพื่อพิจารณาคู่มือการป้องกัน และการจัดการแผลกดทับร่วมกัน
ข้อเสนอแนะ
เครื่องมือที่ใช้ในการจัดทำขึ้นในส่วนของแบบเฝ้าระวังและคู่มือการป้องกันและการจัดการการเกิดแผลกดทับการวิจัยควรมีการนำมาหาความเชื่อมั่นหรือให้ผู้ทรงคุณวุฒิได้ตรวจสอบซึ่งในงานวิจัยไม่ได้ระบุไว้ชัดเจน
9.4.2
ความตรงภายนอก
ผลการวิจัยสามารถนำไปอ้างอิงได้ยังประชากรกลุ่มอื่นได้
วิธีการเลือกตัวอย่างคือ เลือกผู้ป่วยทั้งหมด
คือผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่
รวมทั้งประสบการณ์ของเจ้าหน้าที่พยาบาลบนหอผู้ป่วย 12
แห่ง มีปฏิสัมพันธ์กับการดำเนินการวิจัย คือ
ตั้งแต่ระยะเตรียมการ การรวบรวมข้อมูล
ขั้นดำเนินการ
และการประเมินคุณภาพการปฏิบัติเพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับ
10. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
10.1 กลุ่มประชากร มีการระบุคือ
ผู้ป่วยที่รับรักษาในโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่
10.2 ตัวอย่างเป็นตัวแทนของประชากร คือ
กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยทุกรายที่รับไว้รักษาในหอผู้ป่วย
12 แห่ง
ของโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับ
จำนวน 1,201 ราย
10.3 มีการได้มาซึ่งตัวอย่าง ชัดเจน
เหมาะสมกับแบบการวิจัยในเชิงปฏิบัติการ
10.4 ขนาดตัวอย่าง เพียงพอ
10.5 ไม่ได้ระบุถึงการเซนต์ยินยอม
แต่มีการกล่าวถึงการพิทักษ์สิทธ์แก่ตัวอย่างวิจัย คือ
ตัวอย่างวิจัยมีความสมัครใจเข้าร่วมโครงการ
แต่คาดว่ามีการเซนต์ยินยอมในการวิจัย
11. เครื่องมือการวิจัย
11.1 มีการระบุเครื่องมือ คือ
แบบเฝ้าระวังการเกิดแผลกดทับในโรงพยาบาล
และคู่มือการป้องกันการเกิดแผลกดทับ
แหล่งที่มาอาศัยเอกสารที่เกี่ยวข้องและจากประสบการณ์ในการดูแลแผลกดทับ
วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพการพยาบาลป้องกันและดูแลผู้ป่วยที่มีแผลกดทับ
จุดแข็งคือเครื่องมือในการวิจัยมีความครอบคลุมตามวัตถุประสงค์
การให้เหตุผลเรื่องการเลือดเครื่องมือเพื่อให้ตรงกับงานวิจัย
กลุ่มตัวอย่าง
และพัฒนาคุณภาพการพยาบาลในการป้องกันและการจัดการกับแผลกดทับ
11.2 เครื่องมือที่ใช้เหมาะสมกับตัวแปรที่ศึกษา
11.3
มีวิธีการใช้เครื่องมือกับตัวอย่างทุกคนเหมือนกัน
11.4 ไม่มีรายงานความตรงของเครื่องมือ
11.5
มีการตรวจสอบหาความเชื่อมั่นแต่ไม่ได้ระบุความเชื่อมั่น
11.6 ผู้วิจัยได้สร้างเครื่องมือขึ้นเอง
มีการอธิบายที่มาคือ
มาจากแบบประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับของ Braden
scale โดยมีแนวคิดจากการทบทวนวรรณกรรม
และจากประสบการณ์การดูแลผู้ป่วยแผลกดทับ
ข้อเสนอแนะ เครื่องมือ
ใช้เครื่องมือมาตรฐานแต่ควรเน้นถึงการใช้เครื่องมือ
และการอบรมของผู้ใช้เพื่อให้เข้าใจเช่น Stage ของ Bed Sore
ตรงกันและต้องมี Guideline ประกอบ
12. วิธีการรวบรวมข้อมูล
12.1 การรวบรวมข้อมูลคือ มีการรวบรวมข้อมูล 3
วิธี คือการสัมภาษณ์ การใช้แบบสอบถาม
และการสังเกต
12.2 วิธีเก็บรวบรวมข้อมูล
มีความเหมาะสมกับการวิจัยคือ
เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการซึ่งมีจุดเน้นที่การมีส่วนร่วมของผู้ปฏิบัติ
ซึ่งการปฏิบัติถือเป็นส่วนที่สำคัญมากก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจึงต้องวางแผนให้รอบคอบ
การรวบรวมข้อมูลโดยวิธีที่หลากหลายทำให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่ครอบคลุมและครบถ้วน
12.3
มีขั้นตอนการรวบรวมข้อมูลที่ค่อนข้างชัดเจนสำหรับตัวอย่างทุกคน
12.4 ผู้รวบรวมข้อมูล
คือบุคลากรของหอผู้ป่วยที่เข้าร่วมโครงการวิจัย
โดยมีการจัดประชุมฝึกอบรมก่อนจะมีการเก็บรวบรวมข้อมูลเกิดขึ้น
12.5
ข้อมูลถูกรวบรวมในสถานการณ์ปกติของการดูแลผู้ป่วยในหอผู้ป่วยที่เข้าร่วมโครงการวิจัย
โดยเพิ่มแนวทางปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยตามคู่มือการป้องกันและการดูแลแผลกดทับ
ซึ่งผู้ให้ข้อมูลไม่มีการระบุความกดดันมีความเสี่ยงในการให้ข้อมูลหรือไม่
13. การวิเคราะห์ข้อมูล
-
เลือกใช้สถิติได้เหมาะสมกับระดับข้อมูลประชากร
-
การวิเคราะห์ข้อมูลสามารถตอบวัตถุประสงค์ / ทดสอบสมมติฐานครบถ้วน
-
มีการนำเสนอข้อมูลที่ชัดเจน แต่นำเสนอในรูปแบบตารางและพรรณนา
-
ในการทดสอบสมมติฐานมีการกำหนดระดับความมีนัยสำคัญที่ระดับความเชื่อมั่น.05
และ .001
-
การนำเสนอข้อมูลโดยใช้ตาราง มีลักษณะการนำเสนอที่เหมาะสม
-
14. การอภิปรายผลและการสรุป
-
มีการอภิปรายผลโดยแสดงเหตุผลของผลการวิจัยว่าหลังจากพัฒนาคุณภาพการพยาบาลและดำเนินการป้องกัน
และการดูแลแผลกดทับพบว่าอัตราการเกิดแผลกดทับลดลง
ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาผลของการใช้โปแกรมการลดการเกิดแผลกดทับในหอผู้ป่วยป่วยหนักโรงพยาบาลหาดใหญ่(
สาลี บุญศรีรัตน์ ,เพชรน้อย สิงห์ช่างชัย และนฤมล อนุมาศ,2544)
-
มีการนำผลการวิจัยอื่นแนวคิดทฤษฏีที่อ้างไว้มาประกอบการอภิปรายผล
-
การอภิปรายผลสะท้อนให้เห็นว่าผลการวิจัยเป็นไปตามที่คาดหวังดังเช่นที่กล่าวมาข้างต้นและอุบัติการณ์ณ์การเกิดแผลกดทับลดลงหลังจากดำเนินการป้องกันและดูแลแผลกดทับโดยมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น
.01ซึ่งแสดงประสิทธิผลของกิจกรรมในการดำเนินการและดูแลแผลกดทับ
-
มีการสรุปผลการวิจัยที่ชัดเจน
-
ไม่ได้ระบุจุดอ่อน / ข้อจำกัดของการวิจัยนี้
-
15. ข้อบ่งชี้ ข้อเสนอแนะ
-
มีการเสนอข้อบ่งชี้ในการนำผลการวิจัยไปใช้ในทางคลินิกเพื่อการนำผลการวิจัยไปใช้ในด้านการปฏิบัติการพยาบาล
ด้านบริหารการพยาบาล
-
ควรศึกษาอุบัติการณ์การเกิดแผลกดทับก่อนและหลังการใช้รูปแบบการพยาบาลอย่างขว้างขวางในทุกกลุ่มผู้ป่วยในโรงพยาบาล
-
16. เอกสารอ้างอิง / บรรณานุกรม
-
เอกสารอ้างอิงหรือบรรณานุกรมครอบคลุมเอกสารที่อ้างอิงในส่วนเนื้อหาต่างๆ
-
เขียนรูปแบบที่กำหนดของแบบอ้างอิงตามรูปแบบของ APA Format
17. อื่นๆ
- เขียนกระชับ
ชัดเจน เป็นระบบ เขียนถูกตามหลักภาษา รูปประโยค วรรคตอน
และเขียนเชิงวิชาการตามรูปแบบของ APA Format
-
ตีพิมพ์วารสารเป็นที่ยอมรับได้แก่ พยาบาลสารปีที่ 31 ฉบับที่ 4
ต.ค.-ธ.ค.2547
-
ผู้วิจัยเป็นผู้มีความรู้
ประสบการณ์ในเรื่องที่วิจัยเพราะทำการวิจัยเป็นหมู่คณะและได้รับทุนอุดหนุนจากมหาวิทยาลัยมหิดล
จุดเด่น
-
การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนอยู่ในระดับ Practical knowledge
-
เหมาะกับการปรับปรุงคุณภาพ การร่วมมือในการแก้ไขปัญหา
จุดด้อย
- ขาดการมองในแง่ของกระบวนการนำไปสู่ความสำเร็จ
ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคเพื่อจะได้เห็นภาพว่ามีการนำไปใช้ปฏิบัติต่อไปมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง
ไม่มีความเห็น