ตัวชี้วัด - ทำไมต้อง "ชี้" ทำไมต้อง "วัด"


ถ้าไม่จำเป็นต้องกำหนดทิศทาง ...ไม่จำเป็นต้องตั้งเป้าหมาย ...สามารถเดินไปได้เรื่อยๆ...เหนื่อยก็พัก...นึกอยากจะไปทางไหนก็ไป...ถ้าหากเป็นเช่นนั้นได้ ก็คงไม่จำเป็นต้องมี "ตัวชี้วัด" ใดๆ มาทำให้ "รำคาญใจ" หรอกครับ

     อย่าเข้าใจผิด คิดว่าผม "IN" กับเรื่องตัวชี้วัดนะครับ เพราะตัวชี้วัดหลายๆ ตัวที่ใช้กันอยู่ทั่วไปในองค์กรนั้น ผมกลับรู้สึกว่า "ไม่จำเป็น" เลย ตัวชี้วัด หรือ KPI ที่ไม่จำเป็นเหล่านี้นอกจากจะมา "รัดคอ" ผู้ปฏิบัติงานแล้ว บางทียังเป็นการ "ประจาน" ผู้บริหารอีกด้วย...ทำให้เห็นว่าผู้บริหาร "ขาดภาวะผู้นำ" ไม่สามารถสร้าง "แรงบันดาลใจ" ไม่สามารถพาคนไปสู่  "วิสัยทัศน์" ที่วางไว้ได้  จึงต้องมาอาศัย KPI หรือใช้ตัวชี้วัดนี้เป็นเครื่องมือ ตัวชี้วัดกลายเป็นรูปแบบหนึ่งของ "การบังคับและควบคุม" หรือ "Command & Control" นั่นเอง (ผมเคยเขียนเรื่องนี้ไว้เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 48 ที่ http://intuitionflow.blogspot.com/2005/04/c-and-c.html ครับ)

     ถ้าเป็นเช่นนี้แสดงว่า ไม่ควรจะมีตัวชี้วัด กระนั้นหรือ? .....เปล่าครับ.....ผมไม่ได้หมายความเช่นนั้น! ข้อสำคัญเราต้องตั้งคำถามก่อนว่า การเดินไปตามทิศทางที่กำหนดนั้น สำคัญต่อเราหรือไม่? หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเรื่อง "ประสิทธิผล" นั้นสำคัญสำหรับเราหรือเปล่า? ถ้าคำตอบออกมาว่า "ไม่" ...ไม่จำเป็นต้องกำหนดทิศทาง ...ไม่จำเป็นต้องตั้งเป้าหมาย ...สามารถเดินไปได้เรื่อยๆ...เหนื่อยก็พัก...นึกอยากจะไปทางไหนก็ไป.....ถ้าหากเป็นเช่นนั้นได้ ก็คงไม่จำเป็นต้องมีตัวชี้วัดใดๆ มาทำให้ "รำคาญใจ" หรอกครับ

     แต่สำหรับการทำงานที่ต้องมีเป้าหมาย มีวัตถุประสงค์ มีวิสัยทัศน์ มีพันธกิจ การกำหนดตัวชี้วัด (เฉพาะเท่าที่จำเป็น) นั้นถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ จะได้ช่วยชี้ว่า "ที่เราเดินมานั้น ...มาถูกทางหรือไม่?" มันก็เหมือนกับระบบ Navigator ในเรือหรือเครื่องบินนั่นแหละครับ...มันเป็นเครื่องมือเที่บอกให้เราทราบว่า ...เราเดินมาถูกทางหรือไม่ หรือเพื่อตรวจดูให้แน่ใจว่าสิ่งที่เราทำอยู่นี้มี "ประสิทธิผล" เพียงใด? จะได้ไม่ตกกับดัก "Just Being Busy" คือพอเห็นว่าตัวเองยุ่งๆ แล้วก็รู้สึกดี อะไรทำนองนี้แหละครับ

     สำหรับเรื่องการวัดนั้น เทคนิคการบริหารงานสมัยใหม่ มักจะนิยมใช้การ "วัด" ค่อนข้างมาก จนถึงขั้นที่พูดกันจนติดปากว่า "If you cannot measure, you cannot manage" หรือ "ถ้าวัดไม่ได้ก็บริหารไม่ได้" ซึ่งผมมักจะเสริมต่อท้ายเสมอว่า "เราไม่สามารถวัดได้ทุกอย่าง" และนี่คือเหตุผลที่เราต้องใช้ภาวะผู้นำ (ผมเคยเขียนเรื่องนี้ไว้เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 48 ลองคลิ๊กดูได้ที่ http://intuitionflow.blogspot.com/2005/06/blog-post_13.html 

     สรุปก็คือเราไม่สามารถใช้ Management  ได้ในทุกเรื่อง  หลายๆ เรื่องเป็นสิ่งที่ต้องใช้ Leadership ...ผู้บริหารที่เชี่ยวชาญต้องสามารถผสมผสานใช้ทั้ง Management และ Leadership เพื่อจะได้จัดการกับสิ่งที่วัดได้ และสิ่งที่วัดไม่ได้ อะไรที่จำเป็นต้องใช้การวัด ...วัดแล้วได้ประโยชน์ ก็ต้องวัดกันต่อไป (เช่น เรื่องสุขภาพ ต้องวัดระดับน้ำตาลในเลือด วัดความดันโลหิต) แต่ถ้าหากการวัดนั้นๆ ไม่ได้ช่วยอะไร ก็คงต้องเอามันออกไปจากชีวิตเรา...ผมเคยพูดเตือนเรื่องนี้ไว้ในหลายๆ ที่ ว่า ถ้าไม่รู้อย่า "วัด" ถ้าไม่ชัดอย่า "ชี้" ครับ

คำสำคัญ (Tags): #uncategorized
หมายเลขบันทึก: 16543เขียนเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2006 06:18 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 19:16 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (27)

เห็นด้วยกับอาจารย์ค่ะ   ที่ทำงานมีตัวชี้วัดหลายตัวที่ได้เป้าหมายแล้วแต่พอมาดูที่ประสิทธิผลก็ได้ไม่ดีที่ควร

                                      อัจฉรา

ไม่รู้ว่าว่างมากหรือไงถึงได้คิดทำสิ่งนี้ขึ้นมาทั้งที่บุคลากรในหน่วยงานมีน้อยครูที่จะสอนเด็กก็ไม่มี ตำรวจที่จะมาทำงานบริการประชาชนก็ไม่ว่างเพราะมัวแต่ไปทำตัวชี้วัดกันอยู่ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องเลยที่จะมาเอาข้อมูลของทุกหน่วยงานซึ่งได้เมคขึ้น เชื่อว่าไม่มีใครเขาทำจริงๆหรอกนอกจากสร้างภาพขึ้นมาแล้วก็ส่งไปให้ทำให้เปลืองงบประมาณเปล่าๆไม่มีประโยชน์อะไรเลย สงสัยจังว่าคนที่คิดทำตัวชี้วัดคงว่างมากหรืออยากได้งบประมาณมาถลุงเล่นน่าจะลงมาเป็นผู้ปฏิบัติดูบ้างนะครับจะได้รู้ว่าไม่มีทางที่จะเป็นจริงได้เลย
เห็นด้วย ที่ว่า โรงเรียนไหนๆก็วุ่นวายเพราะตัวชี้วัด และตัวมาตรฐาน ที่นักเรียน แต่ละโรงเรียน อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ มากกว่าครึ่งโรงเรียนก็ไม่ใช่เพราะอะไรหรอก ก็เพราะครูไม่มีเวลาสอน มัวแต่ทำเอกสารไว้หลอกคนที่จะไปตรวจ ผอ.ก็ไปแต่ประชุม ไปประชุมบ่อยๆ ก็มีเมียน้อยแข่งขันกัน ไปๆ มาๆ ไม่รู้อะไรคือจุดมุ่งหมาย อะไรคือคุณภาพ เลิกวัดกันได้แล้ว ครูจะมีเวลาสอนนักเรียนจ้า
คิดใหม่ทำใหม่กันเถอะ  สำหรับคนรุ่นใหม่(แม้เราจะเกิน 40 ) จะทำงานต้องมีเป้า  ไม่งั้นจะทราบได้อยากไรว่าเราทำสำเร็จหรือเปล่าว  ต้องแก้ไขหรือพัฒนาอะไร  แต่เป้านั้นต้องไปให้ถึงและตั้งให้ตรงกับงาน  และต้องตั้งให้ท้าทาย  ที่สำคัญถ้าผู้ปฏิบัติไม่พยายามตั้งเองหรือทำความเข้าใจเราก็ไม่สามารถพัฒนาให้ถึงตัวชี้วัดนั้นได้  สรุป  เห็นด้วยที่ต้องทำงานให้มีตัวชี้วัด
ร.ต.ต.พงษ์เทพ กองทิพย์

ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการเรื่องตัวชี้วัดบอกตรงๆมั่วมาก ตัวชี้วัดบางตัวไม่สามารถวัดได้แต่ก็ยังดันทุรังไปจดคำรับรอง ให้กำหนดนำหนัก เป้าประสงค์อะไรอีกมากมาย นักวิชาการว่างงานมากหรือไง ก่อนจะกำหนดให้หน่วยงานทำอะไรน่าจะสำรวจความพร้อมขององค์กรเสียก่อน นโยบายที่ดีควรสนองได้ทั้งบุคคลในองค์กรและมีประโยชน์กับบุคคลนอกองค์กร ไม่ใช่กฎหมายกำหนดให้ทำก็ทำไม่รู้เลยว่าบุคคลากรในองค์กรพร้อมหรือไม่ ตัวชี้วัดมีมากก็ใช่ว่าองค์กรจะพัฒนา มีมากเวลาก็ใช้ไปกับการทำข้อมูลเก็บข้อมูล คนที่ทำตัวชี้วัดจริงๆก็เป็นแค่เจ้าหน้าที่หาคนที่มีความรู้จริงไม่มี คู่มือก็เขียนอ่านรู้เรื่องเฉพาะคนเขียนเข้าใจอยู่คนเดียว เครียดมากกับตัวชี้วัด ถ้าไม่ติดลูกกำลังเรียนหนังสือคงลาออกไปทำไร่ไถนาดีกว่า

ฟังที่ท่านเขียนกันมา . . . น่าเห็นใจอย่างยิ่ง . . . ผมคิดไม่ได้แตกต่างจากท่านเท่าใดนัก . . . คิดตลอดเวลาว่า "น่าจะมีวิธีที่ดีกว่าที่ทำกันอยู่นี้" . . . ลองคิดกันดูซิครับ

เกิดอาชีพใหม่ คืออาชีพรับจ้างทำรายงานตัวชี้วัด นครบาลจ่ายไป 5 ล้าน ก็ผลักภาระไปให้ ผู้ประกอบการในพื้นที่

ปกติทำงานตามนโยบายรายเดือนที่สั่งให้ทำก้อแย่แล้ว  นี่ยังหางานมาเพิ่มให้อีก ยังงัยซะการจัดเก็บข้อมูลหรือตัวชี้วัดระดับความสำเร็จก็ไม่พ้นจนท.ผู้ปฎิบัติหรอก..ทำไปก็ไม่เห็นจะพัฒนาอะไรไปมากกว่านี้หรอก รู้มั้ยคนทำงานมันเครียดนะ...จ้าวนายยยๆๆๆ

เห็นด้วยกับอาจารย์ เวลาทำงานเเต่ละวันก็ทำกันไม่ทัน ยังให้ไปคิดตัวชี้วัดในกาทำงาน คนที่คิดส่วนมากไม่ได้ทำว่างมาก พวกนี้เเต่งหนังสือเก่ง ถามว่ามองเห็นภาพไหม เหมือนงมเข็มในทะเลนั้นเเหละ

ต้องพยายามใช้ประโยชน์จากตัวชี้วัด . . . ต้องพยายามกำหนดตัวชี้วัดที่เป็นประโยชน์ ครับ

ตัวชี่วัดเช่นอะไรบ้างอยากรู้จัง

ประเทศ ไทยมันถึงไม่พัฒนาไง มัวแต่ดูตัวเลข มัวแต่ดู ข้อมูล

ขอไว้อาลัยให้กับ ขรก.ไทย

เห็นด้วยกับทุกท่านค่ะ

ที่ทำงานดิฉัน ซึ่งเป็นหน่วยงานราชการก็ต้องทำตัวชี้วัดสารพัดแบบ อย่างหนึ่งคือของ กพร. ที่เป็นมิติต่างๆ เห็นด้วยกับทุกท่านว่าเป็นการเพิ่มงานและเสียเวลามาก บอกได้เลยว่าแต่ละคนก็ทำโอละพ่อ โอละแม่ กันไป เหมือนหลอกตัวเอง อยากให้มีคณะกรรมการใช่มั้ย ก็ตั้งขึ้นมา 1 คน 2 คน ไม่แน่ใจว่า มีการเปิดให้หน่วยงานราชการประเมิน กพร.และประเมินบริษัททริสบ้างหรือไม่

นอกจากนั้น ไม่คิดว่าพนักงานบริษัททริสจะมีวัยวุฒิ คุณวุฒิ และวุฒิภาวะพอที่จะมาให้คำปรึกษา เพราะไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจอะไรเลยเกี่ยวกับลักษณะงานของหน่วยงานนั้นๆ พนักงานพวกนี้ เป็นใครกันคะอาจารย์ แถมยังไม่ได้อ่านรายงานที่ส่งไปให้ด้วยซ้ำ เพราะมาขอเอกสารซ้ำๆ ทั้งๆ ที่อยู่ในรายงานหมดแล้ว พออธิบายว่ามีแล้วในรายงาน พนักงานก็แสดงอาการไม่พอใจ ขึ้นเสียงว่าจะขออีกได้มั้ยคะๆๆๆ พอเปิดให้ดูรายงานในมือคุณน่ะมีอยู่แล้ว หน้านี้ไง พนักงานก็ถูไถไปว่า อ๋อ ค่ะๆ มองไม่เห็น แถมมาพูดอีกว่า อ่านมาแล้วค่ะ ถามได้นะคะๆ ยิ่งแก้ตัวเป็นพัลวันแบบนี้ ยิ่งทำให้แน่ใจว่าไม่ได้อ่านรายงานมา อนาถใจกับบริษัทนี้จริงๆ เสียเวลาที่จำใจต้องปลีกเวลางานมานั่งประชุมกับคนพวกนี้

เห็นด้วยกับอาจารย์และทุกท่านว่า ตัวชี้วัดก็คงจะมีแง่ดีน่ะค่ะ ถ้าใช้แต่ที่จำเป็น แต่ที่แน่ๆ คงไม่ใช่รูปแบบที่พวกเราจำต้องทำกันอยู่แบบนี้

โชคดีของดิฉันที่หลุดออกมาจากเรื่องนี้ได้แล้ว และขออย่าเจอะเจอกันอีก

ขอบคุณอาจารย์ที่มีสถานที่ให้แสดงความคิดเห็นค่ะ

ถ้าอ่านข้อความของอาจารย์ดีๆ ก็จะรู้ว่าควรทำหรือไม่ควรทำตัวชี้วัด ทุกสิ่งจะมีข้อดีและข้อเสียในตัวของมันเอง เราควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์

เห็นด้วยกับหลายๆท่านครับ ท่านอาจารย์ครับขอแบ่งบันเรื่องราวด้วยคน การออกแบบ KPI ที่สอนที่ทำกันมาเป็น KPI แบบงูๆปลาครับ ผมขออนุญาต เล่าเรื่องเดียวกันนี้ที่เคยเขียนมาก่อนครับ เพราะ KPI ที่ทำกันมาจำนวนมาก เป็น Kill People Definitely คือ "ตายหยังเขียดครับ" พร้อมเสนอทางออกครับ

http://gotoknow.org/blog/aithailand/318318

ด้วยความเคารพครับ

ถ้าทำงานที่มีอยู่เต็มมือแล้ว..ไม่ได้ทำตัวชี้วัดส่ง..จะถูกงดขั้นเงินเดือนหรือป่าว..เซ็งมากเลย

อาจารย์ที่เรามาเขียนข้อความอยู่ตรงเนี้ย..คนที่คิดให้ทำเขาจะรับรู้หรือป่าว..ว่าข้าราชการส่วนมากไม่ชอบใจเวรกรรมจริงๆ

โปรดให้คนคิดรับทราบด้วยว่าเปลืองงบประมาณหลวงจริงๆ แต่งหน้ามาหลอกก้อไม่มีทางรู้หลอก..คนทำงานมานานแทบจะเกษียณอยากจะออกให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย..ไม่มีงานทำหรืองัยได้แต่คิดให้คนอื่นทำ

ผมพูดเรื่อง "ตัวชี้วัด KM" ไว้ที่ http://gotoknow.org/blog/beyondkm/328305

เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งเลยค่ะ เพราะงานที่น่าจะเสร็จทันเวลา และทำไปด้วยความต่อเนื่อง แต่พอมีตัวชี้วัดมา ทำให้ต้องวางมือจากงานประจำมาทำรายงานตัวชี้วัด งานประจำที่ปกติเดินไปอย่างราบรื่น แต่ขณะนี้เป็นดินพอกหางหมูไปแล้ว ระดับหัวหน้าก็ประชุมตลอด ไม่น่ามีเลยจริง ๆ ค่ะ

ตัวชี้วัดไม่มีประโยชน์สำหรับหน่วยงาน ถ้าจะให้มีก็มีน้อยมาก

เครื่องอำนวยความสะดวก

คิดว่าบางที ปัญหา อาจไม่ได้อยู่ที่ ตัวชี้วัด แต่เป็นเพราะต้องให้เวลาในการทำ และ ทำความเข้าใจ .. . รึเปล่าคะ

เอาใจช่วยคุณครูทุกท่านเพราะยังเล็งเห็นข้อดีจากตัวชี้วัดอยู่ค่ะ

สู้ สู้ นะคะ โรงเรียนปิดแล้วพอมีเวลาค่า... ( ^ .. ^ )

เรือนจำฯ ก็วุ่นวายทำตัวชี้วัด จนไม่ค่อยมีเวลาไปควบคุมฯ พัฒนาผู้ต้องขัง ได้ดีเท่าที่ควร เพราะมัวแต่ทำเอกสาร ส่ง ทำตัวชี้วัดไหนจะประเมินสมรรถนะ 360 องศา อีก กระดาษแต่ละคนไม่รู้ใช้ไปกี่แผ่น เหนื่อยงานอื่น มาเหนื่อยงานนี้อีก เมื่อไรจะถูกรางวัลที่ 1 เนี่ย

ทุกอย่างก็มีทั้งคุณและโทษ ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดดีกว่า

เห็นด้วยอย่างยิ่ง ทำไมต้องมีตัวชี้วัด รับผิดชอบให้ดีที่สุดก็เพียงพอ ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง จะมีเวลาที่ไหนไปทำเรื่องตัวชี้วัด

เห็นด้วยว่า...มีมาทำไม ... วุฒิม.3 มาทำตัวชี้วัด แถมยังมิติต่างๆอีก..

เอาแต่ประสิทธิภาพ ไม่ต้องไปดูแลความทุกข์สุขประชาชน

มานั่งชี้วัด ตามเจ้านาย.....

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท