เล่าเรื่อง...สวัสดิการชุมชนพึ่งตนเอง


ในแวดวงวิชาการด้านสวัสดิการสังคมก็มีความพยายามที่จะทำให้การขยายงานด้านสวัสดิการสังคมให้ครอบคลุมกว้างขวางตามลักษณะของปัญหาที่ซับซ้อนขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจและสังคมให้งานสวัสดิการสังคมครอบคลุม 3 ด้าน คือ การสังคมสงเคราะห์ การประกันสังคม และการบริการสังคม

            เมื่อคืนนี้ผู้วิจัยขึ้นรถจากจังหวัดลำปางช่วง 20.00น.  กว่าจะมาถึงบ้านพักก็เกือบ 06.00น. หลังจากนั้นนอนพักนิดหน่อย  แล้วก็เดินทางไปร่วมงานสัมมนา “สรุปโครงการ CDP-SP II” (CDP-SP II Closing Workshop)  ที่ห้องประชุมวอเตอร์เกท  บอลรูม B,C  ชั้น 6  โรงแรม  อมารีวอเตอร์เกท  ประตูน้ำ  กรุงเทพฯ  (ต้องขอขอบพระคุณคุณสุวัฒนา  ศรีภิรมย์  ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในเรื่องหนังสือเชิญประชุมให้กับผู้วิจัยและอาจารย์พิมพ์ค่ะ)
            มางานวันนี้ได้รับความรู้มากมาย  แม้ว่าบางเรื่องจะฟังไม่ค่อยเข้าใจเพราะ  ไม่ได้ศึกษาด้านนี้มาก่อน  แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ  เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นประโยชน์กับผู้วิจัยกับอาจารย์พิมพ์มาก  สงสัยว่าเปิดเทอมหน้าคงไม่ต้องเตรียมสอนมาก (โดยเฉพาะอาจารย์พิมพ์)  เนื่องจากการฟังในวันนี้เป็นสิ่งที่สามารถเอาไปสอนนักศึกษาได้เลย  ข้อมูลแม้จะไม่ละเอียดมาก  (เพราะ  เป็นการสรุป)  แต่พวกเราก็พอจะรู้เรื่อง  ยอมรับว่าตอนเดินเข้าไปในงาน  ผู้วิจัยงงเลย  เพราะ  ตอนแรกคิดว่าคงมีคนเข้าร่วมไม่มาก  ที่ไหนได้คนเข้าร่วมเต็มเลยค่ะ  แถมยังหน้าไม่คุ้นอีกด้วย  ตั้งแต่ไปร่วมงานประชุม  สัมมนามา  ไม่มีงานไหนเลยที่ผู้วิจัยจะรู้สึกเอ๋อเช่นนี้  มองไปทางไหน  มีแต่คนที่ไม่รู้จัก  พยายามมองหาคุณสุวัฒนาอยู่นาน  แต่มองยังไงก็ไม่พบ  ทราบภายหลัง (ตอนรับประทานอาหารเที่ยง) ว่าคุณสุวัฒนาไปราชการต่างประเทศ  (บังเอิญอาจารย์พิมพ์ได้พบคุณแจ๊ด  ซึ่งทำงานกับคุณสุวัฒนา  ก็เลยได้ทราบจากคุณแจ๊ดว่าคุณสุวัฒนาไปไหน)  สำหรับเนื้อหาของการสัมมนาถ้ามีเวลาว่าง (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะว่างเมื่อไหร่) จะเอามาเล่าให้ฟังนะคะ
            ตามที่สัญญากับตัวเองและผู้เข้ามาอ่านบันทึกว่าจะศึกษาเอกสาร  หนังสือเกี่ยวกับการจัดการความรู้ทุกวัน  แล้วจะเอามาเล่าให้ฟัง  ในอาทิตย์นี้ผู้วิจัยได้หนังสือดีมา 1 เล่ม มีชื่อว่า “Systems Thinking วิธีคิดกระบวนระบบ”  ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับการจัดการความรู้หรือเปล่า  (ตอนนี้อ่านมาได้ 3-4 วันแล้วก็ยังไม่รู้ว่าเกี่ยวหรือเปล่า  แต่ผู้วิจัยรู้สึกว่าเกี่ยว)  แค่เห็นชื่อหนังสือก็อยากอ่านแล้ว (แต่ตั้งแต่อ่านมาก็ยังใม่ค่อยเข้าใจเลย  รู้สึกว่าเป็นหนังสือที่อ่านยากเล่มหนึ่ง  ความจริงอาจอ่านมายากก็ได้  แต่ผู้วิจัยเป็นคนเข้าใจอะไรยาก  ก็เลยรู้สึกว่ายาก)  ความจริงตั้งใจจะเล่าให้ฟังตั้งแต่วันจันทร์แล้ว  แต่โอกาสไม่อำนวยสักที  บอกกับตัวเองว่าวันนี้เมื่อกลับจากสัมมนาแล้วจะเริ่มต้นเล่าให้ฟัง  แต่ก็มีเหตุที่ทำให้ไม่สามารถทำได้อย่างที่ตั้งใจไว้  เหตุที่ว่านั้นก็คือ  วันนี้ในการสัมมนาได้เชิญอาจารย์ไพบูลย์  วัฒนศิริธรรมมาด้วย  ท่านได้อภิปรายในเรื่อง “สวัสดิการชุมชนพึ่งตนเอง”  ซึ่งเป็นหัวข้อที่เกี่ยวกับโครงการวิจัยจัดการความรู้  ผู้วิจัยเห็นว่าเป็นประโยชน์ก็เลยอยากเล่าให้ฟังค่ะ  ยังไงก็ขอยกยอดเนื้อหาในหนังสือไปเล่าให้ฟังในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกันนะคะ


สวัสดิการชุมชนพึ่งตนเอง

ย้อนอดีตสวัสดิการฐานปัจจัยสี่  และการเกื้อกูล
            ในอดีต “สวัสดิการสังคม”  ของสังคมไทยตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงช่วงก่อนแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1  พ.ศ.2504  อยู่ในลักษณะสวัสดิการที่ไม่ใช่ของรัฐ  แต่เป็นประชาสวัสดิการหรือสวัสดิการชุมชน  ปรากฎในรูปของฐานปัจจัยสี่  คือ  อาหาร  เครื่องนุ่งห่ม  ที่อยู่อาศัย  และยารักษาโรค
            นอกจากระบบสวัสดิการโดยชุมชนที่กล่าวมาแล้ว  แนวคิดสวัสดิการในประเทศไทยยังแสดงออกมาในลักษณะของแนวคิด “บำบัดทุกข์  บำรุงสุข”  ของพระราชาผู้มีทศพิศราชธรรม  ศาสนาก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อสวัสดิการในสังคมไทยไม่ว่าจะเป็นคำสอนจากศาสนาหรือสถาบันศาสนา  ทั้งศาสนาพุทธ  อิสลาม  หรือคริสต์
           
การปรับเปลี่ยนสู่การจัดสวัสดิการโดยหน่วยงานรัฐ
            เมื่อถึงยุคที่มีการแพร่อิทธิพลจากตะวันตกในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีระบบสวัสดิการสังคมรูปแบบใหม่ขึ้น  โดยในปี 2436  ได้มีการตั้งองค์กรสังคมสงเคราะห์ขึ้นมาเป็นแห่งแรก  คือ “สภาอุณาโลมแดง”  เพื่อช่วยเหลือรักษาพยาบาลทหารที่บาดเจ็บจากการทำสงครามกับฝรั่งเศสกรณีพิพาทดินแดนอินโดจีน  ซี่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็น “สภากาชาดไทย”  หลังจากนั้น  แนวคิดด้านสวัสดิการสังคมที่มีลักษณะครอบคลุมทุกกลุ่มชนและชนชั้น  เริ่มขึ้นในยุคการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร  ซึ่งมีลักษระคล้ายๆกับสวัสดิการในกลุ่มประเทศสังคมนิยมซึ่งรัฐจะเป็นผู้จัดสวัสดิการให้ทั้งหมด  แต่แนวคิดดังกล่าวไม่ได้ถูกนำมาใช้เนื่องจากผู้มีอำนาจในยุคนั้นๆหลายคนคัดค้าน  ด้วยเห็นว่ามีเนื้อหาเป็น “สังคมนิยม”
            จากนั้นแนวคิดสวัสดิการในสังคมไทยก็แคบลง  และหนักไปทางด้านประชาสงเคราะห์แก่บุคคลผู้ด้อยโอกาส  ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบว่าด้อยโอกาสจริงจึงจะได้รับการสงเคราะห์
            ประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับการสงเคราะห์  คือ
            1.เด็กและเยาวชนที่มีปัญหาขาดที่พึ่ง
            2.สตรีที่มีปัญหา
            3.ครอบครัวที่แตกแยกพึ่งตนเองไม่ได้
            4.คนชราไร้ญาติขาดมิตร
            5.คนพิการ
            6.ผู้ประสบสาธารณภัย
            7.ผู้พ้นโทษที่ไร้ที่พึ่ง
            8.ผู้มีปัญหาทางจิตใจ
            9.ผู้เสพยาเสพติด
            10.ผู้ไม่มีที่อยู่อาศัย
            11.ชนกลุ่มน้อย
            12.ผู้อพยพจากประเทศอื่น
            13.ผู้ป่วยทางจิตที่มีอาการทุเลาแล้ว
            14.ผู้ประสบเคราะห์กรรมอื่นๆที่ได้รับการช่วยเหลือ
            15.ผู้เจ็บป่วยที่ขาดความช่วยเหลือ
            ลักษณะการจัดสวัสดิการสำหรับผู้ด้อยโอกาสที่เป็นกลุ่มเป้าหมายได้ปรับเปลี่ยนจากวิถีเดิมของสังคมไทยที่ชุมชนและสถาบันทางศาสนาเป็นผู้ดูแลช่วยเหลือมาเป็นการดูแลโดยรัฐ  ซึ่งมีหน่วยงานหลักในการดูแล  คือ  กรมประชาสงเคราะห์  (ปัจจุบัน  คือ  กรมสวัสดิการสังคม  กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)  โดยแนวทางการจัดการส่วนหนึ่งมีฐานมาจากสังคมตะวันตก  ในส่วนของงบประมาณในการจัดสวัสดิการของรัฐเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่ก็ยังไม่สามารถครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายได้ทั่วถึง
           อย่างไรก็ตาม  ในแวดวงวิชาการด้านสวัสดิการสังคมก็มีความพยายามที่จะทำให้การขยายงานด้านสวัสดิการสังคมให้ครอบคลุมกว้างขวางตามลักษณะของปัญหาที่ซับซ้อนขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจและสังคมให้งานสวัสดิการสังคมครอบคลุม 3 ด้าน  คือ  การสังคมสงเคราะห์  การประกันสังคม  และการบริการสังคม  โดยในด้านการประกันสังคมนั้นใช้เวลาผลักดันกฎหมายยาวนานถึง 30 ปี  จนกระทั่ง พ.ร.บ.ประกันสังคม  มีผลบังคับใช้ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา
          ในส่วนของการบริการสังคมก็ได้มีความพยายามผลักดัน พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพ  รวมทั้งนโยบายของรัฐบาลยุคปัจจุบัน  คือ “สามสิบบาทรักษาทุกโรค”  ซึ่งเป็นแนวนโยบายด้านสวัสดิการสังคมที่ไม่แยกเฉพาะผู้ด้อยโอกาส  โดยในด้านการจัดการนั้น  หน่วยงานรัฐบาลเป็นผู้จัดการเกือบทั้งหมด  แต่ก็ได้มีหลายส่วนที่ได้พัฒนาแนวคิดและวิธีการดำเนินงานตามแนวคิดการจัดสวัสดิการสำหรับทุกคน  การทำงานเชิงรุก  การปรับปรุงรูปแบบการดำเนินงานและหน่วยงานรัฐส่วนกลางเริ่มถ่ายโอนงานด้านสวัสดิการสังคมแก่ท้องถิ่น  เช่น  เบี้ยยังชีพ  ผู้สูงอายุ  เป็นต้น
         ยังไม่จบค่ะ  แต่ผู้วิจัยขอเล่าแค่นี้ก่อน  เพราะอีกไม่กี่นาทีจะขึ้นวันใหม่แล้ว  ผู้วิจัยยังไม่ได้ทำกิจวัตรส่วนตัวเลย  แล้วจะมาเล่าต่อนะคะ

คำสำคัญ (Tags): #uncategorized
หมายเลขบันทึก: 16576เขียนเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2006 23:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน 2012 10:07 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท