ช่วงนี้เป็นบรรยากาศแห่งวันวาเลนไทน์
คนไทยก็พลอยได้เฉลิมฉลองกับวันแห่งความรักนี้ด้วย
วันนี้ก็เลยจะเอาประวัติวันวาเลนไทน์และตำนานต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับวันนี้มาฝากกัน
แท้จริงแล้วการบัญญัติกำหนดวันวาเลนไทน์ขึ้นมาก็เพื่อเป็นการรำลึกถึงนักบุญ
“วาเลนไทน์”
ผู้ที่หัวใจเปี่ยมด้วยความรักและความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์
“เซนต์วาเลนไทน์" หรือในชื่อเดิมว่า
"วาเลนตินุส”
(Valentinus) เป็นชาวโรมันแต่นับถือศาสนาคริสต์
ซึ่งในช่วงเวลานั้นผู้ใดนับถือศาสนาคริสต์จะเข้าข่ายกบฏมีความผิดร้ายแรง
เป็นเรื่องต้องห้าม ไม่เป็นที่ยอมรับในจักรวรรดิ์โรมัน
และถูกมองว่าเป็นลัทธิที่เป็นอันตรายต่อสังคมอย่างยิ่ง
มาตรการลงโทษแสนจะดุเดือด เช่น ตรึงกางเขน ให้สัตว์ป่ากิน เผาทั้งเป็น
หรือใช้ไม้ทุบหัว และอีกสารพัดวิธีที่คิดได้ว่าโหดร้ายสาสมพอกับความผิด
ดังนั้นกลุ่มคนที่นับถือศาสนาคริสต์ต้องคอยหลบซ่อนตัวไม่บอกให้ผู้อื่นรู้
เวลาทำพิธีกรรมทางศาสนาก็ต้องแอบไปทำพิธีในอุโมงค์ใต้ดิน
(คาทาโคม) วาเลนตินุสเป็นผู้กล้าหาญคอยช่วยเหลือคนที่นับถือศาสนาเดียวกันอยู่เสมอๆ
จนกลายเป็นที่รักใคร่ของคริสตศาสนิกชนทุกคน
แต่ก็ทำให้วาเลนตินุถูกทางการเพ่งเล็งและต้องการจับตัวมากที่สุด
สาเหตุที่ทางการโรมันต้องการตัววาเลนตินุสมากนั้น
ไม่เพียงเพราะเรื่องที่คอยช่วยเหลือชาวคริสเตียนด้วยกัน
แต่ยังพ่วงข้อหาเป็นผู้นำในการต่อต้านพระจักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2
เข้าไปอีกหนึ่งกระทง
จักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2
เป็นผู้กระหายคราม
พระองค์ทำสงครามเพื่อขยายจักรวรรดิและแผ่พระราชอำนาจไปทั่ว ซึ่งการทำสงครามบ่อยๆ
ย่อมต้องเกณฑ์ทหารเป็นจำนวนมาก
ทำให้ประชาชนเกิดความกลัวเพราะไม่ต้องการจากครอบครัวและคนที่รักไปออกรบ เมื่อประชาชนไม่ยอมไปเกณฑ์ทหาร
ทางการจึงต้องออกกฎหมายบังคับประชาชน
วาเลนตินุสจึงก่อม๊อบคัดค้านการออกกฎหมายนี้
ยังความไม่พอพระทัยให้กับจักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 เป็นอย่างมาก
แต่เนื่องจากพลังมวลชนมีมากกว่าทำให้ทางการทำอะไรโจ่งแจ้งไม่ได้
จักรพรรดิคลอดิอุสก็เลยออกกฎหมายกลั่นแกล้ง
ห้ามไม่ให้หนุ่มสาวชาวโรมันแต่งงาน
ผู้ชายจะได้ออกไปรบได้โดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง
หมดข้ออ้างที่ไม่ยอมไปทำสงคราม กฎหมายนี้บังคับใช้ได้แค่ระยะหนึ่ง
สถานการณ์ก็ยิ่งตึงเครียดขึ้น ห้ามอะไรก็ห้ามได้
ห้ามคนรักกันนี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นประชาชนก็แสดงพลังร่วมต้านมากขึ้น
จน
จักรพรรดิคลอดิอุสมีรับสั่งฆ่าทุกคนที่ต่อต้าน
และสั่งจับวาเลนตินุสผู้นำม็อบไปขังคุกโดยทำการประหารในวันที่ 14
กุมภาพันธ์ (296
A.D.) เมื่อประชาชนทราบข่าวการประหาร
ก็มีความเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก
หลายคนถึงกับฆ่าตัวตายตามเพื่อบูชาความรัก นับแต่นั้นมาชาวโรมันก็ยกย่องวาเลนตินุสเป็น
“เซนต์วาเลนไทน์” และตั้งให้เป็น
“เทพเจ้าแห่งความรัก”
แต่บางตำราก็เล่าต่างออกไปว่า... วาเลนตินุสคือนักบุญช่วยเหลือคนยากจน
และผู้นับถือศริสตศาสนา ซึ่งเป็นเรื่องต้องห้ามจนถูกทางการจับขังคุก
ระหว่างอยู่ในคุกได้พบกับลูกสาวตาบอดของผู้คุมนักโทษผู้ซึ่งเมตตาเขาอย่างดี
เขาทูลขออำนาจจากพระเจ้าให้รักษาหญิงนั้นให้หายเป็นปกติ
ครอบครัวผู้คุมเกิดความเชื่อและศรัทธาประกาศตนเป็นคริสเตียน เรื่องทราบถึงจักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2
พระองค์ทรงกริ้วมาก
จึงรับสั่งให้ประหารชีวิตวาเลนตินุสซะเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง
วาเลนตินุสได้ทิ้งจดหมายลาตายไว้โดยลงท้ายจดหมายว่า
Love...from your Valentine!
ซึ่งวันที่ประหารนั้นตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์
มีการคาดกันว่าวันแห่งความรักน่าจะมีที่มาจากเทศกาลของชาวโรมันที่เรียกว่า
"ลูเปอร์คาเลีย"
(Lupercalia) ซึ่งตรงกับวันที่ 15 กุมภาพันธ์
เฉลิมฉลองบูชาเทพธิดาจูโน (เทพธิดาแห่งสตรีและการแต่งงาน)
และเทพบุตรแพน (เทพบุตรแห่งธรรมชาติ)
ลูเปอร์คาเลียเป็นเทศกาลแห่งความรักของหนุ่มสาว
ชายหนุ่มและหญิงสาวจะเลือกคู่สำหรับประเพณีนี้โดยการเขียนชื่อตนใส่กล่องและจับฉลาก
หลายคู่ก็มักจะลงเอยด้วยการแต่งงาน
หลังจากที่ศาสนาคริสต์เผยแพร่หลายออกไปในหมู่ของชาวโรมันแล้ว ในปี
ค.ศ.496
โป๊ปเกลาซิอุส (Pope Gelasius)
ได้เปลี่ยนวันฉลองเทศกาลลูเปอร์คาเลียจากวันที่ 15 กุมภาพันธ์
มาเป็นวันนักบุญวาเลนไทน์ ซึ่งตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์
เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้รำลึกถึงคุณความดี ความกล้าหาญ
และความเสียสละของนักบุญวาเลนไทน์.. แต่ผู้คนกลับให้ความสำคัญว่าเป็นวันแห่งความรักจนถึงปัจจุบัน
การฉลองวันวาเลนไทน์ก็วิวัฒนาการต่อมาเรื่อยๆ ราวปี ค.ศ.1700
หนุ่มสาวนิยมจัดงานพบปะกันที่ในคืนวันที่ 13 กุมภาพันธ์
และมีการจับฉลากชื่อหญิงที่ตนรัก
เมื่อจับฉลากมาได้แล้วจะติดกระดาษที่มีชื่อผู้หญิงนั้นไว้ที่แขนเสื้อเป็นเวลาหลายวัน
ด้วยเหตุนี้เองจึงมีสำนวนภาษาอังกฤษว่า
"He wears his heart on his sleeve"
ซึ่งคงจะมาจากประเพณีอันนี้
ชายหนุ่มจะให้ของขวัญแก่คนรักของตนเองในวันวาเลนไทน์ ดอกกุหลาบ
เครื่องประดับ บ้างก็ให้ถุงมือเป็นของขวัญแก่หญิงสาว ส่วนหนุ่มๆ
ที่ครอบครัวร่ำรวยก็จะจัดงานเต้นรำขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่คนรักของตน
ต่อมาประเพณีนีได้แปรเปลี่ยนไปมีการส่งบัตรอวยพรแทนการให้ของขวัญราคาแพง
แต่การมอบดอกกุหลาบก็ยังได้รับความนิยมไม่เปลี่ยนแปลง
ทำไมต้องเป็นดอกกุหลาบ
ไม่เป็นดอกไม้ชนิดอื่น?
ในตำนานเทพปกีรณัมของกรีกกล่าวไว้ว่า...
กุหลาบเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของบรรดาทวยเทพ
เพราะคลอริส เทพธิดาแห่งบุปผชาติ บังเอิญไปพบหญิงสาวนอนสิ้นชีพอยู่
จึงปรึกษากับบรรดาเทพทั้งหลาย
สรุปมติออกมาว่าให้ชุบชีวิตเธอให้กลายเป็นดอกไม้ชนิดหนึ่ง
อโพรไดท์ได้มอบความงามให้ เทพอีกสามองค์ประทานความสดใส เสน่ห์
และความน่าอภิรมย์ เซไฟรัส
เทพแห่งลมตะวันตกได้ช่วยพัดพากลุ่มเมฆกระจายออก
เปิดฟ้าให้เทพอพอลโลส่องแสงอาทิตย์ลงมาเพื่อประทานพรอันเป็นอมตะ
จากนั้นไดโอนิซุส เทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่นก็ประทานน้ำอมฤตและกลิ่นหอม
เมื่อสร้างบุปผชาติชนิดใหม่นี้ขึ้นมาได้แล้ว
เทพทั้งหลายก็เรียกเธอผู้ซึ่งมีกลิ่นหอมและแสนจะทรงเสน่ห์นี้ว่า
Rosa
จากนั้นเทพธิดาคลอริส ก็รวบรวมหยดน้ำค้างมาประดับเป็นมงกุฎ
เพื่อมอบให้เธอเป็นราชินีแห่งบุปผาชาติทั้งมวล
แล้วก็ประทานให้กับอีรอส
(Eros) ซึ่งเป็นเทพแห่งความรัก
กุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรัก
เทพอีรอสหรือคิวปิดก็ได้มอบกุหลาบนี้ให้แก่ฮาร์โพเครติสซึ่งเป็นเทพแห่งความเงียบ
เพื่อที่จะเก็บซ่อนความอ่อนแอของทวยเทพทั้งหลาย
ดอกกุหลาบจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเงียบและความเร้นลับอีกอย่างหนึ่งด้วย
...ด้วยความเชื่อที่ว่ากุหลาบเป็นดอกไม้ของเทพแห่งความรัก
คนจึงนิยมมอบเพื่อแสดงความรักแลความปรารถนาดีแก่กันนั่นเอง
ส่วนในเมืองไทยนั้น ดอกกุหลาบเข้ามาสมัยใดไม่ทราบแน่ชัด
แต่ปรากฎในบันทึกของ ลา ลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์
แต่หลักฐานที่แน่นอนและบอกได้ชัดว่าคนไทยรู้จักดอกไม้ชนิดนี้มานานแล้วก็คือ
กาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศก
ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์
(เจ้าฟ้ากุ้ง) ในนิราศได้กล่าวถึงกุหลาบไว้ว่า...
กุหลาบกลิ่นเฟื่องฟุ้ง
เนืองนอง
หอมรื่นชื่นชมสอง
สังวาส
นึกกระทงใส่พานทอง ก่ำเก้า
หยิบรอจมูกเจ้า
บ่ายหน้า เบือนเสีย