ห่างหายจาก g2k ไปเสียนาน (บางคนที่คุ้นเคยบอกว่า ประโยคนี้มาอีกแล้ว) ไม่ได้หายไปไหนหรอก วนเวียนอยู่ในโลกนี้แหละ แต่ไม่ได้ทิ้งร่องรอยลิขิตไว้เท่านั้นเอง ไม่บอกเหตุผลดีกว่าเดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องแก้ตัวไปซะ
วันนี้ได้มีโอกาสไปช่วยทีมงานที่นับถือพี่ศรายุทธ (ผอ.กศน.จอมพระ) ร่วมเป็นผู้ช่วยวิทยากร ในการโครงการปัจฉิมนิเทศ นักศึกษาพยาบาล ของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์ ซึ่งในการปัจฉิมนิเทศครั้งนี้ มีกำหนด 4 วัน วันนี้เป็นหัวข้อ “การเป็นข้าราชการที่ดีตามรอยพ่อ” กลุ่มเป้าหมายเป็นว่าที่พยาบาลวิชาชีพ จำนวน 120 คน ซึ่งดิฉันได้รับการชวนจากผอ. หลายวันก่อน บอกไปช่วยด้วยกันไหม๊ เขาเชิญผอ.กับจนท.สสจ.สร. อีกคน แต่ด้วยความคุ้นเคยกันและคิดว่าเป็นโอกาสที่จะได้เรียนรู้ จึงไม่ปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดลอยไป ผอ.ศรายุทธเป็นวิทยากรหลัก ทั้งบรรยาย แทรกด้วยสื่อ กิจกรรมผ่อนคลาย ขณะที่ดิฉันได้รับมอบให้คอยเสริมกิจกรรมแบ่งกลุ่มบ้าง กระตุ้นความพร้อมบ้าง หรือกิจกรรมเพื่อโยงเข้าสู่เนื้อหาบ้าง โดยภาพรวมมีเรื่องให้น่าสนใจมากมาย แต่วันนี้ขอเล่าเรื่องที่ “โดน” ก่อนแล้วกัน
ก่อนพักทานอาหารกลางวัน ดิฉันดูนาฬิกาบอกเวลา 11.50 น. กิจกรรมที่จะทำนั้นใช้เวลาประมาณ 20 นาที นั่นก็หมายความว่าจะเสร็จประมาณ 12.10 น. ก่อนเริ่มดิฉันถามกลุ่มว่า “ขอข้อตกลงกันก่อนว่า กิจกรรมนี้จะใช้เวลาประมาณ 20 นาที หากท่านจะกรุณาพักกลางวันเลยไปสัก 10 นาที จะว่าอะไรไหม๊ ขอความเห็นก่อน ด้วยความเคารพค่ะ” เสียงตอบดังงึม ๆ ดิฉันถามซ้ำว่า “ได้ไหม๊ค่ะ ถ้าไม่ได้ไม่เป็นไร เราจะหยุดไว้ก่อนแล้วพักเวลา 12.00 น.ตรง ” เสียงตอบกลับมาว่า “ไม่ได้ค่ะ ขอพักตอนเที่ยงค่ะ” ดิฉันบอก "ขอบคุณมากค่ะ งั้นเราพักเวลา 12.00 น. กิจกรรมเอาไว้ทำตอนบ่ายได้”
หลังจากนั้นทางผู้จัดก็จัดให้คณะวิทยากรทานข้าวเที่ยงพร้อมกัน ในวงมีรอง ผอ.และอาจารย์ที่ดูแลโครงการนี้ อาจารย์ที่ดูแลเอ่ยขึ้นในวงข้าวว่า “แหม๊ เมื่อครู่นี้นักศึกษาทำไมไม่ยอมทำกิจกรรมน่ะ แค่เลยเวลาไป 10 นาที ไม่ยืดหยุ่นเลย เดี๋ยวคอยดูนะว่าเวลาบ่าย เขาจะเข้าตรงเวลาไหม๊ แบบนี้ถ้าไปทำงานจริง ๆ เวลาจะลงเวร ถ้ามีคนไข้ฉุกเฉินมาจะยืดเวลาให้คนไข้บ้างไหม๊นี่” ดิฉันจึงบอกอาจารย์ว่า ไม่ต้องกังวลดิฉันไม่ได้ซีเรียสอะไร เพียงแต่วิธีของเราจะให้เกียรติและมีข้อตกลงร่วมกันก่อนว่าเอาหรือไม่เอา เพราะเราเชื่อว่าหากเขาไม่พร้อม การเรียนรู้ก็อาจด้อยประสิทธิภาพลงได้เช่นกัน เราพูดคุยกันต่อหลายเรื่อง และได้ข้อมูลว่า นศ.บางคนจริงจังกับวิชาการมาก กลัวได้คะแนนน้อย ไม่ค่อยสนใจเรื่องสัมพันธภาพ มิติทางสังคมเท่าใดนัก (ประมาณว่า เน้นเรื่อง หัว มากกว่า ใจ) ดิฉันฟังแล้วก็คิดไปเรื่อยว่า หากคนที่ทำหน้าที่แพทย์ พยาบาล มุ่งแต่จะรักษา “โรค” ไม่สนใจ “คน” ที่เป็นโรคหรือไม่ใส่ใจกับบริบทที่เกี่ยวข้องกับโรค ซึ่งอาจรวมไปในเรื่องการดูแลสุขภาวะโดยรวมของคนไข้ ก็คงยังห่างไกลกับแนวคิดของศ.นพ.ประเวศ วะสี ที่สนใจเรื่อง “การแพทย์ที่มีหัวใจเป็นมนุษย์”
ช่วงบ่ายดิฉันจึงเปลี่ยนการสรุปกิจกรรมแล้วโยงไปเรื่อง “ร่องความเคยชิน” ซะเลย เพื่อให้เข้ากับสภานการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วสะท้อนมุมมองแบบสร้างสรรค์ ทำนองชวนคิดชวนคุย เรื่องความยืดหยุ่นที่เหมาะสม การปรับตัว และหากเรากล้าที่จะก้าวออกจากความเคยชินเดิมบ้าง เราก็จะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเปลี่ยนไปเช่นกัน
เห็นด้วยเลยคะ หากเรากล้าที่จะก้าวออกจากความเคยชินเดิมบ้าง เราก็จะเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเปลี่ยนไปเช่นกัน
แบบว่า ชอบ ออกมา จนชิน
สวัสดีค่ะน้อง ครูอ๊อด
ขอบคุณค่ะ
เปลี่ยนเรื่องคุยเสียเลย ...เยี่ยมเลยครับ
ตามมาสวัสดีครับ...หลังจากห่างหายกันไปนาน..คงสบายดีนะครับ.....อ้อ. สำนวนยังเด็ดขาดเหมือนเดิมเลยนะนี่...
สวัสดีค่ะคุณครูอ๊อด การที่จะเอาแต่ตัวเนื้องานและไม่ค่อยคิดถึงเรื่องใจคน เป็นเกือบทุกที่ในหน่วยงานที่มีระบบ ที่มีการแข่งขัน แต่ดีที่คุณครูอ๊อดและคุณหมอและบุคลากรทางการแพทย์จำนวนมากได้หันมาใส่ใจในเรื่องของใจ เรื่องของความสัมพันธ์มากกว่าแต่ก่อน เป็นกุศลอย่างยิ่งค่ะ
การพัฒนาที่ยั่งยืนไม่ว่าจะในวงการอาชีพใด หากไม่ใส่ใจเรื่องใจ และความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่างๆของสังคมแล้ว ย่อมไม่สำเร็จไปได้
คิดถึงนะคะ
ไชโย,,,, ต้องอย่างนี้ซิคะ ถึงเรียกว่ามืออาชีพค่ะ ลองหากิจกรรม Follow up เสริมก่อนทำกิจกรรมภาคบ่ายซิคตะ ความคิดเ้ห็นก็จะเปรียนไปอีกค่ะ