วันที่ ๒ เดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี
นับเป็นวันที่สำคัญวันหนึ่งของพวกเรา เพราะเป็นวันที่พวกเรา...ชาว "ลูกนนทรี"ได้กลับมาเยี่ยมเยือน “บ้านหลังใหญ่” ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์บางเขนร่วมกันอีกครั้งครา ได้หวนรำลึกนึกถึงพระคุณของครูบาอาจารย์ด้วยการวางพวงมาลาที่อนุสาวรีย์สามบูรพาจารย์ ภาพของน้องน้อยปีหนึ่ง “เจ้านนทรีช่อใหม่” ที่มาเข้าแถวเรียงรายรอรับแต่ยามเช้านั้นให้ความรู้สึกอบอุ่นในใจ...ยามบ่ายได้ร่วมพิธีมุทิตาสักการะพระอาจารย์ที่ “พุทธเกษตร” และยามเย็นย่ำได้ทบทวนความทรงจำยามเยาว์วัย อีกทั้งได้รับรู้ความเป็นไปของเพื่อนพ้องน้องพี่จากงาน “Home Coming Day” ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีที่หลังหอประชุม
วันที่ ๒ กุมภาพันธ์จึงเป็นวันแห่งรักและผูกพัน...จากใจถึงใจ...และจากรุ่นสู่รุ่น...
แม้นว่าในปีนี้จะไม่มีการจัดงานสังสรรค์ “เลี้ยงรุ่น” ในช่วงยามเย็นเหมือนที่เคยเป็นมา หากทว่ากิจกรรมช่วงเช้าและช่วงบ่ายยังคงมีอยู่และเป็นไปเพื่อถักทอและสานสายสัมพันธ์ที่พวกเรา...ชาวนนทรีมีต่อกันมาเสมอ
ด้วยภารกิจที่ต้องพาลูกศิษย์ลงศึกษาดูงานในพื้นที่ ทำให้เราไม่มีโอกาสได้อยู่ร่วมงานสถาปนามหาวิทยาลัยซึ่งมีอายุครบรอบ ๖๕ ปีในปี ๒๕๕๑ นี้ และทำให้ไม่มีโอกาสได้ไปที่พุทธเกษตรเพื่อถวายพานดอกไม้และธูปเทียนบูชาในพิธีมุทิตาสักการะครูบาอาจารย์ที่เราเคารพรักยิ่ง
ทว่า การได้พาลูกศิษย์ไปศึกษาดูงานที่มูลนิธิข้าวขวัญ ได้ลงเรียนรู้และเยี่ยมเยือนพี่น้องเกษตรกร ณ โรงเรียนชาวนาบ้านหนองแจง ต.ไร่รถ อ.ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี เมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานั้น กลับทำให้เรารู้สึก “รักและผูกพัน” กับสถาบันการศึกษาที่สร้างเรามายิ่งนัก
หวนคิดถึงวันคืนเก่า ๆ ที่เราติดตามครูบาอาจารย์ลงทำงานในพื้นที่ นับแต่ “ค่ายอาสาพัฒนาชนบท” ที่ทำให้เราได้รับรู้วิถีชีวิตที่ยากลำบากของ “พี่น้องไทย” ในแดนดินถิ่นกันดาร กิจกรรมการพัฒนาชุมชนเกษตรและการฝึกงานของภาควิชาที่พาเราลงไปเรียนรู้เรื่องราวและวิถีชีวิตของพี่น้องเกษตรกรที่ไม่เคยมีการบันทึกไว้ในเอกสารประกอบการบรรยายในห้องเรียน....
ถ้าไม่มี “วันนั้น” ก็คงไม่มี “วันนี้”
หลายคำถาม - คำตอบของลูกศิษย์ที่ได้แลกเปลี่ยนกันกับลุงป้าน้าอาในชุมชนบ้านหนองแจงทำให้เราต้องอมยิ้มในใจ...นี่ละหนา ถึงต้องพามาลงพื้นที่ พามาเรียนรู้เพื่อปรับเปลี่ยน "กระบวนทัศน์” กันให้มาก ๆ...
ลูกศิษย์ปริญญาโทสาขาการใช้ทีดินและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน (SLUSE) ที่เราพาลงพื้นที่รุ่นนี้มีด้วยกันทั้งหมด ๑๗ คน จบปริญญาตรีกันมาจากหลากหลายสาขาและส่วนใหญ่เป็นคนทำงานด้านการเกษตร เช่น จากกรมพัฒนาที่ดิน กรมวิชาการเกษตร กรมประมง ฯลฯ เราเชื่อมั่นว่าการศึกษาดูงานในพื้นที่ การได้ลงสัมผัสและเรียนรู้มิติต่าง ๆ ของชุมชนที่เป็น “ของจริง” ตลอดจนการได้รับรู้เรื่องราวการ “หยัดสู้” ของพี่น้องเกษตรกรท่ามกลางสังคมที่เปลี่ยนผ่านอยู่ตลอดเวลานั้น จะทำให้พวกเขาเกิดการ “ตั้งคำถาม” ต่อสิ่งที่พบเห็น ทำให้พวกเขาเข้าใจถึง “กลไก” ของโครงสร้างและขบวนการทางสังคม อีกทั้งไม่ตกลงไปใน “กับดัก” ทางวิชาการที่ได้ถูกสร้างขึ้นมาจากความ “ไม่รู้จริง”
เพื่อที่วันหนึ่งข้างหน้า... วันที่พวกเขาต้องเติบโตและต้องดูแลรับผิดชอบสังคมมากขึ้นนั้น พวกเขาจะได้เป้นผู้ที่มีความคิดความอ่านที่ “ถูกดี” “ถึงดี” และ “พอดี” สามารถสร้างทั้ง “ความรู้” และ “การเปลี่ยนแปลง” ที่มิใช่เป็นเพียง “วาทกรรม” กล่าวคือจะต้องมีพื้นที่รูปธรรมจากการปฏิบัติที่สามารถจับต้องได้จริง
อีกสิ่งหนึ่งที่เราปรารถนาให้ลูกศิษย์เราได้เรียนรู้ก็คือ การทำงานด้วยความสุข... ความสุขจากการได้เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของพี่น้องเกษตรกร ...ความสุขจากการได้เป็น “ส่วนหนึ่ง” ของขบวนการทำงานพัฒนาชุมชน ...เป็นความสุขที่เราคิดว่า “เงิน” ไม่อาจซื้อได้
พวกเราโบกมืออำลา “นักเรียน” ของโรงเรียนชาวนาเมื่อยามตะวันใกล้ลับแผ่นฟ้า รถเคลื่อนตัวออกจากหมู่บ้านพร้อม ๆ กับบทเพลงพระราชนิพนธ์ที่เราแสนคุ้นชินดังแว่วขึ้นในใจ
....จะจงรักจอมจักริน
อีกแดนแผ่นดิน ทำกินเก็บผล
พระคุณเกษตรล้น
รักเปี่ยมท้น...ดวงจิตเอย
อาจารย์น้องขจิตคะ ไว้รอน้องจบมาแล้วมาจัดงานนี้ที่กำแพงแสนด้วยกันนะจ๊ะ
หนู Petit Jazz คะ...เก่งจังเลย ทำการ์ดเองก็ได้..ขอบคุณหนูซูซานมากเลยค่ะ... ภาพดอกไม้สีชมพูที่กำแพงแสนนั้น พี่ได้เห็นช่วงนี้เกือบทุกวันค่ะ ...มาชมของจริงด้วยกันไหมคะ..