ขงจื๊อเคยบอกว่า ถ้ามีอำนาจ สิ่งแรกที่จะทำคือจัดการเกี่ยวับภาษา เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวาย
ผมไม่รู้ว่าขงจื๊อพูดจริงหรือเปล่า เพราะฟังดูอกเชิงลบ ไม่เหมือนคำพูดที่จะออกมาจากคนที่เป็นปราชญ์
แต่ความจริงก็คือ ภาษา หรือคำที่คนเราใช้ติดต่อสื่อสารกัน มีอีกด้านที่น่าเบื่อหน่าย คือทำให้ผู้คนสื่อสารกันไม่ได้
เวลาใครพูดคำอะไรที่คุ้นเคย ทุกคนก็จะคิดว่าเขาหมายถึงแค่นั้น ทั้งที่เขาอาจจะหมายถึงอะไรที่มากกว่านั้น แต่ไม่รู้จะใช้คำอะไรก็เลขอยืมคำเดิมๆที่คุ้นเคยใช้ไปก่อน
หรือไม่เวลาใครพูดคำใหม่ๆที่ไม่คุ้นหู ก็จะมานั่งตีความกันไปใหญ่โต แทรที่จะลงไปทำความรู้จักด้วยการตามไปดูว่าคนพูดเขาหมายถึงอะไร เขาใช้คำนั้นในเวลาที่ทำอะไร หรือพูดถึงอะไร แล้วค่อยกลับมาหาข้อสรุป
แต่กลับพยายามหาความหมายด้วยการตีความจากความหมายของคำเดิมๆที่รู้จักแล้วเอามาผสมกัน
คำว่าจัดการความรู็เป็นตัวอย่างที่ดี
หลายคนพยายามทำความรู็จักกับมันผ่านการอ่าน และตีความ และให้ความหมายโดยดูจากคำที่เอามาประกอบกัน
แทนที่จะพยายามตามดูว่าทำไมจึงเกิดการใช้คำนี้ ที่มาที่ไปมาจากเป้าหมาย หรือเหตุผลกลใด แล้วเขาทำกันยังไง ที่เรียกว่าการจัดการความรู้ แล้วลงมือทำและพยายามสร้างความหมายขึ้นมาจากที่ได้ลงไปปฏิบัติ
อจ วิจารณ์ กำลังจะพาคนที่สนใจไปคุยกับทีมที่โตโยต้า ซึ่งว่ากันว่าทำการจัดการความรู้โดยไม่เรียกว่าจัดการความรู้
อาจจะช่วยให้คนที่ชอบตีความหมาย หรือหาคำจำกัดความเกิดความเข้าใจมากขึ้น
ผมบอกหลายทีว่า ความจริง การจัดการความรู้ไม่มีอะไรมากไปกว่าวิธีการที่ทำให้เราเรียนรู้ได้ดีขึ้น ในระหว่างการทำงาน
ทุกคนต้องหาวิธีเรียนรู้ในระหว่างการทำทุำกอย่างในชีวิต และการเรียนรู็้ก็ควรจะเกิดขึ้นตลอดเวลาในแต่ละคน
ส่วนองค์กรเองก็ควรจะจัดระบบการทำงานที่เปิดโอกาสให้คนทำงานได้มีโอกาสเรียนรู้ร่วมกัน (ไม่ใช่แค่ก้มหน้าก้มตาทำแต่งานตั้งแต่เช้าจดเย็น ไม่ได้ลืมหูลืมตา คุยกับใคร หรือหยุดคิดเพื่อตั้งหลักถามตัวเองว่าทำได้ดีหรือแย่ลงเพราะอะไร เป็นต้น)
ทั้งหมดนี้เกิิดขึ้นได้ และควรเกิดขึ้นโดยที่เราๆท่านๆไม่ต้องรู้จักคำว่าจัดการความรู็เลยก็ได้
แต่ถ้าคำว่าจัดการความรู็้ทำให้ทุกคนมัวแต่ทำให้เราเสียเวลารู้จักมันผ่ารการฟังการบรรยาย และฝึกอบรม
ก็ควรจะฆ่าคำคำนี้ทิ้งเสีย
แต่อย่าฆ่าความคิดที่ว่าคนเราควรรู้จักการเรียนรู้ไปทำงานไป
ใช้คำว่า ฆ่าแกง ฟังน่ากลัวไปหน่อย คงไม่ว่ากันนะครับ