บันทึกนี้ .. อยู่ในใจมาตลอด
คิดใคร่ครวญแล้วใคร่ครวญอีกหลายครั้ง
เรื่องมีอยู่ว่า ...
ในการเข้ามาเป็นครูสอนหนังสือในสถาบันอุดมศึกษาในช่วงปีแรก ๆ
มหาวิทยาลัยผลิตครูที่ตัวเองสังกัดอยู่นี่ได้เป็นเจ้าภาพ จัดค่ายครูวิทยาศาสตร์ให้กับ สสวท. โดยนักศึกษาที่จะเข้าค่ายนั้น จะมาจากนักศึกษาสายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เรียนจบปริญญาตรีแล้ว แต่ต้องมาเรียนวิชาครูอีก 1 ปี เพื่อรัฐจะบรรจุให้เป็นครูวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กับโรงเรียนต่าง ๆ ทั่วประเทศ
การบรรจุเป็นครู ถือเป็น การใช้ทุนคืน เมื่อหมดทุน นักศึกษามีสิทธิ์ลาออกหรือขอทุนเรียนต่อ โท เอก ได้
มองภาพรวมให้ดีครับ คือ รัฐอุดหนุนและส่งเสริมเต็มที่นั่นเอง เพื่อสร้างทรัพยากรเหล่านี้
ดังนั้น มหาวิทยาลัยใดมีนักศึกษาทุน สสวท. อยู่ มหาวิทยาลัยก็จะต้องจัดอาจารย์พี่เลี้ยงดูแลพวกเขาโดยเฉพาะ เหมือนไข่ในหิน
การเข้าค่ายนี้ ถือเป็น กิจกรรมสุดท้ายก่อนที่นักศึกษาเหล่านี้จะไปบรรจุเป็นครูในโรงเรียนต่าง ๆ
การเข้าค่าย มีเวลาประมาณ 2 อาทิตย์ ..
มหาวิทยาลัยของผมได้วางแผนจัดค่ายนี้ ที่สนามกีฬาสมโภช 700 ปี เชียงใหม่ มีที่พัก โรงแรมเรียบร้อย มีกิจกรรมทุกวัน มีการสัมมนาเรื่องราวของความเป็นครู และเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง เช่น กฏหมายของครู เป็นต้น
นักศึกษาเหล่านี้มาจากทั่วประเทศ .. รวมทั้งอาจารย์พี่เลี้ยงก็จะมาร่วมเป็นกรรมการค่ายด้วย
นอกจากมีกิจกรรมวิชาการต่าง ๆ แล้ว มีสันทนาการ การแสดงละคร การท่องเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในเชียงใหม่
แต่มีกฎเหล็กอยู่ข้อหนึ่งว่า "ห้ามนักศึกษาออกจากค่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการค่าย"
ซึ่งทุก ๆ วัน อาจารย์ในคณะผมจะต้องเข้าไปอยู่เวร เฝ้าดูแลความปลอดภัยของนักศึกษาเหล่านี้ทุกวัน วันละ 3 ท่าน เพื่อมีใครเจ็บป่วยไม่สบาย เหมือนค่าย รด. ค่ายลูกเสือ นั่นแหละครับ
แต่ปัญหามักจะไม่ค่อยได้เกิดกับนักศึกษาที่มาจากต่างจังหวัดเท่าไหร่นักครับ ปัญหากลับเกิดกับนักศึกษาในพื้นที่เชียงใหม่นี่แหละ เพราะบ้านเขาอยู่ในเมือง ใจคงอยากกลับบ้านบ้าง ออกไปเที่ยวบ้าง ตามวัยของเด็กน่ะครับ
บางคน อาจารย์เวรก็จับไม่ได้ครับ ออกไปตอนไหน กลับเข้าค่ายตอนไหน เพราะเขาจะโทรศัพท์ให้เพื่อน ให้ญาติมารอรับหน้าค่าย ในสนามกีฬา
บังเอิญ ... เรื่องที่ผมจะเล่านี้ ผมต้องมาอยู่เวรพอดีในคืนนั้น ก็หัวค่ำแล้วล่ะครับ ประมาณ 21.00 น. หลังจากการประชุมสัมมนาตอนค่ำเสร็จลง
ผมมีเพื่อน พี่ ที่เป็นอาจารย์เวรอีก 2 ท่านอยู่ด้วยกัน
เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นครับ
มีนักศึกษามหาวิทยาลัยช้าง ... พยายามจะวิ่งออกจากห้องไปยังรถที่มารออยู่ข้างหน้า เรียกว่า หนีค่าย ครับ
อาจารย์ผู้หญิงท่านหนึ่ง ก็ได้วิ่งตามกลับมาครับ แล้วก็แจ้งให้ทราบว่า หนีค่ายไม่ได้ค่ะ มันเป็นระเบียบของค่ายนี้ เราต้องอยู่ในระเบียบค่ายที่วางไว้นะค่ะ
แต่นักศึกษาคนนั้นกลับไม่ยอมรับว่า หนีค่าย แต่บอกว่า เดินเล่นเฉย ๆ พูดคุยกันอย่างไรก็ไม่ยอมรับ ยืนกระต่ายขาเดียวว่า ไม่ได้ทำ ๆ
จนเพื่อนร่วมสถาบันของเขาก็เดินมาถึงประมาณสัก 5 -10 คนได้ เพื่อนเขาเหล่านี้ไม่ได้ฟังอีร้าคาอีรมครับ เขาเข้ามาเถียงแทนเพื่อนครับว่า "เพื่อนเขาไมได้ทำ ก็ไม่ได้ทำสิ" (ทั้ง ๆ ที่อาจารย์ผู้หญิงท่านนั้นเห็นกับตาว่ามีรถมารับ แล้ววิ่งไปตามตัวกลับมาอีก)
ท่านต้องนึกสภาพให้ออกนะครับ ... เพื่อนเขาเหล่านี้ ทุกคนเถียงหมด คิดว่า เพื่อนตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด อาจารย์มากล่าวหาเพื่อนเขาได้อย่างไรกัน คือ มาด้วยความก้าวร้าวมาก ๆ ครับ โดยไม่ให้เกียรติว่า คนที่เขากำลังเถียงอยู่นั้นเป็นอาจารย์คนหนึ่งครับ
แต่ยิ่งไปกว่านั้นสิครับ ยิ่งโต้เถียงกันไป และคำกล่าวของเด็กพวกนี้ครับ สิ่งที่มันแสดงออกมาคือ เหมือนกับว่านักศึกษาของสถาบันนี้ไม่ผิด อาจารย์อีกสถาบันหนึ่งนี่แหละผิดที่มากล่าวหาเขา
เล่ามานี้ คงสงสัย เอะ ผมอยู่ตรงไหนกันใช่ไหมครับ
ผมก็นั่งอยู่ใกล้ ๆ ในเหตุการณ์นั้นแหละครับ .. แต่ผมได้สอบถามถึงสาเหตุทั้งหมดก่อน แล้วจึงนั่งฟัง และพยายามระงับกรณีพิพาทนี้ให้ได้ก่อน
ก็ฟัง ฟัง ฟัง และฟัง จนผมได้ยินคำว่า "อาจารย์ไม่ชอบสถาบันเราใช่ไหม อาจารย์ถึงได้มากล่าวหาพวกเราแบบนี้"
ผมน่ะ ไม่เคยแสดงอารมณ์โกรธให้ใครได้เห็นสักที แต่พอคำพูดตรงนี้ออกมา ผมฟิวส์ขาดทันที .. ครับ รับไม่ได้ และ ทนไม่ได้ที่เด็กพูดแบบนี้ เอาสถาบันมาเล่นได้ยังไงกัน
ผมก็ "ทุบโต๊ะ" ดังเปรี้ยง ... ชี้หน้านักศึกษาที่พูด ชี้ไปที่อาจารย์ทุกคน แล้วพูดด้วยความโมโหว่า
"อาจารย์ที่คุณกำลังกล่าวหานี้ เขาจบจากสถาบันคุณทั้งนั้นแหละ อาจารย์ท่านนั้นก็จบ อาจารย์อีกท่านก็จบ ผมเองก็จบที่นี่ ซึ่งถ้าไม่ตรี ก็โทมา เขาถือว่า อาจารย์เหล่านี้คือ รุ่นพี่ของคุณนั่นแหละ ... แล้วแบบนี้เขาจะมีเหตุผลอะไรมาปรักปรำเด็กรุ่นน้องของสถาบันตัวเอง"
ฟิวส์ขาดจริง ๆ ครับพี่น้อง ... ผมโมโหว่า พูดมาได้ยังไงกัน ที่เราไม่ชอบสถาบันตัวเอง ... เกินไปแล้วครับ
หลังจากนั้น ถึงคิดได้ นักศึกษาที่หนีค่ายค่อยไปบอกให้เพื่อนพวกนี้ฟังว่า เขาหนีจริง ๆ ... (ทำไม ไม่บอกตั้งแต่แรก เรียนเก่งเสียเปล่า ขี้โกงฉิบเป๋ง) เมื่อคุมสติได้ เด็กที่พูดแย่ ๆ เมื่อกี้ ถึงกับ ยกมือขอโทษอาจารย์ผู้หญิงคนนี้ แต่มีบางคนยังไม่เข้าใจ จะมาว่ากันอีก เพื่อนก็ปัดแล้วก็ให้เดินกลับไปห้องพัก
กว่าจะเข้าใจและรู้เรื่องหลายนาทีเลย ... เหนื่อยจริง ๆ
พี่ที่อยู่สาขาเดียวกับผมถึงกับบอกว่า "พี่ไม่เคยเห็นนายโกรธขนาดนี้สักที" ผมก็เลยบอกพี่ว่า "รับไม่ได้พี่ ผิดแล้วไม่ยอมรับผิด"
ในใจผมน่ะ คิดเลยว่า "นี่อนาคตมันคือ ครูวิทยาศาสตร์ที่ได้รับทุนจากรัฐนะ แล้วนักเรียนที่พวกนี้สอนจะต้องเป็นแบบนี้ด้วยหรือเปล่า"
เก่งแต่วิชาการ แต่คุณธรรมและจริยธรรมไม่มีเลย ใช้ความรู้เบียดเบียนคนที่ตัวเองคิดว่าเก่งน้อยกว่า แย่มากครับ
นี่ผมจะบอกอะไรคนอ่านบ้างครับ ...
ตั้งแต่นั้นมา ผมมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อ "นักศึกษาที่เรียนเก่ง" แต่ "ขี้โกง" มาตลอด ... หรือ คุณชอบครับ แล้วแต่คุณแล้วล่ะ
ถ้าให้ผมเลือกระหว่าง ให้ผม "เรียนเก่ง" แต่ "ขี้โกง" กับ "เรียนไม่เก่ง" แต่ "ซื่อบื้อ" ... ผมเลือกอย่างหลังดีกว่า ไม่เบียดเบียนใคร อยู่ตามอัตภาพ โง่ก็โง่ แต่มีความสุขพอแล้ว
เป็นครูสอนหนังสือ ชอบคนเก่ง เพราะสอนง่าย ไม่เหนื่อยมาก แต่สอนคนไม่เก่ง เหนื่อยมากหน่อย เพราะต้องสอนช้า ๆ ถึงจะเข้าใจ ใช่ไหมครับ ...
แต่ "เก่ง" แล้ว "ชั่ว" ไปไกล ๆ ผมเลย ... ไม่นับถือกันแน่นอน
เฮ้อ ... เขียนบันทึกนี้ ใช้เวลาและเหนื่อยต่อการคิด ... ยิ่งคงต้องเกี่ยวข้องกับเรื่อง "การสอน การศึกษา" กันอีกจนตายล่ะมั้ง
ดังนั้น การสอนนักศึกษาที่ยากที่สุด คือ การสอนให้นักศึกษามีความตระหนักรู้ มีคุณธรรม และจริยธรรม ครับ ไม่ใช่สอนให้รู้ทางวิชาการแน่นอน
หรือใครจะว่ายังไง กันครับ ...
หวังว่า บันทึกนี้จะมีหลงเหลือประโยชน์และนำความคิดดี ๆ มาสู่ผู้อ่านนะครับ
ขอบคุณที่ทนอ่าน ... และขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมกันครับ
บุญรักษา ทุกท่านครับ :)
จะมาบอกว่า ผมเขียนข้อเสนอแนะมากมายประมาณ เอ สี่ แต่กดปั๊บหาบปุ๊บ หมดจดเลยครับ ฮือๆ
เอาไว้ขอรวบรวมพลังใหม่นะครับ
มาให้กำลังใจอาจารย์ค่ะ
รับคนประเภทเก่ง แต่โกง ไม่ได้เหมือนกัน...
มีเยอะขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ คนประเภทนี้ เพราะเด็กเกิดมาก็เห็นแต่คนเก่งแต่โกงอยู่ในสื่อ ในหนังสือพิมพ์ ทีวี กำลังได้รับการยกย่อง มีชื่อเสียง (ในทางผิดๆ) และสังคมก็เอาผิดกับคนเหล่านี้ไม่ได้ ถึงแม้่จะมีหลักฐาน แต่ถ้าหลักฐานอ่อน ก็หลุดได้ ... เมื่อคนมากขึ้น ทรัพยากรน้อยลง แย่งกันกินแย่งกันเป็น แย่งกันอยู่ แต่ไม่แย่งกันสร้าง ไม่แย่งกันให้ ก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ... เป็นปรากฎการณ์ธรรมชาิติที่เหมือนกับภาวะโลกร้อนที่ค่อนข้างจะ irreversable ...
ธรรมรักษาค่ะอาจารย์
คุณเอก #1 ถ้าเจออาการอย่างนี้ กด Back ครับ บางทีที่พิมพ์ไว้ (ไม่ได้หายไปไหน) จากนั้นก็ save เอาไว้เพื่อความปลอดภัย รอจนเครื่องกลับมาจึงค่อยโพส
สำหรับอาจารย์ ว. ไม่เคยเห็นอาจารย์ดุเดือดแบบนี้นะครับ ;-)
สวัสดีครับ คุณเอก
ขอบคุณคุณเอกครับที่ให้ความสนใจ :)
สวัสดีครับ อาจารย์ กมลวัลย์
บุญรักษา ท่านอาจารย์เช่นกันครับ :)
สวัสดีครับ ท่าน Conductor
บุญรักษา ท่าน Conductor ครับ :)
สวัสดีครับ ท่านอาจารย์ ประถม
รู้ได้ยังไงว่า "สถาบันการศึกษาของตัวเอง" ดีกว่า "สถาบันการศึกษาของคนอื่น" ? โดนใจมากเลยครับ และเห็นด้วยกับอาจารย์ครับ
ความเก่งและดี ของนิสิต ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถาบันการศึกษาเพียงอย่างเดียว ทั้งองค์ประกอบอื่นๆ มีอีกมากมาย ผมมีโอกาสได้สอนนักศึกษาหลายๆ สถาบัน และหลายๆ ความเก่ง พบว่า ไม่ได้อยู่ที่สถาบันเพียงอย่างเดียว อยู่ที่ ตัวนักศึกษาด้วยอีกส่วนหนึ่ง วินัย ความใฝ่เรียนรู้ แหล่งข้อมูล ห้องสมุด แหล่งสืบค้น gotoknow.org ฯลฯ
สรุปคือ ผมก็ยังไม่รู้ว่า สถาบันไหน ดีกว่าสถาบันไหน ^^
ขอบคุณครับอาจารย์ ครูgisชนบท ;)...
หาข้อสรุปยังไม่ได้ใช่ไหมครับ 555
ครับอาจารย์ ยังเลย คือ ไม่รู้จะสรุปอย่างไร ^^
ขอบคุณครับ อาจารย์ ครูgisชนบท ;)...
คำถามหยอกล้ออาจารย์เล่นนะครับ