กัลยาณมิตร...กับกะละมังของเธอ
ไปสนทนากับเพื่อน (แท้)มา เธอเป็นคล้ายทั้งเพื่อน และพี่สาว
บางคราวในกาลก่อน เธอยึดฉันเป็นที่พึ่ง
แต่หลายครั้งหลายหนในกาลปัจจุบัน ฉันยึดเธอเป็นที่พักพิง
คนเราต้องมีนะคะ เพื่อนที่เป็นยิ่งกว่าเพื่อน
เพื่อนที่เรารู้ว่า เราควรจะรับสายโทรศัพท์ของเธอ หรือโทรกลับเมื่อโทรได้ เพราะ
บางครั้งเพียงเสียงของเราที่เธอได้ยิน เธอจะสบายใจ
เหมือนเมื่อเราเพียงรับฟัง ปัญหาของเธอ(หรือเขา) ก็เบาแสนเบาดั่งปุยนุ่น เช่นเดียวกับครั้งที่เราเรียกสายไป
บางครั้งก็แค่ขนมตะโก้ที่เธอเพิ่งนึ่งเสร็จสด ๆ ร้อน ๆ
เธออยากให้เราได้ชิม เรากำลังไดเอ็ดอยู่ เหลืออีกแค่สี่(ห้า..สิบ)กิโล จะอย่างไรก็ต้องชิม
มิตรภาพใหญ่กว่า หนักกว่า...น้ำหนักเรา
ก็เมื่อครั้งเราหัดทำขนมจีบ ซาลาเปา เธอผู้เป็นผู้ต่อต้านการฆ่าสัตว์
(หมู..ทั้ง ๆ ที่ที่บ้านเป็นฟาร์มเลี้ยงหมู) ก็ยังหยิบใส่ปากเคี้ยวตุ้ย ๆ แล้วชมแล้วชมอีก
ตอนหลังค่อย ๆ บอกว่าแป้งแข็งเกินไป กลัวเราขายซาลาเปาไม่ออก
วันนี้ฉันล้า อยากพักสมองสักแป๊บ
การงาน(กัลยาณมิตร..ที่แท้อีกหนึ่งสิ่ง)ที่โหมรุมเร้า ผู้ร่วมงานไม่สบายระยะยาว ต้องรับหน้าที่อยู่โยงเฝ้างานการคนเดียวเป็นสิบ ยี่สิบ วัน
จิตใจไม่อยู่กับที่ (จิตตก)
หลังจากไหว้พระ ฉันจึงไปหาเธอ
ถ้าถึงกับไปหากัน..ไม่ใช่ดีใจ สนุกพิเศษ.. ก็จิตตกพิเศษ (เป็นที่รู้กันของเราสองคน)
เราก็ไม่ได้คุยลงรายละเอียด..งาน หรือ ความลับอะไร
เพียงแค่..นั่งสมาธิด้วยกัน..ค่ะ
เธอเป็นคนที่ศึกษาทางกรรมฐาน,วิปัสสนา,สมาธิ
แล้วเราก็จะกินขนมกัน..ทำกับข้าวง่าย ๆ (ไข่)กินกัน
ความล้าหายไปค่อนหนึ่ง
วันนี้พิเศษที่ได้คุยกันถึง..กะละมัง
กะละมังซักผ้า ธรรมด๊า ธรรมดา
แต่ต้องรีบเล่าเพราะเห็นว่ามีประโยชน์
เธอได้มีโอกาสเป็นพี่เลี้ยงวิทยากร หรือจะเรียกว่า"ครู"ก็ได้
ได้มีโอกาสสอนและอยู่ร่วมกับ"ค่ายกุลธิดา"
มีส่วนหนึ่งที่เป็นการทำงานบ้านร่วมกันเป็นทีม
เด็กหญิงรุ่น ๆ รุ่นใหม่ ซักผ้าไม่เป้นนะคะ นอกจากซักไม่เป็นแล้วยัง โวยวายเกี่ยงกันในหลายต่อหลายจุด ความเครียดที่ต้องเข้าร่วมกิจกรรมฝึกทางธรรมะด้วย
ก่อให้เกิดเค้าลาง ความยุ่งยาก
เธอ... เพื่อน..ของฉันจึงหยิบยกกะละมังซักผ้า ที่เต็มด้วยผ้า น้ำผงซักฟอกและ..ตะกอนความสกปรก มาถามเด็ก ๆ ว่า
ใครมีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้น้ำในกะละมังนี้ใส สะอาดได้
หลายต่อหลายวิธีที่เด็ก ๆ ร่วมกันตอบ
ทั้งเข้าท่าและแปลกพิสดาร..ตามจินตนาการ
เพื่อนฉันเพียงแค่อยากหยิบยกวิธีหนึ่งให้ฟัง,คิด ดูกัน
คือวิธีเปิดน้ำใส ๆ จากก๊อกน้ำ ให้น้ำใส ๆ ไหลเพิ่มเติมเข้าไปเรื่อย ๆ
แล้วลองทำให้ดู เห็นกับตาหนึ่งครั้ง (ลงทุนเปลืองน้ำหน่อย..)
เมื่อใสเห็น ๆ แล้วจึงเปรียบเทียบว่า
ใจคนก็เป็นเช่นน้ำ แรก ๆ เป็นเด็กจิตใจใสสะอาดบริสุทธิ์
โตมาอีกทีละวัน ทีละวัน ซึมซับแต่ละเรื่องราว
ดุจดั่งมีน้ำหมึกดำเปรอะเปื้อนน้ำฉันใดฉันนั้น
ใจหรือ จิตที่ผ่านการปรุงแต่งทีละวัน ทีละวัน..ก็แปดเปื้อนด้วยฝุ่น,ผงตะกอนใจ
จึงจำเป็นต้องมีการปล่อยน้ำใสให้รินไหลสู่ใจหรือจิต..ของ"คน" หรือ ตัวเองกันบ้าง
จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาทั้งทางจริยธรรม,ธรรมะ,หรือ..กลวิธีง่ายบ้าง ยากบ้าง..พักใจเสียบ้าง ให้ใจใส ให้ใจเย็น ให้ใจนิ่ง
เมื่อทำ ทดลอง และเปรียบเทียบให้ฟัง
เพื่อนฉันเล่าว่า..ได้ผลน่าพอใจ
เด็ก ๆ ช่วยกันในการจะทำให้น้ำในกะละมังของกลุ่มแต่ละกลุ่มใส
เลิก ลด การเกี่ยงงาน
แถมยังเอาหลักคิดง่าย ๆ นี้ไปใช้ กับการเก็บใบไม้ในวัด
ลืมบอกว่าเป็นค่ายของวัด..แห่งหนึ่งค่ะ
ฟังแล้ว..อย่าทำสิ่งที่ต้อง "อายเด็ก" นะคะ
รีบเติมน้ำใส ๆ ให้กับ..กะละมังใจ..ตัวเอง
คิดบวกไงคะ คิดบวก คิดบวก คิดบวก