เล่าเรื่องหลวงพ่อวัดปากน้ำ โดยศิษย์ผู้ใกล้ชิด


หลวงพ่อวัดปากน้ำ

เล่าเรื่องหลวงพ่อวัดปากน้ำ โดยศิษย์ผู้ใกล้ชิด 




ตอนที่  ๑  เรื่องบอกเล่าเกี่ยวกับหลวงพ่อวัดปากน้ำ  



ลุงเตชวัน  มณีวรรณวรวุฒิ

หลวงพ่อวัดปากน้ำ  ท่านจะสอนอยู่เสมอว่า  ให้เราทำตัวเหมือนผ้าขี้ริ้วเช็ดเท้านะ  อันนี้ท่านย้ำมากบอกอยู่บ่อย  แต่เราทำไม่ค่อยได้  ท่านบอกว่าต้องทำเป็นผ้าขี้ริ้วเช็ดเท้าเข้าใจไหม  เราเป็นเด็กก็ยังไม่เข้าใจ  แล้วท่านก็อธิบายว่า  เหมือนเขาเอาไม้มาตีเรา  แล้วถามว่าเราเจ็บไหม  ก็เจ็บนะ  แล้วเราจะตีเขาตอบไหม  เราจะโกรธไหม  ถ้าโกรธนั้นแหละตัวกรรม  ถ้าเขาตีเรา  แล้วเราอโหสิให้  เราจะได้แสงรัศมีของความอดทน  เราจะได้บารมีตรงนี้  นี่ตอนท่านสอนใหม่ๆ สอนไป  ก็ทำวิชชาไป  ท่านสอนอยู่เรื่อยๆ


หลวงพ่อท่านจะเอาใจใส่ดูแลลูกวัดอย่างใกล้ชิด  ในวันพระท่านก็จะลงปาติโมกข์  พอลงปาติโมกข์เสร็จก็อบรมพระเณร  ถ้าไม่อบรมตอนนี้ก็จะมีตอนเช้าไปฉันที่ศาลา  ก่อนจะเข้าโบสถ์ไหว้พระ




ลุงสมจิตร  ฉ่ำรัศมี

วิชชาธรรมกายนี้เป็นของจริงไม่ใช่ของเล่น  หลวงพ่อบอกว่า  “หยุดนั่นแหละ  เป็นตัวสำเร็จ”  เราเคยคิดว่า  “เอ...หลวงพ่อเรานี่  เก่งนี่หว่า  ท่านมีดีแต่ท่านไม่อวด”  เวลาท่านสอน  เราก็นั่งฟัง  “มีงไม่ต้องพูด  กุรู้”  หลวงพ่อพูดให้เราได้ยิน  แหม !  หลวงพ่อผมไม่ได้ว่าอะไรหลวงพ่อสักหน่อย


จิตใจเรานับถือท่าน  ศรัทธาท่าน  ศรัทธาเกิดขึ้น  บารมีเราก็แก่ขึ้น  คนเราถ้าไม่มีศรัทธา  บารมีไม่มีหรอก  ความนับถือ  ความเลื่อมใส  ต้องประกอบด้วยการปฏิบัติจริง  นึกถึงพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  หลวงพ่อวัดปากน้ำให้เชื่อเหตุ  เชื่อผล  อย่าไปเชื่อเพราะคำโกหกว่า  เขาคนโน้นเก่ง  คนนี้เก่ง  ต้องไปดูว่าเขาเก่งยังไง  ธรรมะนั้นมี ๓ อย่าง  คือกุศลาธรรมา  อกุสสราธรรมา  อัพยากตาธรรมา  บางทีเราเคืองเขา  น้อยอกน้อยใจนี่ เป็นอกุศล  บางทีอยู่เฉยๆ ก็คิดอยากจะทำบุญ  นี่ใจเป็นกุศล  บางครั้งก็รู้สึกเฉยๆ เรื่องนี้  พญามารเขาไม่ให้เรารู้หรอก  รู้แล้วตาย  หลวงพ่อบอกว่า  “ช่างมันเถอะ  เกิดมาทั้งที  ถ้าไม่ดีก็อยู่ไม่ได้  เกิดมาหาแก้วเจอแล้วไม่กำจะเกิดมาทำไม”


ท่านสอนให้เราเข้าใจตัวเอง  รู้จักตัวเอง  คนเราไม่เข้าใจตัวของตัวเองแล้วยังใช้ไม่ได้  ก็เหมือนกับคนเราถ้าไม่รู้ว่าเราคือใคร  มายังไงที่เป็นตัวตนอยู่นี้มาทำไม  ท่านบอกว่า  ตัวเรามีธาตุทั้ง ๔  คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ  ธาตุทั้ง ๔ มาประชุมรวมกัน  เกิดมาเป็นตัวเป็นตน  เผาแล้วก็จะเป็นเถ้าธุลี  ไม่ใช่ตัวของเรา  แต่ตัวจริงของเรานั้นมีอยู่ข้างใน  ตัวเรามี  ๑๘ กาย  กายฝัน  กายละเอียด  เรียงกันไป กายข้างนอกก็ตายไป  แต่กายข้างในไม่ตาย  พูดแล้วก็เหมือนโกหก  ถ้าไปเห็นแล้วมันจึงจะคุยกันได้  สมมติว่าเราฝัน  ตัวฝันนั่นแหละสำคัญ  เราต้องรู้แจ้งเห็นจริงในตัวเราว่าเรามีอะไรในตัวเรา  เราไม่เชื่อตัวเราแล้วเราจะไปเชื่อใคร  แกล้งเขาก็ได้  แกล้งตัวเองก็ได้  ตัวเราเองทั้งนั้น  สรุปความแล้วมันมีเหตุ  มีผลเกิดกับตัวเรา  หลวงพ่อวัดปากน้ำ  จะบอกให้ภาวนาไปเรื่อยๆ  สัมมาอะระหัง ๆ ๆ แล้วก็จะไปตกบ่อของใจ  บ่อกว้าง ๆ กว้างมากเลย  จิตตกอยู่ในตัวเรา  ตัวเราค่อยๆ สว่างๆ ไปเรื่อยๆ เห็นทุกดวงและเห็นในสิ่งที่เราไม่เคยเห็น  เขาบอกว่าอันนี้ไม่จริงนะ  ถ้าไม่ทำแล้วจะไปรู้ได้อย่างไร  มันต้องทำถึงจะรู้  





ป้าจินตนา  โอสถ

วิชชาธรรมกายเป็นวิชชาที่สูง  เป็นศาสตร์อันหนึ่ง  เป็นศาสตร์ของธรรมะ  ไม่ใช่ศาสตร์สายดำ  ถ้าเป็นศาสตร์สายดำ  ต้องเป็นเรื่องเสน่ห์  เล่ห์กล  แต่นี้ไม่ใช่  เป็นธรรมะ  ใช้ธรรมะล้วนๆ คนที่นั่งสมาธินั้นไม่ต้องทำอะไร  หลวงพ่อไม่ชอบให้ทำอะไร  ท่านบอกว่าทำแล้วหยาบ  สมาธิไม่นิ่งแน่น  นั่งไปก็ได้ยินแต่เสียงหลวงพ่อสั่งวิชชา  หลวงพ่อท่านจำชื่อแม่นทุกคน  เวร ๑  เวร ๒  เวร ๓  แม่ชีรุ่น ๑ เยอะมาก  รุ่น ๑ คือรุ่นตอนสงครามโลก  หลวงพ่อท่าจะจัดเวรดีมาก  คือรุ่นเก่าผู้ใหญ่หน่อย  ท่านก็ให้อยู่เวรดึก  เพราะว่าเด็กๆ ต้องเรียนหนังสือ  เรียนหนังสือกันเยอะเพราะเขาเอามาทิ้งเป็นลูกกำพร้า  หลวงพ่อท่านจึงเป็นทั้งพ่อทั้งแม่


ภารกิจหลวงพ่อจะเยอะมาก  แทบไม่ได้พักผ่อน  และท่านมีบุญมาก  ท่านเป็นต้นธาตุต้นธรรมในกลุ่มพระ  ท่านเดินนำพระเป็นร้อยๆ องค์  ท่านเป็นเหมือนพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง  ลักษณะของท่านนะผิวท่านจะขาว เกลี้ยงเกลา  ผิวท่านผ่องใส  พูดท่านก็ไม่ติดขัดเลย  หาต้นธาตุต้นแบบอย่างหลวงพ่อไม่มีอีกแล้ว  


แต่ก่อนก็มีคนมาโจมตีหลวงพ่อ  แต่สิ่งที่โจมตีนั้นไม่จริงนะ  มีเรื่องเกี่ยวกับสถานที่ข้างเคียง  หลวงพ่อท่านก็ให้แก้ในเหตุ  แก้ให้เป็นดี  จะนึกให้หลวงพ่อไปทำร้ายใครนะไม่มีหรอก  หลวงพ่อไม่เคยทำร้ายใคร  ที่จะบอกให้ทำร้ายมัน  ให้เซฟมันไป  ไม่มีหรอก  มีแต่ให้มันดีขึ้น





แม่ชีทวีพร  เลี๊ยบประเสริฐ

เรื่องของการทำวิชชานั้น  หลวงพ่อให้ทำวิชชาแก้  เภทภัยของประเทศ  และรักษาโรค  มีคนมาขอให้หลวงพ่อเรียกฝนก็มี  เป็นคนทำนาแถวๆ สุพรรณ  ให้ทำนา  ทำสวน  ทำไร่กันได้  แล้วฝนก็ตกจริงๆ จะช่วยกันในโรงงานมีอะไรก็ช่วยกัน  ในห้องนั้นห้ามนำอาหารเข้าไปกิน  เวลาแขกมาห้ามพาแขกเข้าไปในโรงงานทำวิชชา  คนป่วยที่จะให้รักษาต้องเขียนชื่อสกุลที่อยู่  เป็นโรคอะไร  แล้วส่งให้หลวงพ่อ  ท่านก็จะให้แม่ชีแก้อีกครั้งหนึ่ง  บางคนใช้เวลานานเหมือนกันกว่าจะหาย  และเมื่อเวลากลับบ้านแล้ว  ต้องปฏิบัติธรรม  และถือศีลด้วย  ก่อนนอนต้องนั่งธรรม  ๑๐-๒๐ นาที  อย่างโรคภัย  ไข้เจ็บ  อาการบ่งบอกว่าจะตาย  ในระยะเท่านั้นเท่านี้  พอหลวงพ่อส่งคนไปรักษาคนนั้นก็ไม่ตาย  วิธีรักษาก็ไม่ต้องกินยา  ใช้กายองค์พระธรรมกาย  กลั่นธาตุธรรมให้ใสให้สะอาด  อันนี้ต้องทำเรื่อยๆ ต้องไปรักษาคนถึงในโรงพยาบาลก็มี  อยู่ตามห้องพิเศษ  หมอรักษาทางนอก  เรารักษาทางใน  หลวงพ่อท่านส่งไป  หมอพบเห็นแม่ชีนั่งอยู่ข้างเตียงคนป่วยเขาก็รู้  แล้วก็หลบให้


เวลานั่งสมาธินั้นต้องนั่งให้มีความสุข  ไม่ให้มีกิเลสตัณหา  บางทีหลวงพ่อก็สั่งให้ไปนรกสวรรค์...  หลวงพ่อเคยสั่งให้ไปตามคนมา  เขาตะเอาไปนรก  ต้องให้ตามกลับมา  รู้ว่าต้องตายตอนนี้  แต่อย่าพึ่งให้เอาไป  เอาไว้สร้างกุศล  หลวงพ่อท่านจะส่งคนไปสอนธรรมะข้างนอกด้วย  ตอนนั้นจะมีแม่ชีทองสุข  ส่วนตัวฉันหลวงพ่อก็ให้ไปสอนธรรม ๕-๖ วันก็กลับ  หลวงพ่อให้ไปสอนที่ฉะเชิงเทรา  ส่วนมากจะไปตามวัด  ตั้งแต่หลวงพ่อสิ้นก็ไม่ได้ออกไปสอนธรรมะที่ใดอีก





แม่ชีพราหมณ์  ช้างเขียว

หลวงพ่อเป็นคนจริงจัง  ทำอะไรทำจริงทำจัง  พูดจริง  ทำจริง  พูดเรื่องอะไรก็ตาม  รับรองได้เลยไม่มีคลาดเคลื่อนเลย  คำพูดของท่านวาจาศักดิ์สิทธิ์  ท่านก็ไม่ดุ  แต่ไม่รู้ทำไมกลัวท่าน  ท่านรู้หมดแหละว่า  ลูก ๆ ท่านเป็นยังไงเวลาเทศน์  ใครสักคนกำลังคิดอะไรอยู่  ท่านก็เทศน์แทงใจเลย  คนนั้นก็จะรู้ด้วยตัวเอง  เรากลัวก็กลัว  แต่ก็รักหลวงพ่อ  หลวงพ่อให้ช่างปั้นรูปหล่อของท่านไว้  ท่านจะเดินไปให้ช่างดูตัวทุกวัน  ท่านรู้ว่าท่านจะเริ่มป่วย  ก็เลยให้ช่างปั้นรูปท่านไว้  ภายในบรรจุของศักดิ์สิทธิ์มากมาย  ฉันจำได้ตอนหลวงพ่ออายุราวๆ ๗๐ ปี  หลวงพ่อผิวขาวสวยงามมาก  ท่านดูผ่องใสมาก  น่าเลื่อมใสศรัทธามาก  ยิ่งตอนหลวงพ่อห่มจีวรใหม่จะดูหลวงพ่อสว่างทีเดียว


เวลาหลวงพ่อเทศน์  ถ้าวันไหนมีพระลงน้อย  ท่านก็จะบอกว่า  วันนี้พระแพ้แม่ชี  แล้วท่านก็จะไม่เทศน์ด้วย  พระก็จะต้องรีบวิ่งไปตามพระมา  ตามมาจนเต็มโบสถ์  วันหลังพระก็เข็ด  เวลาเทศน์ถ้ามีคนตะบันหมาก  ท่านก็จะหยุดเทศน์  รอให้ตะบันเสร็จก่อน  น่ากลัวมั้ยละ  คนกำลังเทศน์อยู่ดีๆ ก็หยุดเทศน์ไปเฉยๆ  วัยพฤหัสหลวงพ่อจะลงมาสอนธรรมะ  ถ้าใครส่งเสียงดังรบกวน  ท่านก็จะพูดไปเลยว่า  เดี๋ยวหูหนวกนะ  รบกวนคนกำลังปฏิบัติ  เวลาจะมีผู้ใหญ่มาวัดปากน้ำ  หลวงพ่อจะเดินตรวจวัด  เดินไปตามทาง  มองไปทางโน้นที  ทางนี้ที  ทุกคนรีบเก็บเสื้อผ้า  เรียบร้อย  รู้เลยว่าจะมีผู้หลักผู้ใหญ่มา


หลวงพ่อท่านเป็นคนประหยัด  ละเอียดถี่ถ้วน  เดินไปตามถนนท่านเจอเศษไม้เป็นท่อน  ท่านเก็บเอามา  ท่านบอกว่าเอาไว้ทำฟืนได้  พวกผ้าขี้ริ้วมันขาดแล้วก็อย่าเอาไปทิ้ง  ปะมันจำเป็นอะไรมันรั่วขึ้นมา  เอาน้ำมันยางโปะมันก็กันได้  ชั่วระยะไม่ให้ทิ้ง  แล้วที่ล้างชามอย่าไปเทพรวดๆ ค่อยๆ ริน เอาน้ำออก  แล้วไอ้ที่ก้นๆ ไปให้หมู  ให้หมากินก็ได้  ท่านสอนละเอียดเลย  สอนบ่อยๆ สอนมากๆ เข้าก็ค่อยๆ ซึมเข้าไป  สมัยนี้ไม่มีใครทำหน้าที่สอนเหมือนหลวงพ่อวัดปากน้ำเลย


 

  พระดร.มหาทวนชัย  อธิจิตโต

ขอย้อนไปเมื่อหลวงพ่อมาอยู่ใหม่ๆ มีปัญหามากคือญาติโยมบริเวณวัดไม่ศรัทธา  ไม่มีใครเข้าวัด  ตอนที่ท่านเล่าให้ฟัง  แล้วรองเจ้าอาวาสก็เล่าให้ฟัง  อดีตก่อนที่อาตมาจะเข้าไป  มีปัญหาแม้กระทั่งญาติโยมที่ไม่พอใจ  คนต่างจังหวัดมาทำบุญมากๆ เขาอิจฉา  เขาหาว่าหลวงพ่อจะมาทำอะไรที่ล้ำหน้า  แล้วก็เจริญเกินไป  พอเด่นขึ้นมาจะต้องมีคนอิจฉา  ถึงขนาดที่ว่ายิงท่าน  ทำร้ายท่าน  ใช้ปืนยิง  ทะลุจีวรตามที่ทราบมา  แต่หลวงพ่อก็ไม่เป็นอะไรหรอก  หลวงพ่อก็อดทนตลอดมา  ตั้งใจที่จะมาฟื้นฟูที่นี่ให้เป็นแดนพระพุทธศาสนา  เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์  แล้วก็เป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาซึ่งก็เป็นจริงในปัจจุบันนี้  วัดปากน้ำก็มีชื่อเสียง  และเป็นศูนย์กลางและเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของพระภิกษุสามเณร  อุบาสกอุบาสิกาเป็นจำนวนมาก  


หลวงพ่อท่านจะไม่เหมือนคนทั่วไป  ปกติท่านจะอยู่ในฌาณ  ท่านมีฌาณสูงมากเลย  การปฏิบัติของท่านคือท่านจะอยู่ในธรรมกาย  จิตของท่านอยู่ในธรรมกายจะอยู่ในฌาณอยู่ในสมาบัติ  ท่านไม่ใช่พระธรรมดา  ท่านอยู่ในสมาธิ  อันนี้เท่าที่อาตมาวัดได้นะ  เพราะว่าท่านจะไม่มีการขาดสติ  การทำอะไรโดยขาดสติจะไม่มี  จะเป็นคล้ายๆ พระอรหันต์งั้นแหละ  หลวงพ่อท่านเดินก็มีสติ  เอี้ยวแขนก็มีสติ  นอนก็มีสติ  จะนั่ง จะฉัน  จะเดิน  จะทำอะไรรู้สึกว่าท่านมีสติเต็มบริบูรณ์  สิ่งนี้อาตมารู้สึกประทับใจแล้วก็เห็นว่าเป็นสิ่งที่แปลก  ซึ่งไม่เห็นจากพระองค์อื่นๆ เราเป็นเณร  เราก็ช่างสังเกตนะ  พระองค์อื่นตลกคะนอง  หัวเราะเอิ๊กอ๊าก  อยากหัวเราะก็หัวเราะ  อยากกระโดด  หรือวิ่ง  หรืออะไร  บางทีมันขาดสตินะ  หลวงพ่อไม่มี  เดินนี้คล้ายพระอรหันต์  เหมือนพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง  เรื่องนี้แปลก  อาตมามารู้ทีหลังตอนเรียนปริยัติแล้วว่า  พระอรหันต์คือผู้ไม่ขาดสติ  ทำอะไรทำด้วยสติ  มาเจอกับหลวงพ่อวัดปากน้ำนี่แหละ







ลุงประคอง  ทับจ้อย

หลวงพ่อวัดปากน้ำ  ท่านไม่ดุหรอก  แต่ผิดวินัย ผิดระเบียบไม่ได้  สมัยหลวงพ่อมีพระ ๕๐๐ กว่าองค์  ใครมาทิศเหนือทิศใต้ที่ใดมาท่านรับหมด  ถ้าพระมาขออยู่ด้วย  ท่านจะถามประเด็นแรกว่า  เราเรียน  เราศึกษานะ  ห้ามหยิบอัฐนะ  แล้วค่อยถามว่าอยู่กับใคร  มีที่อยู่หรือยัง  จีวรมีไหม  มุ้ง  เสื่อ  มีไหม  ถ้าไม่มีท่านก็เรียก  “ยูร มาจัดของให้พระหน่อย”  ลุงประยูรเป็นอุปัฏฐากท่าน  ดูแลเรื่องการเงินการทองทุกอย่างในวัด  หลวงพ่อท่านไม่จับเงิน  และพระเณรของหลวงพ่อต้องแต่งตัวเรียบร้อย  ห่มเหมือนกันหมด  เณรห่มลดไหล่  ห่มดอง  พระห่มคลุม  พระที่อยู่วัดต้องปฏิบัติตามและไม่ต้องบิณฑบาต  เลี้ยงเองหมด  เลี้ยงมาตลอด  พอหลวงพ่อสร้างโรงเรียนเป็นตึกเอนกประสงค์ ๓ ชั้น  พระเณรก็สงสัยกันว่าสร้างให้ใครเนี่ย  เพราะสมัยนั้นถือว่าเป็นตึกที่ทันสมัยที่สุด  แถวนี้  ไม่มีใครสร้างเลย  หลวงพ่อท่านออกพระของขวัญมอบให้สำหรับผู้สร้างโรงเรียน  องค์ละ ๒๕ บาท  ถ้าใส่กรอบเงินก็ ๓๐ บาท  และถ้าทำก็ต้องมารับเอง  ลูกก็ต้องมารับเองกับมือ  รับแทนกันไม่ได้ถึงแม้จะทำมากกว่า ๒๕ บาทก็ต้องรับองค์เดียว  


หลวงพ่อท่านจะเป็นพระที่ไม่ค่อยคุย  แต่ท่านพูดอะไรจะพูดล่วงหน้าเป็นสิบๆ ปี อย่างเช่น สายบางนา  ท่านบอกว่าต่อไปจะเป็นสายใหญ่  สายนี้จะไปจังหวัดตราด  จังหวัดชลบุรี  ท่านพูดเป็นสิบๆ ปี  ทั้งที่ยังเป็นสวนเป็นทุ่งนาอยู่  เห็นหมู่บ้านไกลลิบๆ


ตอนสงครามโลกช่วงนั้นมีมดแดงกัดกัน  แปลกมันกัดกันตายเป็นกองเป็นเข่งเลย  ก็ไปบอกหลวงพ่อว่า หลวงพ่อมดมันกัดกันตาย  เต็มถนนไปหมด  หลวงพ่อท่านก็บอก “อือ  อีก ๗ วันสงครามจะเลิก”  หลวงพ่อพุดก็เลิกจริงๆ อีก ๗ วันสงครามเลิกเลย  ท่านไม่พูดอะไรมาก  พูดน้อย  พูดแต่คำสองคำก็เข้าโรงงานเลย  





พระอาจารย์สุวิชา  เปสโล  คณะเนกขัมม์  วัดปากน้ำ

เมื่อก่อนวัดปากน้ำไม่มีอะไรหรอก  ริเริ่มก็เป็นวัดเก่าแก่  กุฏิก็มีไม่กี่หลัง  สมัยหลวงพ่อที่นี่ก็เป็นสวนพลู  สวนหมาก  สวนมะพร้าว  สวนเงาะ  กุฏิเป็นกุฏิเล็กๆ ยกขึ้น  ปลูกด้วยไม้สัก  พักได้องค์เดียว  อยู่ตามร่องสวน  สมัยหลวงพ่อ  ตึกยังไม่มี  ยกโรงกลางสนามวัดให้พระได้ศึกษาเล่าเรียนปริยัติธรรม  ไม่ได้สร้างอะไร  อยู่มาพระเณรมากขึ้น  ไม่มีที่ศึกษาเล่าเรียน  มีคนเขาให้หลวงพ่อช่วยสร้างโรงเรียนขึ้นสักหลัง  ต่อมาจึงมีการสร้างพระของขวัญขึ้น  องค์ละ ๒๕ บาท  เพื่อนำเงินมาสร้างโรงเรียนหลวงพ่อบอกว่า  เราต้องสร้างคนเสียก่อน  ให้มีความรู้  ความเข้าใจในพระพุทธศาสนา  ให้รู้จักธรรมะ  ให้รู้จักบุญ  รู้จักบาป  รู้จักคุณ  รู้จักโทษ  เดี๋ยวเขาก็สร้างเอง  เขามีศรัทธาเดี๋ยวเขาก็สร้างเอง  ไม่ต้องบอก  แล้วอีกอย่างหนึ่งที่หลวงพ่อสอนทุกเช้า คือเมื่อพระภิกษุสามเณรบวชมาแล้วให้ตั้งอยู่ในธรรมวินัย  ไม่ต้องวิ่งไปหาญาติโยม  ให้อยู่ในวัด  ประพฤติปฏิบัติให้ดี  เมื่อเราประพฤติปฏิบัติดี  เดี๋ยวเขาก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาก็เอาอาหารมาถวายเอง  หลวงพ่อมีอุดมคติอย่างนั้น  พระภิกษุสามเณร อุบาสก  แม่ชีจึงต้องปฏิบัติกันทุกคน  ไม่ต้องกลัวอด  ถ้าอดเป็นอด  ตายเป็นตาย  ขอให้เราประพฤติ ปฏิบัติจริง  ตั้งอยู่ในพระธรรมวินัยจริง  มนุษย์ไม่เห็น  เทวดา ผีสางก็เห็นเขาก็สรรเสริญเอง


หลวงพ่อมีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ทั่วประเทศ  สมัยนั้นพระเณรหลวงพ่อไม่ให้มีวิทยุ  โทรทัศน์  ไม่ให้จับเงิน  จับทอง  แต่ก่อนพระเณรที่มาอยู่กับหลวงพ่อให้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน  ไม่ต้องห่วงเรื่องอาหาร  หลวงพ่อมีโรงครัวเลี้ยง  มีพระจบเปรียญกันมากมายจากวัดปากน้ำ  หลวงพ่อสด  ท่านสอนว่าใครจะโจมตีเรายังไงก็แล้วแต่  ท่านให้เราเป็นเสาหิน  เรียกว่าจะมีพายุทั้ง ๔ ด้านมาเราก็เฉย  มีครั้งหนึ่งมีคนมาด่าหลวงพ่อที่หน้าโบสถ์  ขณะหลวงพ่อกำลังเทศน์อยู่  หรือมีคนเอาปืนมาลอบยิงท่าน  ท่านก็ไม่ว่าอะไร  อยากจะทำก็ทำไป  เพราะเขาอิจฉาหลวงพ่อ  หลวงพ่อท่านบอกว่า  เราหยุด  หยุดเป็นพระ ชนะเป็นมาร  เราไม่หนี  เราไม่สู้  แต่เราปฏิบัติ  เราก็ทำความดีของเราเรื่อย  เดี๋ยวไอพวกมาร  พวกอิจฉาก็หายไปเอง  เรานั่งเฉย  ไม่ต้องไปโต้ตอบอะไร  เขาด่าเราภายใน ๗ วัน  เหนื่อยมันก็หยุดไปเอง  ไม่โต้ตอบ  ชนะด้วยความดี


ในการมาเรียนพระปริยัติธรรม  แต่ก่อนมีพระเณรมาเรียนกันมาก  มีถึง ๖๐๐ กว่าองค์  หลวงพ่อบอกว่าเลี้ยงไหว  ท่านบอกว่าเมื่อจั้งใจมาเรียนแล้ว  แม้จะคับที่ก็ขอให้อยู่ได้  อัศจรรย์อย่างหนึ่ง  คือหลวงพ่อเลี้ยงอาหารไหวตลอด  เดี๋ยวก็มีคนเอาข้าว  เอาอะไรต่ออะไรมาถวายทีหนึ่งก็เป็นลำเรือ





แม่ชีศรีปรุง  อุบลนุช

พอตี ๓ แม่ชีต้องลุก  ตวงน้ำใส่แก้ว  ตั้งตามโต๊ะ  กระโถนอยู่ตรงกลาง  เดี๋ยวนี้ไม่ต้องตวงน้ำแล้วมีแก้วกับขวดตั้งสะดวกสบาย  หลวงพ่อท่านเคยเรียกแม่ชีและบอกว่าโต๊ะตรงนี้นะ  กระโถนตั้งตรงนี้  ตั้งเป็นระยะๆ ผ้าจะปูตรงกลางแล้วมีแก้วน้ำ  กาน้ำแก้วน้ำนี้ต้องตวงด้วย  ท่านบอกต้องทำให้สะอาดนะ  ทำไปนะกุศลใหญ่  บุญใหญ่  สมัยนั้นยังใช้น้ำกรองตักจากแท้งค์ใหญ่  หลวงพ่อจะลงฉัน  เวลาพระฉันก็ได้ยินแต่เสียงช้อน  ไม่ให้คุยกัน  พระเยอะๆ ก็ไม่ให้นั่งคุย  ถ้าคุยท่านก็จะถาม  “ฉันข้าวหรือกินเหล้า”  ไม่ให้พูด  ได้ยินแต่เสียงช้อนเพราะว่าเป็นชามกระเบื้อง  แต่ก่อนแม่ชีท้วมเป็นแม่ครัวดูแลครัวทั้งหมด  มาอยู่ก่อน ๕ ปี  แม่ชีเขาจะมีเวรทำวิชชาไม่ขาดสาย  พอเวรนี้ออกคนโน้นก็มาแทนเปลี่ยนเวรกัน  ไม่ให้ขาด  หมุนเวียนไปเรื่อยๆ แล้วจะจัดสำหรับเอาไว้ให้ต่างหาก





แม่ชีรัมภา  โพธิ์คำฉาย

วิชชาในโรงงาน  หลวงพ่อจะเป็นคนสั่งวิชชา  พูดผ่านฝากระดานที่กั้นไว้ ชีแถบหนึ่ง  พระอยู่อีกแถบหนึ่ง  มีที่กั้นแยกกันชัดเจน  หลวงพ่อสอนทุกๆ คนเหมือนกัน  ไม่มีใครพิเศษกว่าใคร  มีครั้งหนึ่งตอนท่านป่วยหนักเป็นปีที่ ๑๓ ที่ฉันมาอยู่กับหลวงพ่อ  วันนั้นท่านให้คนมาเรียก  ท่านถามว่า  "เอ้าสั่นหายหรือยัง"  สั่นก็คือไม่สบาย  ฉันก็ตอบว่าค่อยยังชั่วแล้ว  ท่านบอกว่า  "ทำวิชชาไว้นะ  ทำได้เป็นของเรา  ถ้าเราไม่ทำ  เราจะไม่ได้"  สั่งคำนี้  ท่านสั่งไว้  ชีวิตจิตใจของหลวงพ่อไม่มีอะไรมากไปกว่าวิชชา ๒๔ ชั่วโมง  หลวงพ่อไม่เคยห่าง  ทำวิชชาตลอด  หลวงพ่อจะทดลองวิชชาอยู่เรื่อย  มีครั้งหนึ่งมีญาติโยมมานั่งกันเต็ม  ช่วงกลางคืน  คืนนั้นดาวเต็มท้องฟ้า  ท่านก็ให้เณรที่อยู่ใกล้ๆ ท่าน(หลวงพ่อเล็ก) ดับดาวบนท้องฟ้า  จะเห็นดาวดับเป็นแถบๆ เลย  เพื่อให้รู้ว่าวิชชาธรรมกายสามารถทำได้  ไม่ใช่เพื่อเหตุผลอย่างอื่น


ตอนที่ ๒  เรื่องบอกเล่าเกี่ยวกับวิชชาธรรมกาย



พระภาวนาโกศลเถร (ธีระ  ธมฺมธโร)  
หลวงพ่อเล็ก  (พระมหาเจียก)


ด้านวิปัสสนากรรมฐาน  นับได้ว่า  ท่านเป็นกำลังสำคัญที่สุดภายในวัดปากน้ำ  เพราะเหตุว่าพระภาวนาโกศลเถร(หลวงพ่อเล็ก) ได้ศึกษาทั้งหลักปริยัติและปฏิบัติมาแต่ต้น  ความสามารถในการถ่ายทอดแนวปฏิบัติ  และแทรกแนวคิดใหม่ๆ ให้เข้าถึงความรู้สึกของผู้มารับการศึกษาและปฏิบัติจึงมีส่วนให้ท่านได้รับยกย่อง


วัดปากน้ำ  เป็นศูนย์การศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนาที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ  ทุกๆ วัน  จะมีผู้สนใจมาศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานกันมาก  พระภาวนาโกศลเถร(หลวงพ่อเล็ก) ได้ยึดแนวทางที่เคยได้รับการถ่านทอดมาจากหลวงพ่อวัดปากน้ำฝึกสอนต่อไป  รวบรวมและจัดพิมพ์คำสอนแนวทางวิปัสสนาของหลวงพ่อเป็นหมวดหมู่  ออกเป็นรูปเล่มและเผยแพร่แก่ผู้สนใจอยู่เสมอ


พระภาวนาโกศลเถร(หลวงพ่อเล็ก)  นับว่ามีแนวความคิดอันเกี่ยวกับหลักปฏิบัติธรรมตามแบบวัดปาน้ำที่เรียกว่า “ธรรมกาย”  อันทันสมัยและน่าฟัง  ดังเช่นเมื่อครั้งที่ได้รับอาราธนาให้ไปในรายการของสถานีโทรทัศน์กองทัพบก  ท่านได้กล่าวถึงคุณประโยชน์แห่งการปฏิบัติ “ธรรมกาย” กับชีวิตประจำวันไว้ว่า


“ธรรมกายเป็นกายธรรมะ  อยู่ที่กลางใจเรานี่แหละ  หากได้พัฒนาให้ถึงจุดละเอียด  จะทำให้จิตใจบริสุทธิ์  อันจะมีผลสะท้อนให้การปฏิบัติภารกิจประจำวันเป็นไปตามแนวทางที่ถูกต้อง...”


และเมื่อถูกซักถามถึงภูมิธรรม...
“การเข้าถึงจุดธรรมกาย  ยังเป็นเพียงขั้นโคตรภูญาณเท่านั้น  อันอยู่กึ่งกลางระหว่างโลกียะ และโลกุตระ  ดังนั้นจึงมีการเข้าถึงและการเสื่อมได้  หากประมาทเพียงแค่นั้น  ย่อมยังอยู่ในวิสัยแห่งโลกียะ  ต่อเมื่อพัฒนาต่อไปจึงถึงขั้นละเอียดเป็นโลกุตตระ  ขีดขั้นแห่งคำว่า  ธรรมกาย  จึงมีอยู่หลายระดับ การปฏิบัติเท่านั้นที่จะตอบคำถามได้ดีที่สุด...”


มีชาวต่างประเทศเป็นจำนวนมากที่สนใจศึกษา “ธรรมกาย”  แต่สื่อกลางแห่งการถ่ายทอดยังเป็นอุปสรรคอยู่มาก  ท่านจึงริเริ่มรวบรวมคำสอนของหลวงพ่อวัดปากน้ำขึ้นแปลเป็นภาต่างประเทศ  เช่น  ภาษาจีน  และภาษาอังกฤษ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ได้ถอดเทปบันทึกเสียงของหลวงพ่อเป็นภาอังกฤษเพื่อส่งไปสอนยังต่างประเทศ  เช่น  สหพันธ์มาเลเซีย  สิงคโปร์  เป็นต้น


งานด้านเผยแพร่วิปัสสนา  “ธรรมกาย”  จึงยังเป็นอมตะอยู่ตลอดเวลาและยังคงรุดหน้าต่อไปด้วยหลักการที่ท่านได้รวบรวมคำสอนของหลวงพ่อไว้เป็นแบบฉบับ





พระภาวนาโกศลเถร (วีระ  คณุตฺตโม)

พระเดชพระคุณหลวงพ่อภาวนา  เป็นครูอาจารย์ผู้ประเสริฐของศิษยานุศิษย์  และท่านได้สอนอบรมตักเตือนศิษย์ทั้งหลายด้วยความเมตตาโดยตลอด  ดังจะเห็นได้จากคำสอนของท่าน  ซึ่งจะขออ้างมาตอนหนึ่งดังนี้  “การเจริญภาวนาเพื่อความหลุดพ้นโดยเจโตสมาธินี้  จิตของผู้เจริญภาวนาจะมีอานุภาพสูงยิ่งตามระดับคุณธรรมที่ปฏิบัติได้  จนอาจกล่าวได้ว่า  เมื่อท่านสาธุชนผู้ปฏิบัติทั้งหลายน้อมใจลงไป หยุด  ณ  ศูนย์กลางกาย  และบริกรรมภาวนา  “สัมมา  อะระหัง”  เมื่อใด  กระแสจิตของครูอาจารย์กับของศิษย์ก็ย่อมจะถึงกันในทันที  เพราะอยู่ในสายธาตุธรรมเดียวกัน  กระแสจิตจึงเชื่อมถึงกันโดยอัตโนมัติ  




พระครูวินัยธร  (ชั้ว  โอภาโส)

พระครูวินัยธร  เป็นผู้ทรงศีลวินัยอย่างเคร่งครัด  เช่น  การนุ่งห่ม  การฉันอาหาร  การไม่จับต้องเงินทอง  และในรูปคำสอนที่มีต่อพระเณรผู้เป็นอันเตวาสิกของท่าน  เช่น ท่านกล่าวว่า


"ศีล  เปรียบเสมือนแผ่นดินซึ่งได้ปราบหญ้าทำพื้นให้ราบเรียบ  เมื่อจะเอาของสิ่งใดมาตั้งวาง  มองดูแล้วก็สวยงาม  ก็เปรียบเสมือนพระภิกษุที่ประพฤติดีปฏิบัติชอบ  เคร่งในศีล  วินัย  ย่อมเหมาะแก่การเจริญธรรมอื่นๆ ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป"


นอกจากนี้ท่านยังเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งความไม่ประมาทในธรรมทั้งปวง  เช่น ก่อนและหลังบริโภคอาหาร  ท่านจะพิจารณาถึงอาหาเรปฏิกูลสัญญา  และบริโภคเพียงเพื่อให้ดำรงชีพอยู่ได้  และหลังบริโภคทุกครั้ง  ท่านจะแผ่ส่วนกุศลโมทนาแก่ผู้ถวายภัตตาหารนั้น  ท่านกล่าวว่า  ถ้าไม่ทำเช่นนั้นก็เท่ากับบริโภคด้วยการเป็นหนี้


ท่านยังได้ปวารนาตนกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระอาจารย์ของท่านว่า  ถ้าหากท่านกำลังจะกระทำสิ่งใดที่เป็นความผิดร้ายแรง  ก็ขอให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อตักเตือนท่านด้วย  ความเป็นผู้ไม่ประมาทในธรรมทั้งปวงยังอาจดูได้จากโอวาทของท่านเรื่อง  "เป็นธรรมกายแล้ว  อย่าเป็นธรรมโกย  ธรรมเก  ธรรมโกง"  ดังนี้


บางที  เมื่อทำสิ่งใด  เมื่อสติมันเกิดเป็น  "ธรรมเก"  ขึ้น  เมื่อเป็นธรรมเกขึ้นแล้ว  ทีนี้มันก็จะต้องเกิดเป็น  "ธรรมโกง"  หนักเข้าก็จะต้องหลอกลวงเขาเลี้ยงชีวิตเมื่อดับมืดเสียแล้ว  นี่เป็นแต่ครั้งพุทธกาลมาแล้วที่เป็น ธรรมกาย  ธรรมเก  ธรรมโกง


ธรรมโกงนี่น่ะ  พระเทวทัตน่ะ  นั่งธรรมกายดีกว่าเดี๋ยวนี้มากมาย  ถึงกับเหาะไปในอากาศได้  แต่ทีนี้ไปติดลาภเข้า  พอพระเจ้าอชาตศรัตรูบำรุงบำเรอด้วยภัตตาหารบริบูรณ์  ก็เกิดเป็นธรรมโกงขึ้น  ธรรมกายเป็นของบริสุทธิ์นี่คิดจะฆ่าพระพุทธเจ้า  จะเป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง  ธรรมกายก็ดับไป  เมื่อดับแล้วก็เกิดเป็นธรรมเกขึ้น  ทีนี้พระเจ้าอชาตศัตรูไม่เล่นด้วย  เมื่อพระเจ้าศัตรูไม่เล่นด้วย  ก็เสื่อมจากลาภสักการะ  เกิดเป็นธรรมโกง  ไปขอวัตถุ ๕ ประการ  ต่อพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าไม่ให้  ก็เกิดทำสังฆเภทขึ้นก็ไปอยู่ในอเวจีนรกกันเท่านั้น


เรื่องความรู้ในวิชชาธรรมกายของพระครูวินัยธร  (ชั้ว โอภาโส) นั้นหาอ่านได้ในเรื่องประสบการณ์ในการปฏิบัติภาวนา  วิชชาธรรมกาย  การครองจีวรและการปกครองธาตุธรรม  ได้ที่นี่
 http://geocities.com/dmk2548/


**********************************************************************

คุณครูตรีธา  เนียมขำ

-->>  โรงงานทำวิชชา

ผู้ที่เห็นเป็นวิชชาธรรมกายแล้วจะต้องผลัดกันเข้าเวรปฏิบัติกิจภาวนาตลอด  ๒๔  ชั่วโมง  ในสถานที่ที่หลวงพ่อจัดไว้ให้โดยแบ่งเป็นเวร ๆ ละ ๔ ชั่วโมง  สถานที่นี้เรียกกันว่า โรงงาน มาตั้งแต่สมัยหลวงพ่อ และปัจจุบันก็ยังคงเรียกเช่นนี้  หลวงพ่อจัดไว้สำหรับผู้ที่ได้วิชชาธรรมกายเข้าไปปฏิบัติภาวนา  แบ่งเป็น ๒ ด้านๆ หนึ่งสำหรับพระภิกษุ  อีกด้านหนึ่งสำหรับอุบาสิกา (ปัจจุบันคือวิหารอยู่ด้านหลังหอสังเวชนีย์มงคงเทพนิรมิตที่ประดิษฐานศพหลวงพ่อ และยังคงปฏิบัติกิจภาวนาเหมือนสมัยหลวงพ่อยังยู่)  หลวงพ่อท่านตั้งเป็นกฎเคร่งครัดมากว่า  ห้ามบุคคลที่ไม่ได้วิชชาธรรมกายเข้าไปในโรงงาน  ท่านมีเหตุผลของท่านหลายประการ  ได้แก่


๑. บุคคลภายนอกอาจเข้าไปทำเสียงรบกวนเป็นการทำลายสมาธิของผู้ที่กำลังปฏิบัติกิจภาวนา  จะเกิดบาปติดตัวผู้นั้นแม้จะมิได้ตั้งใจก็ตาม


๒. วิชชาธรรมกายนั้นเป็นวิชชาที่ละเอียดลึกซึ้งมาก  ถ้าผู้ที่ยังไม่รู้ไม่เห็นไม่เข้าใจปฏิบัติไม่เป็น  แล้วไปได้ยินได้ฟังเข้าก็จะทำให้เกิดวิจิกิจฉา คือความลังเลสงสัย  ทำให้ความคิดสับสนวุ่นวาย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนต่อวิชชา  หลวงพ่อท่านทราบดีว่าอันตรายจะเกิดขึ้นแก่บุคคลที่ยังไม่รู้ไม่เข้าใจดีพอ


๓. หลวงพ่อท่านไม่ต้องการให้บุคคลภายนอกเข้าไปชวนพวกที่ได้ธรรมกายพูดคุยกันด้วยเรื่องไร้สาระท่านบอกว่า  เสียเวลาทำวิชชาโดยใช่เหตุ


พวกเข้าเวรปฏิบัติภาวนานี้เป็นพวกประจำอยู่ในวัด  การที่ต้องผลัดกันเข้าเวรปฏิบัติกิจภาวนามิให้ขาด  ก็เพื่อให้ผู้ปฏิบัติเกิดความชำนาญ  มีความรู้ความเข้าใจละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีก  และช่วยบรรเทาความทุกข์ยากเดือดร้อนแก่ผู้ที่มาขอพึ่งบารมีหลวงพ่อ  รวมทั้งช่วยแก้โรคตามใบอาการที่ส่งกันมาด้วย


-->>  วิธีแก้โรคนั้น  หลวงพ่อท่านจะสั่งให้ค้นกรรมที่ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บของแต่ละคนด้วย  หลวงพ่อท่านบอกว่า  เมื่อรู้ว่าเขาเป็นโรคอย่างนี้แล้วก็ต้องค้นหาเหตุว่า เป็นเพราะเหตุใดทำกรรมอะไรไว้  แล้วไปแก้ที่เหตุ  ดังพุทธดำรัสว่า  “เยธมฺมา  เหตุปฺปภวา  ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ” หลวงพ่อท่านจึงเปรียบเสมือนนายแพทย์ผ

หมายเลขบันทึก: 144604เขียนเมื่อ 6 พฤศจิกายน 2007 16:25 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน 2012 03:01 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (17)

พระ ดร.มหาทวนชัย  อธิจิตโต

 
บ้านเกิดเมืองนอนอยู่จังหวัดนครราชสีมา  อำเภอพิมาย  บ้านท่าหลวง  มันมีเรื่องมหัศจรรย์สมัยที่หลวงพ่อวัดปากน้ำยังมีชีวิตอยู่  ท่านมีเมตตาเลี้ยงดูพระเณรแล้วก็กระจายชื่อเสียงความเมตตาไปทั่วประเทศไทยทั่วโลกก็ว่าได้  อาตมาเป็นผลิตผลน้อยๆ องค์หนึ่ง  ซึ่งมีบุญเกี่ยวพันกับหลวงพ่อมา  โดยที่ไม่ได้รู้จัก  ไม่ได้มากรุงเทพฯ เลย  อยู่ในป่าในดงห่างไกลความเจริญ  แต่มีพระที่มาปฏิบัติธรรมกายอยู่ที่วัดปากน้ำเป็นพระธุดงค์จะมีพระทั่วประเทศมาปฏิบัติธรรมสายธรรมกายของหลวงพ่อวัดปากน้ำที่หลวงพ่อรับผิดชอบสอนอยู่แล้วกลับไปประพฤติปฏิบัติ  แล้วองค์นี้ก็เหมือนกันกลับไปนครราชสีมา  อาตมาตอนนั้นจบชั้น ป.๔  บวชเป็นสามเณรเรียบร้อยแล้ว  เห็นมีลักษณะดี  พระธุดงค์เลยบอกว่า  “สามเณรอยากศึกษาเล่าเรียนก็ให้ไปวัดปากน้ำ  ภาษีเจริญนะ  ตลาดพลูนั่นแหละไปไม่ยากหรอก  นครราชสีมาไปหัวลำโพงเอง”

อาตมาก็ไม่เคยมา  เป็นเณรยังเด็กด้วย  แต่ด้วยบุญบารมีของหลวงพ่อวัดปากน้ำ  มีฤทธิ์มีเดช  ท่านสามารถทำให้อาตมาตัดสินใจโดยที่เป็นเด็ก  แปลกเหมือนกันปุ๊ปปั๊ปก็บอกว่าจะไปหาหลวงพ่อวัดปากน้ำ  ใครห้ามก็ไม่ได้  ซึ่งมันก็เป็นประสบการณ์ที่แปลก  ไม่มีใครเขาทำกัน  ซึ่งบารมีและแรงดลใจของท่าน  ท่านคงรู้ว่าเราคงจะมีประสิทธิภาพ  จะช่วยงานพระศาสนา  ช่วยงานหลวงพ่อ  ช่วยกู้เกียรติชื่อเสียงหลวงพ่อ  และช่วยกู้พระศาสนา  ก็ตัดสินใจขึ้นรถไฟจาก  อ.พิมาย  มาที่  จ.นครราชสีมา  ตอนนั้นปี พ.ศ. ๒๔๙๕  อายุ ๑๒  ปี  นั่งรถไฟมา  ถึงก็ช่าง  ไม่ถึงก็ช่าง  เราก็ไม่เคยนั่งแต่ด้วยบารมีของท่านคุ้มครองมา  คอยป้องกันจนกระทั่งมาถึงหัวลำโพงก็ห้าโมงเย็น  ไอ้เราก็ไม่เคยไปต่างจังหวัดไม่เคยออกจากบ้าน  ไม่รู้จะไปไหน  พอลงจากหัวลำโพงแล้ว  พอดีท่านก็ดลบันดาลให้พระชื่อว่าพระมหามาโนช  ซึ่งไม่รู้ว่าท่านมรณภาพหรือยังตอนนี้  ท่านเดินผ่านมา  เราก็บอกท่านว่า  “หลวงพี่  สิไปไหนเล่า”  พูดภาษาโคราช  ท่านก็บอกว่า  “จะไปวัดปากน้ำ”  นี่มันมหัศจรรย์ขึ้นแล้ว  เราก็จะไปวัดปากน้ำ  หลวงพี่ก็จะไปวัดปากน้ำเห็นมั้ยนี่  หลวงพ่อดลบันดาลให้  เราก็บอกว่า  “ผมขอไปดาวหวัด  ขอไปด้วยได้ไหมครับ”  พูดภาษากรุเทพก็ไม่เป็น  ตอนนั้นใช้ภาษาอีสาน  ภาษานครราชสีมาซึ่งมันเป็นไทเบิ้ง  มันก็ไม่ใช่ไทยแล้วก็ไม่ใช่ภาษาลาว  เราคงเข้าใจกันดี  หลวงพี่ก็บอกว่า  “ไปซิ  ไปเณร  ไปด้วยกันเลย”  ท่านก็รับไป

อาตมาเป็นสามเณรอีกองค์ที่ครูบาอาจารย์มุ่งหวังที่จะรับสืบทอดในวิชชาธรรมกาย  อาตมาก็ทำดีที่สุด  เพราะว่าสมัยเป็นเณรปฏิบัตินี้จิตมันไม่วอกแวก จิตมันไม่ฟุ้งซ่าน  เรื่องรูปเสียงกลิ่นรสนี้มันไม่มี  ผู้หญิงนี่รักไม่เป็น  ความรักนี่ไม่รู้จัก  เพราะฉะนั้นจิตมันก็แน่วแน่  นิ่งสงบเย็น  เบิกบานแล้วก็พร้อมที่จะปฏิบัติธรรมได้  เข้าถึงธรรมกายได้ง่าย  ก็สำเร็จธรรมกายตั้งแต่ตอนเป็นเณร  หลวงพ่อเรียกให้ไปเป็นทหารคือผู้ที่ได้ธรรมกายขั้นสูงแล้วจะต้องได้ระดมพลกันมาเพื่อที่จะทำงานต่อสู้กับฝ่ายอธรรม    คือคนที่ชั่วมันก็ชั่วสุดๆ เหมือนกันนะ  คนที่ชั่วสุดๆ มันก็มีหัวหน้าใหญ่เหมือนกันนะ  เหมือนกับฝ่ายข้าศึก    ฝ่ายคอมมิวนิสต์มันก็ใหญ่จริงๆ มันก็เป็นหัวหน้าฝ่ายชั่ว  ฝ่ายเสรีก็มีอเมริกาเป็นฝ่ายหัวหน้าหัวโจกอะไรอย่างนั้นนะ  เราเป็นพระฝ่ายธรรมะ  ฝ่ายพระพุทธศาสนาก็จะมีมารมารังควานตั้งแต่สมัยพุทธกาล  มีพระเทวทัต  มีมาร  นางจิณจมารวิกา  อะไรต่างๆ คอยมาเบียดเบียน  แล้วก็มาทำลายพระพุทธเจ้า  นัยยะเดียวกัน  สมัยที่เราปฏิบัติธรรม  ผู้ที่เข้าถึงธรรมกายแล้วสามารถเดินธรรมได้  สามารถที่จะถอดกายได้  ไอ้ที่ประหลาดที่สุดคือให้ถอดกาย  การถอดกายคือถอดจิตไปในที่  จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง  ไปดูสิ่งต่างๆ ไปพบเห็นในแดนที่ไม่เคยไป  ไม่รู้จัก  ไปพบบุคคลที่ไม่เคยรู้จัก  ไม่เคยเห็น  อันนี้เป็นอำนาจแล้วก็เป็นสิ่งปาฏิหาริย์ของวิชชาธรรมกาย 

อยู่มาครั้งหนึ่งท่านเจ้าอาวาส  นี่ก็ลืมชื่ออีกแล้วองค์ผอมๆ นั่นแหละซึ่งเป็นรองของหลวงพ่อวัดปากน้ำ  อยู่กันมามันก็สนิทสนม  แต่พอมาสี่สิบปีมันก็ลืมชื่อไปหมด  แต่เห็นภาพอยู่ในสมาธิ  เสร็จแล้วท่านทดลองอาตมาเป็นเณรธรรมกายมีเณรอยู่ด้วยกัน  องค์นั้นก็ตัวเท่ากันอายุสิบสองขวบ  ไม่รู้ไปไหนแล้ว  เสร็จแล้วท่านจับเรามานั่งให้ถอดกายไปดู  ตอนนั้นมันมีแมลงวันตัวหนึ่ง  อีท่าไหนก็ไม่รู้  มาตายต่อหน้าท่าน  “เออ  เณรเข้าสมาธิ  ตามดูวิญญาณของสัตว์ตัวนี้  ไปไหน”  เราก็เข้าสมาธิติดตามดู  ก็ติดตามดูไป  ท่านก็ให้ติดตามไป  ติดตามไป  วิญญาณเขาอยู่ที่ไหน  ไปที่ไหน  เราก็เข้าสมาธิไปดูนะ  ก็ตอบคำถามท่าน  ท่านถามว่า  “เห็นอะไรบ้างลูก”  เราก็  “เห็นแล้ว  ตอนนี้เขายังอยู่ที่นี่  ยังเจ็บปวดแล้วเขาก็ยังไม่รู้ว่าตัวตาย”  การตายนี่มันมีสภาพที่ตัวเองไม่รู้นะ  บางคนตายไปแล้ว  ทำงานศพแล้ว  แต่ตัวยังไม่รู้ว่าตาย  แต่เขาจะสามารถมามองย้อนดูตัวเอง  เอ๊ะมันฉันนี่  ไอ้รูปที่ตั้งอยู่ที่งานศพนี่ตัวฉัน  แล้วทำไมตัวฉันถึงมาอยู่ในสิ่งมีชีวิตอยู่ตรงนี้  ในกายใหม่  ภพใหม่  บางคนที่ไม่เข้าใจธรรมะ  เขาจะประหลาดใจตัวเอง  ว่าเอ๊ะ  นี่มันอะไร  มันศพใคร  เอ๊ะนี่มันตัวเรานี่นา  เรามันตายแล้วนี่นา  มันจะเกิดสิ่งที่ประหลาดแบบนี้  เพราะฉะนั้นเราต้องเรียนการเกิด  การแก่  การเจ็บ  การตาย  ให้คล่องแคล่ว  การเข้าฌาน  ออกฌาน  พูดเรื่องฌานเดี๋ยวจะหาว่าเป็น  อวดอุตริอีก  ก็พูดให้ฟังในฐานะที่ได้ศึกษาผ่านมา  ทำมา  ก็เป็นการให้วิทยาทานเป็นผลของการปฏิบัติ  สายวัดปากน้ำ  เป็นวิชชาถอดกายมีความสำคัญมาก  เราจะถอดกายบางทีก็ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า  ซึ่งคนส่วนใหญ่มากๆ ทีเดียวเขาก็ต่อต้าน  บางคนที่ไม่ได้ปฏิบัติ  ก็จะว่ามันเพี้ยน  และบางทีเราก็ถอดกายไปสวรรค์  ไปพบพระอินทร์นะ  ไปพบเจ้าผู้ครองนครสี่ทิศอะไรนี่  หรือบางทีเราก็ถอดกายไปเฝ้าผู้ที่มีบทบาทในพระพุทธศาสนาหรือไปถามปัญหาหรือมีข้อขัดข้องอะไร  มีปัญหาอะไรเกิดแก่ศาสนา  คือแม้แต่เกิดแก่วัด  แก่พระ  แก่เณรในวัดปากน้ำ  เราจะเข้าไปทูล  ไปกราบเบื้องบน  พระพุทธเจ้า  พระอรหันต์  เราสามารถอธิษฐานถอดกายไปพบปะแล้วก็ไปพูดคุย  หลวงพ่อเคยเล่าเสมอว่า  เรียกว่า  ไปจับเข่าคุยกัน  มันก็เหมือนกับเราคุยกันขณะนี้แหละ  มีตัวมีตนสามารถที่จะพูดคุยโต้ตอบคำถาม

อาตมาเป็นเณรเล็กๆ ก็สมัยที่ทีวีมาเป็นเครื่องแรกในประเทศไทย  ๒๕๐๐  ตั้งแต่นั่นนะ  เป็นสิ่งที่แปลก  เราไม่เคยรู้จักคำว่า โทรทัศน์  หรือทีวี  เทเลวีชั่น  เขาตั้งที่สนามหลวงประมาณ  ๕  เครื่อง  ให้ประชาชนดูล้อมรั้วล้อมเชือกให้คนเข้าไปดูว่า  มีภาพมันส่งมาปรากฏในจอภาพได้  ตอนนั้นเราก็ตกใจ  ตกตะลึงมากเลย  วิทยาศาสตร์นี่มันเจริญนะ  สามารถเห็นหน้าเห็นตาส่งภาพได้  ท่านพระครูธนิตก็เอาใจเณร  มีเมตตาธรรมมาก  ท่านก็ไปซื้อทีวีมาเครื่องหนึ่ง  เออ...แต่ก็ไม่ให้เสียการเรียนนะ  เณร...ดูทั่วไปนะ  แต่ว่าจะเอาใจเณร  วันหยุดหรือวันพระที่ไม่เรียนหนังสือ  ท่านจะมาเปิดแบบpublic  แบบสาธารณะเลย  ตอนห้าโมงเย็นมันมีมวย  ท่านก็มาตั้งไว้ที่โรงเรียนหลังปัจจุบันเนี่ะแหละ  ให้พระเณรได้มาดูมวย  เอ้า...เณรดูมวยดูข่าว  ท่านก็มีเมตตาให้เราได้รู้  อ๋อว่านี่คือเทคโนโลยีชั้นสูงนะ  เทคโนโลยีของนอกเขาถึงนี่แล้ว  แต่ยังช้ากว่าธรรมกาย  ธรรมกายนี่ปุ๊ปเดียวไปไหนๆ ได้หมดทั้งจักรวาลนะ  มันช้ากว่าเรา  อำนาจจิตนี้ไวกว่า  ไวกว่าเทคโนโลยี  เทคโนโลยีต้องมีเครื่องมือ  ต้องมีถ่าน  ต้องมีปุ่มกด  ต้องต่อสายผ่านโทรศัพท์หรือต่อผ่านดาวเทียม  แต่สมาธิหรืออำนาจของฌาน  คนอยู่ในฌานสูงๆ ที่ระดับเกจิอาจารย์  เขาจะติดต่อโทรจิตกันได้เลย  เขาสามารถที่จะรู้วาระจิตของกันและกัน  นัดหมายกันโดยที่ไม่ต้องบอกกล่าวเหมือนมาฆบูชา  ซึ่งพระอรหันต์สามารถที่จะมาประชุมโดยไม่ต้องโทรศัพท์โทรมือถือ  ไม่มีในสมัยก่อนโน้น  นี่ก็เหมือนกัน  เราสามารถคุยกันในสมาธิ

เขาลือกันว่า  ตอนนั้นสงครามเกาหลีนะ  หนังสือพิมพ์  "พิมพ์ไทย"  ยังมองเห็นติดตาเลย  จับใส่กรอบติดไว้ที่หน้ากุฏิหลวงพ่อนั่นแหละว่า  ทหารไทยโดนทหารฝ่ายคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือยิงเหมือนว่าไม่แตะต้องผิวหนังคือไม่เข้า  ไม่ตาย  เหมือนยาง  เหมือนบอน  เสร็จแล้วมันก็จะเป็นเพียงรอย  ไม่ตาย  เขาเรียกว่าไอ้พวกนี้เป็นทหารผี  ฝ่ายคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือนี่กลัวมากเลย  เจอทหารไทยนี่ไม่กล้าที่จะตอแยหรือว่าเข้ารบด้วย  สาเหตุมาจากเล่าลือกันว่าพระหลวงพ่อวัดปากน้ำนี่ศักดิ์สิทธิ์มาก  เออทหารนี่ข้าศึกยิงไม่ตาย  ยิงไม่เข้าก็เลยดังกันใหญ่เลย  หนังสือพิมพ์  "พิมพ์ไทย"  ก็ลงข่าวทหารผู้นั้นแขวนไว้อีก  ที่หน้ากุฏิที่เรือนฝาไม้  อาตมาก็ไปอ่านดู

พระครูปรีชาปริยัติกิจ  พระมหาเฉลียว  กัลป์ยาโณ  ป.ธ.๔

 

เจ้าอาวาสวัดศิลามูล  อายุจะล่วงเข้า  ๘๐  ปีแล้ว
เมื่ออาตมาบวชเป็นสามเณร  ที่วัดโคกยายเกตุ  จ.สุพรรณบุรี  ตอนนั้นอายุ  ๑๘  ปี  ปีพ.ศ.๒๔๘๐  เมื่อบวชแล้วหลวงพ่อโพธิ์เรียกให้ไปอยู่ด้วย  ท่านเล่าเรื่องหลวงพ่อสดให้ฟัง  ครั้งสมัยที่หลวงพ่อมาวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ  อาตมาตอนนั้นยังเป็นเด็กแต่ก็เกิดความศรัทธา  อยากจะไปพบหลวงพ่อสด  ตอนไปอยู่ที่วัดปากน้ำ  ไม่ได้ตั้งใจไปอยู่วัดปากน้ำ  จะไปอยู่วัดอินทรมหาวิหาร  แต่มีคนชวนไปอยู่วัดปากน้ำ  พอทราบว่าหลวงพ่อสดอยู่วัดปากน้ำ  ก็ตั้งใจไปอยู่ที่นั่น  ไปครั้งแรกปี  พ.ศ.๒๔๘๑  มีพระที่ไปด้วยกัน  ๓  รูป  ไปถึงก็กราบหลวงพ่อ  แจ้งความประสงค์ว่าจะมาเรียนนักธรรม  เรียนบาลีท่านก็รับไว้ 


พออยู่มาได้  ๔ – ๕  ปี  แล้วก็บวชเป็นพระภิกษุ  โดยไปบวชที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ  หลวงพ่อไม่ได้บวชให้เพราะท่านยังไม่ได้สอบเป็นพระอุปัชฌาย์

อาตมารู้จักหลวงตาสังวาลที่มาจากวัดบางปลา  มาเป็นผู้ปกครองที่วัดผาสุการา  มาสร้างศาลาขึ้น  ซึ่งสมัยนั้นหลวงพ่อสด  ท่านได้มาช่วยสร้างศาลาและเทศน์ให้ญาติโยมฟังด้วย  หลวงตาสังวาลเมื่อสร้างศาลาเสร็จก็กลับไปปฏิบัติกับหลวงพ่อในโรงงานทำวิชชา  อยู่วัดปากน้ำจนมรณภาพ  เป็นพระภิกษุที่มาจากวัดบางปลา  สมัยหลวงพ่อสดไปสอนธรรมครั้งแรกที่วัดบางปลาเป็นหนึ่งในบรรพชิตที่เป็นธรรม  แล้วก็ตามหลวงพ่อสดมาอยู่วัดปากน้ำ  อีกองค์หนึ่งที่มาจากวัดบางปลาคือ  สามเณรจำเนียร  ซึ่งเป็นที่โปรดปรานของหลวงพ่อสดมาก  เพราะเป็นเณรที่คล่องแคล่วดี  ตอนบวชเป็นพระ  หลวงพ่อยังมาเป็นคู่สวดให้ที่วัดบางปลาด้วย  หลังจากบวชแล้วก็ตามหลวงพ่อกลับไปอยู่วัดปากน้ำไปช่วยทำวิชชาในโรงงาน  องค์ที่หลวงพ่อส่งมาเป็นเจ้าอาวาสวัดลำพญา  ปัจจุบันนี้ทั้ง  ๒  องค์มรณภาพไปแล้ว  อีกองค์เป็นคนวัดไผ่หูช้าง  บางเลน  ชื่อหลวงพ่อใส  บวชที่วัดไผ่หูช้างแล้วก็ไปเรียนวิชชาธรรมกายกับหลวงพ่อสดที่วัดปากน้ำ  องค์นี้เก่งด้านวิชา  หลวงพ่อสดส่งไปสอนธรรมที่  จ.ระยอง  อยู่ทำวิชชากับหลวงพ่อสดจนหลวงพ่อมรณภาพ  หลังจากนั้นท่านก็กลับมาเป็นเจ้าอาวาสวัดไผ่หูช้าง  ปัจจุบันก็มรณภาพแล้ว

พระครูภาวนามงคล  วัดป่าเจริญธรรมกาย  จ.ร้อยเอ็ด

หลวงพ่อใสท่านเป็นศิษย์ของหลวงพ่อวัดปากน้ำองค์หนึ่ง  และเป็นพ่อแท้ๆ ของอาตมาเอง  หลวงพ่อใสท่านบวชเป็นพระเมื่ออายุ  ๒๙  ปี  สาเหตุก็มาจากแม่ของอาตมาตายหลังจากที่มีลูกด้วยกัน  ๓  คน  อาตมาเป็นลูกคนสุดท้อง


หลวงพ่อใสท่านเป็นพระที่เรียกได้ว่าภรรยาจากไปแล้วเกิดอาการทุกข์ใจ  มีความทุกข์อย่างมหันต์ต้องหาที่พึ่ง  ทางฝ่ายญาติพี่น้องก็เห็นดีที่จะให้บวช  เมื่อบวชแล้วก็มาอยู่ที่วัดดอนมะเกลือ  และมุ่งมั่นที่จะแสวงหาอาจารย์ดังๆ เพื่อปลดเปลื้องความทุกข์  ท่านจึงเดินทางไปทุกหนทุกแห่ง  ที่ไหนเล่าลือกันว่ามีอาจารย์ดีๆ  ท่านก็ไป  อาตมายังเป็นเด็กตอนนั้นอายุ  ๔ – ๕  ขวบก็รอนแรมเดินตามท่านไปเรื่อยๆ ไปนอนที่วัดคลองมะดัน  ยังจำในความรู้สึกได้ว่าท่านให้พระผู้ใหญ่องค์หนึ่งเป่าศีรษะให้  รู้สึกถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นหลวงพ่อโหน่ง  แล้วก็เดินทางต่อ

ท่านพารอนแรมไป  เดินไปวันละ  ๕ – ๑๐  กิโลเมตร  พออาจารย์ใดดังๆ ย่านสุพรรณบุรีที่สอนปฏิบัติกรรมฐานท่านไปมาหมดแล้วก็เลยพาออกไปโน้น  ไปล่องทะเลไปถึงปักษ์ใต้จากประจวบแล้วย้อนมาชลบุรี  หลวงพ่อใสท่านเดินธุดงค์ย่านดงเสือ  ดงช้างเลยล่ะ  ย่านชลบุรีมาเขาชะโงกเขาฉกรรจ์  ท่านไปหมดทั่วประเทศรูปร่างของท่านใหญ่เพราะเป็นตระกูลนักรบ  พ่อของหลวงพ่อใสเป็นทหารสมัยรัชการที่ ๔  มาปลดเกษียณเอาตอนรัชกาลที่ ๕  พ่อท่านตายในระหว่างเป็นทหาร  หลวงพ่อใสท่านเล่าให้ฟังว่า  โอ้  ลำบากมากไปเชียงใหม่ขึ้นดอยสุเทพไปถึงครูบาศรีวิชัยที่ไหนดังก็ไป  เดินไปโดยไม่มีรถ  หลังจากที่แสวงหาอาจารย์มาทั่วประเทศแล้ว  ท่านก็มาสิ้นสุดที่หลวงพ่อวัดปากน้ำ  หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านอยู่ในกรุงเทพฯ  บารมีท่านมากสาเหตุที่หลวงพ่อใสท่านยอมรับหลวงพ่อวัดปากน้ำเพราะท่านได้ดวงตาเห็นธรรมกับหลวงพ่อวัดปากน้ำ


มาที่วัดปากน้ำในระหว่างสงครามโลก  หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านตั้งชื่อหลวงพ่อใสให้ใหม่ว่า  “ณรงค์”  ซึ่งแปลว่า   “นักรบ”  ท่านเคยพูดในท่ามกลางประชุมสงฆ์ในโบสถ์ว่า  “อาจารย์ณรงค์องค์นี้ไม่ธรรมดา”  ซึ่งปกติท่านไม่พูดกับใครอย่างนี้  หลวงพ่อใสท่านได้ธรรมกายตอนลืมตา  คือ  ท่านดูพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ  ดูจนเพลินใจสบายจนจิตเคลื่อนเข้าสู่ภายใน  จนเห็นธรรมกายใสสว่างที่ศูนย์กลาง  หลวงพ่อใสท่านก็รอต่อวิชชา  เรียนวิชชาต่างๆ ท่านให้นอนอยู่ที่โบสถ์ต่อวิชชา  การเข้าโรงงานปิดเป็นความลับไม่เปิดเผยฉะนั้นพระที่อยู่ฝ่ายเล่าเรียนจะไม่รู้เรื่องเลย  นอกจากระดับพระผู้ใหญ่  หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านให้อยู่เป็นเอกเทศเลยสำหรับผู้ที่ทำวิชชา  ถึงเวลาเขาก็สะกิดหลวงพ่อใสไปทำวิชชา

หลวงพ่อใสท่านเล่าให้ฟังว่าต้องไปรบกับเขาด้วย  ต้องไปรบที่วัดปากน้ำ  เราได้ยินแต่ศัพท์นี้  ตอนที่เราเรียนหนังสือนั้นอยู่ระหว่างสงครามญี่ปุ่น  หลวงพ่อใสท่านเข้าวัดปากน้ำบ่อยมีพระมีโยมถามว่า  “ไปไหน”  ท่านก็พูดแบบตลกๆ บอกว่า  “ไปรบ”  ตอนนั้นเราก็ไม่รู้นะว่า  “ไปรบ”  คืออะไรทีหลังมารู้  อ๋อ...หลวงพ่อวัดปากน้ำพาพระและแม่ชีออกรบ (ด้วยการทำสมาธิ)


ในช่วงแรกๆ แต่เดิมนั้นหลวงพ่อใสท่านอยู่ที่วัดไผ่หูช้าง  อ.บางเลน  จ.นครปฐม  เป็นเจ้าอาวาสท่านไปๆ มาๆ ระหว่างวัดปากน้ำเพื่อเรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อสด  และได้มาอยู่กับหลวงพ่อวัดปากน้ำตลอดเมื่อตอนปี  พ.ศ. ๒๔๙๑  ท่านนั่งในโบสถ์  ในโรงงานทำวิชชามีโบสถ์นั่งเป็นกะ 

ปี พ.ศ. ๒๔๘๘  พระมหาเกตุ (เจ้าคณะจังหวัดนครนายก) และหลวงพ่อใสพาอาตมามาบวชเป็นสามเณรอยู่ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์  เอามาฝากไว้กับพระพิมลธรรม (ช้อย)  ท่านเป็นเจ้าอาวาสและเป็นสังฆมนตรี  ดูแลทางด้านปริยัติ  ตอนนั้นจะตั้งโรงเรียนมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย  ตอนนั้นวัดมหาธาตุยังไม่ได้ตั้ง  แต่ว่าทางสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานชื่อให้แล้วแต่ว่ายังไม่มีที่เรียน  พระพิมลธรรม (ช้อย) จึงปรารภว่า  ควรจะสร้างขึ้นซึ่งเป็นหลังสงครามโลกแล้ว  อีกทั้งพระพิมลธรรม (ช้อย)  ท่านปรารถนาอยากให้พระภิกษุสามเณร  ได้ปฏิบัติกัมมัฏฐานเพื่อพระจะได้มีที่พึ่งทางใจจึงนิมนต์หลวงพ่อวัดปากน้ำมาสอนกรรมฐาน  ที่คณะ ๑  วัดมหาธาตุฯ  ตอนนั้นยังเป็นศาลาไม่ใหญ่โต  ลมเย็นสบาย

หลังจากที่พระพิมลธรรม (ช้อย)  ท่านมรณภาพแล้ว  คนก็ได้ไปนิมนต์เจ้าคุณพระพิมลธรรม (อาส)  ซึ่งตอนนั้นยังเป็นเจ้าคณะจังหวัดอยู่กรุงศรีอยุธยา  อาตมายังจำได้เพราะว่าท่านเป็นศิษย์วัดมหาธาตุ  พอเจ้าคุณช้อยมรณะก็ไปนิมนต์มาแทน  ต่อมาท่านก็ประสบปัญหา  ทางด้านพระเถระก็อดอยากไม่มีใครใส่บาตร  ตอนนั้นอาตมาก็เห็นว่าหลวงพ่อใสท่านได้ย้ายไปอยู่วัดปากน้ำแล้ว  อาตมาจึงได้ย้ายไปด้วย  ที่วัดปากน้ำตอนนั้นหลวงพ่อช้วน  ซึ่งเป็นหลานของหลวงพ่อวัดปากน้ำคุมทำวิชชาทำพระของขวัญรุ่นที่ ๑  อยู่ที่โบสถ์  อาตมาก็ได้นั่งอยู่ด้วย
หลังจากที่พระพิมลธรรม (ช้อย)  ท่านมรณภาพแล้ว  คนก็ได้ไปนิมนต์  ซึ่งตอนนั้นยังเป็นเจ้าคณะจังหวัดอยู่กรุงศรีอยุธยา  อาตมายังจำได้เพราะว่าท่านเป็นศิษย์วัดมหาธาตุ  พอเจ้าคุณช้อยมรณะก็ไปนิมนต์มาแทน  ต่อมาท่านก็ประสบปัญหา  ทางด้านพระเถระก็อดอยากไม่มีใครใส่บาตร    ที่วัดปากน้ำตอนนั้น  ซึ่งเป็นหลานของหลวงพ่อวัดปากน้ำคุมทำวิชชาทำพระของขวัญรุ่นที่ ๑  อยู่ที่โบสถ์  อาตมาก็ได้นั่งอยู่ด้วย

 


ก็โอ้โฮ...เห็นพระเยอะนับไม่ถ้วน(พระภายใน)  เป็นพันเป็นหมื่น  หลวงพ่อช้วนท่านก็ถามตอนนั้นว่าท่านเป็นพระหนุ่ม  ส่วนใหญ่แล้วพระหนุ่มสมัยนั้นเขาไม่นั่งสมาธิกันหรอกเพราะเรียนหนังสือ  ส่วนอาตมาไม่ได้เรียนก็เลยไปนั่งด้วย  ตอนนั้นอาตมาไม่รู้ว่าเขาทำพระนะ  คือที่ทำพระจะอยู่อีกที่หนึ่งที่นั่งก็อยู่อีกที่หนึ่ง  แต่อาตมากลับนั่งแล้วเห็นพระเต็มเลย  ท่านก็บอกว่าดีๆ  ให้ระลึกถึงให้ใช้เมตตากรุณา  ถ้าสวดได้ก็สวดก็คือพุทธาภิเษกนั่นแหละ  วัดปากน้ำพุทธาภิเษกไม่เหมือนเขาหรอก  ไม่ต้องไปฟังเขาสวด  สวดเอาเอง


พระที่เขาทำนั้นมีเยอะ  เขาส่งมาเราก็ไม่รู้  ทำไมมีเยอะจริงๆ เราก็นั่งสวดไปท่องไปบทที่เราสวดได้เราก็สวดเรื่อยไป  ท่านบอกว่าให้สวดมนต์ไว้อย่าไปเอาออกให้นึกถึงไว้  พระที่สร้างตั้ง  ๘๔,๐๐๐  องค์  รุ่นนั้นท่านไม่ได้บอกเรา  พอออกพรรษาปุ๊บ  หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านแจกจึงได้มาองค์หนึ่ง

พระพุทธศาสนโสภณ (หลวงพ่อสุบิน) วัดหัวเขา

 

อาตมาถูกส่งไปสอนธรรมะที่ภาคใต้  ไปช่วยหลวงตาแอบ(เปิดสาขาปฏิบัติธรรมหลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ  ที่หาดใหญ่ สงขลา) หลวงตามหาอินทร์  หลวงตาผัน พอหลวงพ่อวัดปากน้ำใกล้มรณภาพท่านก็เรียกกลับ

หลังจากหลวงพ่อวัดปากน้ำมรณภาพ  อาตมาก็กลับมาอยู่ที่สุพรรณบุรี  มาพัฒนาวัดท่าช้าง  หลวงพ่อได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าคณะอำเภอวัดท่าช้าง  วัดใหญ่โต  ต่อมาโยมนิมนต์ให้มาอยู่วัดบ้านเกิด  วัดหัวเขา 

ปัจจุบันหลวงพ่ออายุย่าง  ๗๓  ปี  พรรษา  ๕๒   หลวงพ่อก็ยังปฏิบัติอยู่  ทำวิชชาธรรมกายตามแบบหลวงพ่อสด  โดยเฉพาะวันพระ  และวันอาทิตย์  หลวงพ่อจะมีเปิดสอนสมาธิ  เวลาบ่าย  โมงถึงบ่าย ๔ โมง  ทำสมาธิต่อเนื่องมาไม่เคยขาด

ท่านได้รับแต่งตั้งจากประเทศศรีลังกาเป็นพระราชาคณะตำแหน่งที่พระพุทธศาสนาโสภณ

พระครูภาวนากิตติคุณ  วัดเกษมจิตตาราม

 

อยู่กับหลวงพ่อสด  ก็ได้ใกล้ชิดท่าน  ได้อุ้มท่านนั่งได้ปลงผมหลวงพ่อ  เพราะเป็นคนมือเบา  อยู่กับหลวงพ่อ  ๕ – ๖  ปี  ได้ไปรับใช้ท่านจนท่านมรณภาพ  ผมที่ปลงแล้วจะนำไปรวมกันไว้  เพื่อนำไปทำพระของขวัญ  ฉันได้เข้าไปนั่งทำวิชชากับหลวงพ่อในโรงงานทำวิชชา  มีครั้งหนึ่งเกิดสงสัยในสิ่งที่เห็น  หลวงพ่อก็มาปรากฏที่ศูนย์กลางกาย  แล้วก็มีเสียงมาพร้อมภาพเลยว่า  ใช่แล้วที่เห็น  ไม่ต้องสงสัย  ทำไปเถิดลูก  นั่นแหละใช่แล้ว  ทำให้เรามั่นใจยิ่งขึ้น 

หลังจากหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านมรณภาพแล้ว  หลวงพ่อก็ถูกญาติโยมทางอุตรดิตถ์  ขอไปที่วัดปากน้ำ  พระ ๕๐๐ – ๖๐๐  องค์มีไม่เอา  แต่กลับเสนอหลวงพ่อ  ทำอย่างไรได้ก็ต้องมาบุกเบิกวัดเกษมจิตตาราม  ต.ท่าอิฐ  อ.เมือง  จ.อุตรดิตถ์  ปี พ.ศ. ๒๕๐๓ 

หลังจากหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านมรณภาพแล้ว  หลวงพ่อก็ถูกญาติโยมทางอุตรดิตถ์  ขอไปที่วัดปากน้ำ  พระ ๕๐๐ – ๖๐๐  องค์มีไม่เอา  แต่กลับเสนอหลวงพ่อ  ทำอย่างไรได้ก็ต้องมาบุกเบิกวัดเกษมจิตตาราม  ต.ท่าอิฐ  อ.เมือง  จ.อุตรดิตถ์  ปี พ.ศ. ๒๕๐๓ 

ปัจจุบันหลวงพ่อก็อยู่วัดเกษมมาก็  ๔๒  ปีแล้ว  บวชมาพรรษาที่ ๔๙  อายุก็  ๗๐  ปีแล้ว   หลวงพ่อได้รับนิมนต์มาเป็นเจ้าอาวาสปี พ.ศ. ๒๕๐๓  ได้เป็นพระครูภาวนากิตติคุณ  ตั้งแต่ปี  พ.ศ. ๒๕๑๙  ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะอำเภอฟากท่า (ชั้นพิเศษ) ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๐  ที่วัดเกษมฯ


หลวงพ่อปฏิบัติธรรมมาตลอดทุกวันไม่เคยขาด  หลวงพ่อมุ่งมั่นในวิชชาธรรมกาย  แม้เจออุปสรรค  หลวงพ่อก็ยึดหลักของหลวงพ่อวัดปากน้ำว่า  ไม่สู้  ไม่หนี  ทำความดีเรื่อยไป  ทางสมเด็จพระสังฆราชจึงตั้งให้วัดเกษมจิตตาราม  เป็นวัดปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดอุตรดิตถ์  ปัจจุบันหลวงพ่อได้ละสังขารไปแล้ว

พระเทพกิติปัญญาคุณ

“สร้างคนนั้นสร้างยาก
เรื่องเสนาสนะไม่ยาก
ใครมีเงินก็สร้างได้
แต่ความสำคัญต้องสร้างคนก่อน”


หลวงพ่อวัดปากน้ำ  ภาษีเจริญ  ได้กล่าวถ้อยคำประโยคนี้


พระเทพกิตติปัญญาคุณ  หรือหลวงพ่อกิตติวุฑโฒ  ผู้ก่อจิตตภาวันวิทยาลัย


ปีพุทธศักราช  ๒๕๐๐  เป็นปีที่อาตมาบวช  ตอนนั้นคิดว่าเมื่อโยมปรารถนาอย่างนั้นก็ควรบวชจึงหาวัดบวช  แต่ไม่ชอบใจสักวัดคือ  วัดแถบลุ่มแม่น้ำนครชัยศรีนั้นก็ยังไม่ชอบใจ  เพราะว่าบวชแล้ว  ต้องมีการเรียน  การปฏิบัติ  วัดบ้านนอกแถวนั้นไม่มี

วันหนึ่งได้นึกถึงเพื่อนรุ่นน้องซึ่งบวชอยู่ที่วัดปากน้ำ  จึงไปเยี่ยม  ชื่อพระปักษี  อยู่คณะภาวนา  มีหลวงพี่ประดิษฐ์เป็นหัวหน้าคณะ  เพื่อนพาไปกราบหลวงพ่อวัดปากน้ำ  แล้วก็พาอาตมาเที่ยวชมจนทั่ววัด  เราก็ดูว่าวัดนี้มีการศึกษาและมีการปฏิบัติสมาธิด้วยจึงตัดสินใจบวชวัดปากน้ำฯ

ในทุกๆ วัน  อาตมาก็ได้ปรนนิบัติหลวงพ่อท่าน  ต้องเข้าเวรอยู่คณะภาวนา  อาตมาได้สนทนาอะไรกับหลวงพ่อไม่มากเพราะท่านอาพาธ  ตอนอาพาธพระที่ท่านอยู่คณะภาวนา  ก็หมุนเวียนกันไปปรนนิบัติหลวงพ่อท่านจนถึงวันมรณภาพ 

อาตมาอยู่วัดปากน้ำฯ  จนถึงปี  พ.ศ. ๒๕๐๓  ตอนนั้น  สมเด็จป๋ารักษาการเจ้าอาวาส  เหตุที่ข้ามมาอยู่วัดมหาธาตุฯ  นั้นก็เพราะอาตมาต้องมาช่วยสอนพระอภิธรรมที่วัดมหาธาตุฯ  และสอนพระไตรปิฎกที่มหาจุฬาฯ  ที่แผนกธรรมวิจัย  จึงได้ขออนุญาตสมเด็จป๋าฯ  สมเด็จพระสังฆราช(ปุ่น  ปุณณสิริมหาเถร)  เพราะไม่อยากนั่งรถเมล์ข้ามไปข้ามมา  สมเด็จป๋าฯ  จึงอนุญาตให้ย้ายมาอยู่วัดมหาธาตุฯ

หลวงพ่อวัดปากน้ำได้คัดเลือกพระที่จะเป็นหลักแทนท่านไว้  ๕  องค์  ซึ่งเป็นการมองการณ์ไกลและการวางแผนในระยะยาวของท่านก่อนที่จะมรณภาพ  คือ



๑.พระภาวนาโกศลเถระ  (ธีระ  คล้อสุวรรณ)  หรือหลวงพ่อเล็ก  ซึ่งหลวงพ่อมอบหมายให้แจกพระของขวัญ  และสอนวิชชาธรรมกาย  และต่อมาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนา  หลวงพ่อเล็กเป็นพระที่หลวงพ่อวัดปากน้ำ  ได้ฝึกเคี่ยวเข็ญด้านการปฏิบัติวิชชาธรรมกายมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นสามเณร(ปัจจุบันมรณภาพแล้ว)



๒.พระภาวนาโกศลเถระ  (วีระ  คณุตฺตโม)  เป็นพระเชื้อสายญี่ปุ่น  เป็นอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ  องค์ปัจจุบัน



๓.สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์  (ช่วง  วรปุญโญ  ป.ธ.๙)  เป็นเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ  องค์ปัจจุบัน  และเป็นอาจารย์ให่ฝ่ายคันถธุระ



๔.พระธรรมวโรดม  (บุญมา  คุณสัมปันโน  ป.ธ.๙)  อยู่ที่วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม  หลวงพ่อวัดปากน้ำส่งไปเรียนที่วัดเบญจมบพิตรฯ  ปัจจุบันเป็นอาจารย์สอนปริยัติธรรมที่วัดเบญจมบพิตรฯ  และดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรฯ 

พระครูสังวรานุโยค  (พระอาจารย์ช่อ)  วัดโคกเกตุปุญญศิริ

 

แต่เดิมฉันบวชอยู่ที่วัดโคกเกตุ  ด้วยอยากไปเล่าเรียนธรรมวินัยเรียนบาลี  และกรรมฐานและฉันก็รู้ว่าเจ้าคุณพ่อ(หลวงพ่อวัดปากน้ำ)  ท่านเลี้ยงดูก็นึกว่าเข้าอยู่กับเจ้าคุณพ่อ  ท่านมีข้าวเลี้ยง  ยังไงๆ ก็ไม่อดตาย  แต่ไม่ได้มุ่งหวังลาภสักการะต้องการไปเพื่อการศึกษาอย่างเดียว  จึงได้เข้าไปพบหลวงพ่อวัดปากน้ำ  มหาเฉลียวเรียนท่านเจ้าคุณพ่อท่านให้ทราบว่า  ฉันจะมาอยู่ด้วย  เจ้าคุณพ่อก็เลยบอกว่า  เออ..มีกุฏิอยู่ก็จัดที่ให้พระองค์นี้ด้วย  ฉันก็เลยอยู่กับมหาเฉลียว  เวลานี้มหาเฉลียวก็ไปเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่  วัดศิลามูล  อ.บางเลน  จ.นครปฐม  ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่

ไปอยู่กับเจ้าคุณพ่อตอนปี  พ.ศ. ๒๔๙๓ – ๒๔๙๔  อยู่ได้  ๒  ปี  เจ้าอาวาสที่นี่มรณภาพ(วัดโคกเกตุ) ทางคณะสงฆ์ของวัดโคกเกตุก็ประชุมกันพร้อมด้วยกรรมการวัด  เขาบอกว่า  ต้องไปตามพระองค์ที่ไปอยู่วัดปากน้ำมาองค์อื่นไม่ได้  ต้องไปตามองค์นี้กลับมาวัด

ผลที่สุดต้องกลับมาวัดโคกเกตุ  ก็เลยเข้าไปกราบเรียนหลวงพ่อว่า  ทางวัดไม่มีใคร  ต้องกลับไปเป็นผู้ปกครองวัดโคกเกตุต่อไป  เจ้าคุณพ่อก็บอกว่า  เอ้อ...ไม่มีใครก็กลับไปช่วยวัดก่อน 

เจ้าคุณพ่อเวลาที่ท่านจะประสิทธิ์ประสาทให้วัตถุมงคลไป  ท่านจะต้องให้คาถาบทหนึ่งทุกๆ ครั้ง  ท่านจะให้แบมือแล้วก็ประสิทธิ์ประสาทว่า  “สิทธิ  กิจจัง  สิทธิธัมมัง  สิทธิพาริยัง  ตถาคโต  สิทธิเตโช  ไชโยนิจจัง  สิทธิลาโภ  นิรันธรัง  สัพพะโสตถี  ภะวันตุเต”  ซึ่งแปลว่าทำอะไรสำเร็จทุกอย่าง  หลวงพ่อท่านใช้ตอนมอบพระของขวัญ

พระครูสมุทรกวี  (หลวงพ่อจำลอง  อาสโภ [เนตรนิยม])  เจ้าคณะอำเภอบางคนที  จ.สมุทรสงคราม

 

“ไปอยู่กรุงเทพฯ เปล่า”  “ไปสิ”  หลังจากอาจารย์พร้อมชวนฉัน  ฉันก็ตัดสินใจที่จะไปอยู่กรุงเทพฯ ทันที  เพราะในสมัยนั้นสำนักเรียนบาลีหายากเหลือเกิน  คืนนั้นรีบเก็บข้าวของลงเรือ  ตอน  ๒  ทุ่มกว่าๆ ของปี  ๒๔๙๕  นั่งเรือมาวัดปากน้ำ  พอถึงวัดก็เข้าไปหาหลวงพ่อ

ท่านให้ความเมตตา  ความรัก  ความสงสาร  ไม่เคยลำเอียงไม่เคยอคติ  ไม่ว่าจะมาจากภาคเหนือ  อีสาน  หรือใต้  มีทุกภาคเต็มไปหมด  เป็นยิ่งกว่าพ่อกับลูก  เอาใจใส่เป็นภาระให้กับลูกศิษย์หมด  ใครเจ็บไข้ได้ป่วยท่านดูแล  ความเมตตาความเสียสละท่านมีอย่างสูงสุด


หลวงพ่อท่านเป็นผู้ที่เคารพธรรมะ  เคารพการศึกษา  บางครั้งหลวงพ่อวัดปากน้ำขึ้นเทศน์  ท่านจะนั่งหลับตาเทศน์  เราจะฟังท่านเข้าใจในช่วงต้นๆ แต่พอปลายๆ จะไม่เข้าใจ  ละเอียดจริงๆ ไม่รู้ท่านได้ค้นคว้ามาจากไหน  พระเปรียญธรรมสูงๆ อย่างเปรียญธรรม ๙  ยังงงเลย  เดี๋ยวหลวงพ่อยกธรรมะขึ้น  เดี๋ยวยกบาลีขึ้น  ท่านแตกฉานจริงๆ แล้วคนที่มาฟังนะ   ไม่ต้องห่วงเลยเต็มศาลาไปหมด  หลวงพ่อสดท่านมีพระรัตนตรัยในหัวใจ  บางครั้งท่านพูดไปๆ ท่านก็บอกว่า  ถ้าหากธรรมสูงๆ จริงๆ  ท่านไม่ได้พูด  ท่านอาราธนาพรหมมาพูด  ท่านพูดอย่างนี้จริงๆ ที่ท่านพูดอย่างนี้จะแฝงเรื่องราวในส่วนละเอียดอย่างไรฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน

หลวงพ่อสดเล่าให้ฟังว่า  วิชชาธรรมกายกว่าจะค้นเจอ  ค้นพบได้ใช้เวลาถึง  ๓๐  กว่าปี  เพราะเมื่อก่อนหลวงพ่อท่านบวช  ท่านก็ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานตามหลัก  ท่านบอกว่า  “มันอ้อม”  ท่านก็เลยพยายามค้นวิชชาธรรมกายนี้  จนได้ทางตรงนี้ขึ้นมาเป็น  สัมมาอะระหัง  หลวงพ่อเทศน์เสร็จแต่ละครั้งคนจะสาธุดังลั่นทั่วศาลา  ใครได้ฟังเทศน์จากหลวงพ่อนับว่ามีบุญวาสนา  ธรรมะลึกมากๆ  ตอนแรกพอฟังออกฟังเข้าใจ  พอหนักเข้าๆ ฟังไม่ออกแล้วเพราะว่าสูงมาก  หลวงพ่อพูดละเอียดในละเอียด  หยาบในหยาบ  สุดหยาบสุดละเอียด  ท่านพูดไปคล้ายท่านเห็นไปด้วย


หลวงพ่อบอกว่าที่ท่านมรณภาพนะ  ท่านสู้กับพญามารมาก  ไปปราบพญามาร  ไม่ใช่เสียใจเรื่องพระฝรั่งอย่างใครว่ากัน  แต่เป็นเพราะท่านสู้กับมาร ตรากตรำงานหนัก  ยังไงท่านก็ไม่ยอมแพ้  เคยได้ฟังธรรมะจากหลวงพ่อคำหนึ่ง  กุศลาธัมมา  อกุศลาธัมมา   อัพยากตาธัมมา  ท่านสอนในโบสถ์  ท่านบอกว่ามันมีฝ่ายดำ  ฝ่ายขาว  ฝ่ายไม่ดำไม่ขาว...ฝ่ายขาวคือพระพุทธเจ้าของเราก็พยายามส่งกระแสส่งสารให้คนทำความดีให้มากที่สุด  แต่ฝ่ายดำเขาส่งสาร  ให้คนทำความชั่วให้มากที่สุด  ส่วนไม่ดำไม่ขาวนี้  ถ้าเห็นว่าฝ่ายไหนมีกำลังมากก็จะสามารถเอาไปได้  ท่านเล่าตอนหนึ่งว่า  ตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ พญามารก็โผล่ขึ้นมาเลย  ผุดขึ้นมาถามพระพุทธเจ้าว่า  “จะสู้กับเราหรือจะสอนประชาชน”  พระพุทธเจ้าท่านตรวจดูแล้วท่านก็บอกว่า  “เราจะไม่สู้เราจะสอนประชาชน” พญามารก็บอกว่า  “เจ้าทำไป”  จะเห็นได้ว่าตอนที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมจะสำเร็จหมด  เพราะพญามารเขาเปิด  แล้วทีนี้หนักเข้าๆ พญามารก็เอาล่ะสิเห็นพุทธบริษัทมากขึ้นคนทำความดีมากขึ้น  พญามารอยู่ไม่ได้  ก็ทำให้พระปาราชิกบ้าง  อาบัติบ้างเรื่อยไป  พระพุทธเจ้าก็เข้าฌานถาม  ไหนว่าจะไม่รบกวนไง  พญามารก็บอกว่า  มันเป็นวิชชาของพญามาร  ท่านมีหน้าที่สั่งสอนก็สั่งสอนไปสิ  มีหน้าที่บัญญัติสิกขาบทก็บัญญัติไปสิ  มาระยะหลังก็เพิ่มบัญญัติ  อันนี้เป็นสิ่งที่เราไม่เคยฟังมาก่อนหลวงพ่อสดท่านเล่าให้ฟัง  เวลาเราจะสอนคน  เราจะดูคนก่อน  ถ้าหากว่าเขาเป็นลูกศิษย์เราจริงๆ สนใจธรรมะของหลวงพ่อสดจริง  เราจึงจะเล่าว่าหลวงพ่อท่านเคยพูดอย่างนี้  เพราะฉะนั้นเราก็เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าฝ่ายขาวของเรา


วันพฤหัส  หลวงพ่อท่านจะลงสอนวิชชาธรรมกาย  ถึงคนอื่นจะพลาดแต่บ่ายวันพฤหัส  ฉันไม่เคยพลาดเลย  ฉันจะไปนั่งกับหลวงพ่อ  เรื่ององคุลีมาลนี้จำแม่นเลย  “สมณะหยุด”  ท่านต้องการคำว่า หยุด  คำเดียว  คำว่าหยุดคือตัวถึง  ถ้าโลกเขาไปเร็วเท่าไร  ไปจรวด  ไปดาวเทียม  เขายิ่งเร็วยิ่งถึง  แต่ทางธรรมะเรา  “หยุด”  ได้มากเท่าไรคือถึง  หลวงพ่อท่านอธิบายธรรมะสนุกเข้าใจเล่า  ทิ้งจังหวะได้ดี  หลวงพ่อสดท่านพูดประจำว่า  การนั่งภาวนาได้บุญมาก  ใจหยุดเพียงชั่วช้างกระดิกหูหรืองูแลบลิ้น  ได้อานิสงค์กว่าการสร้างศาลาการเปรียญอีกเพราะมันทางตรง  วันหนึ่งเรานั่งสัก  ๕ นาที  ๑๐ นาที  ทำไปเรื่อยๆ  การนั่งกรรมฐาน  นั่งไปก็เกิดปัญญาเหมือนกับคนขุดน้ำบาดาล  ขุดพอถึงดินแล้วเราก็นึกว่าไม่มีน้ำ   ลองเจาะไปอีกสักพักสิ  บางทีน้ำมันจะอยู่ใต้ดิน  กรรมฐานก็เหมือนกัน  ลองนั่งต่อไปสักพักสิมันจะสบาย  แต่ส่วนใหญ่พอเราเมื่อยเราก็จะเลิกก่อน  หลวงพ่อสดบอกว่าต้องให้จริง  จริงขนาดไหน  แค่ชีวิตสิพอใกล้จะตายแล้วมันไม่ตายหรอกสำเร็จทุกที  หลวงพ่อท่านมีคติธรรมอยู่ข้อหนึ่งว่า  “ขุดบ่อล่อธารา  สู่อุตส่าห์ขุดเรื่อยไป  ขุดตื้นน้ำไม่มี  ขุดถึงที่น้ำจึงไหล”  ฉันเองอยู่กับหลวงพ่อนับรวมเวลาแล้ว  ๖  ปี  คิดว่าฉันนะยังมีบุญได้โกนผมหลวงพ่อตอนที่ท่านป่วย  ฉันจะเข้านั่งกรรมฐานกับหลวงพ่อไม่เคยขาด  เวลานั่งกับท่าน  ท่านรู้เข้าใจเราหมด  แนวของท่านดีมากง่ายต่อการปฏิบัติ  ครั้งอยู่เมืองกาญจน์ก็เคยขึ้นกรรมฐาน  พอมาวัดปากน้ำก็เลิกจากทางโน้นมาเอาวิธีของวัดปากน้ำเพราะง่ายกว่า

พระเมธีรัตโนดม (อำนวย  ปญฺญาวุฑโฒ ป.ธ.๗)  รองเจ้าคณะจังหวัดลพบุรี  เจ้าอาวาสวัดคุ้งท่าเลา


“ไปอยู่กรุงเทพกันเถอะ  ไปเรียนหนังสือที่วัดปากน้ำ  สบายมากไม่ต้องบิณฑบาต  เช้า-เพล มีอาหารถวายตลอด”  จากข่าวที่เพื่อนเณรนำมาบอกนี่เอง  ที่ทำให้อาตมาตัดสินใจเดินทางเข้ากรุงเทพ  เพื่อเข้ามาอยู่วัดปากน้ำ  เพราะสมัยนั้นพระเณรอยู่กันลำบาก  พึ่งบวชเณรได้พรรษาเดียว  ไปกราบหลวงพ่อ  หลวงพ่อท่านถามว่ามาทำอะไร  ก็บอกว่าจะมาอยู่ที่นี่  เธอจะอยู่ทำไม  ก็อยากเรียนหนังสือขอรับ  มีที่อยู่หรือยัง  มีแล้วครับ  แล้วมีพระดูแลหรือยัง  มีแล้วครับ  เท่านี้แหละท่านก็รับไว้  อาตมามีพระวิจิตรท่านดูแลเดี๋ยวนี้เป็นเจ้าอาวาสอยู่วัดภาษีอยู่กรุงเทพฯ นั่นแหละทางพระโขนง  จำได้ว่ารุ่นนั้นปีนั้นเณรหลั่งไหลกันมาเยอะมาก  เฉพาะเณรร่วม ๑๒๐  องค์  ในปี  พ.ศ. ๒๔๙๘  มีการเปิดสำนักเรียนใหม่หลวงพ่อสร้างโรงเรียนสองชั้น  สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันหรือสมเด็จช่วงก็กลับมาวัดปากน้ำ  สมเด็จช่วงท่านจบเปรียญธรรม ๙  ประโยคจากวัดเบญฯ แล้วก็มาเป็นอาจารย์ใหญ่ที่วัดปากน้ำ  จึงเปิดสำนักเรียนตั้งแต่ปีนั้นเป็นต้นมา


หลวงพ่อไม่ได้บังคับใคร  ท่านว่าใครจะเรียนอะไรก็เรียนได้จะเรียนปริยัติก็ได้  เรียนปฏิบัติก็ได้  อย่างใดอย่างหนึ่ง  ถ้าเรียนสองอย่างได้ยิ่งดี  แต่จะไม่เรียนเลยไมได้ 

หลวงพ่อไม่ได้บังคับใคร  ท่านว่าใครจะเรียนอะไรก็เรียนได้จะเรียนปริยัติก็ได้  เรียนปฏิบัติก็ได้  อย่างใดอย่างหนึ่ง  ถ้าเรียนสองอย่างได้ยิ่งดี  แต่จะไม่เรียนเลยไมได้ 


สำนักเรียนวัดปากน้ำตอนนั้นจะมีพระเณรเรียนเยอะ  พระเณรมีความขยัน  เพราะหลวงพ่อท่านมาให้กำลังใจ  หลวงพ่อท่านจะบอกว่าการเรียนการศึกษานี่เป็นหัวใจ  จะทำให้เรามีค่าสูงขึ้น  ไม่ว่าคนเราเกิดมาจากท้องไร่ท้องนาแต่เมื่อมาบวชมาเรียนแล้วต่างมีฐานะดีขึ้น  คนเคารพกราบไหว้สะอาดขึ้นมีเกียรติดีขึ้น  ยิ่งเป็นพระปฏิบัติด้วย  พระสุปฏิปันโน  ท่านว่าอย่างนั้นนะ  ถ้าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ  มีศีลตั้งมั่นอยู่ในศีล  ไม่ต้องกลัวอดกลัวอยาก  เงินทองลาภมันจะไหลมาเทมา  ยิ่งให้ยิ่งมี  ท่านว่าอย่างนั้น

พระธรรมรัตนากร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ เจ้าคณะเขตภาษีเจริญ

หลวงพ่อได้คุยถึงเรื่องการทำพระผงของขวัญ ท่านบอกว่า “เณร...หลวงพ่อทำพระนี้ 84,000พระธรรมขันธ์ พระของหลวงพ่อนี้อาราธนาพระพุทธเจ้า อาราธนาพระอรหันต์ มาทำพิธีตลอดไตรมาส พระของหลวงพ่อเป็นของเป็นไม่ใช่ของตาย ช่วยได้ในเวลาคับขัน และมีสมบัติไม่ขาดสาย”

ท่านยังกล่าวต่ออีกว่า “ถ้าใครมีพระของหลวงพ่อแล้วไม่จน ไม่ใช่ว่ารวยเป็นพันล้าน แต่ว่ามีมาเรื่อยๆ” อีกทั้งเวลาที่จะมีเหตุการณ์อะไรข้างหน้า พระของขวัญนี้จะบ่งบอกก่อน ให้รู้นิมิตก่อนว่า อะไรจะเกิดขึ้น สมมุติว่า ถ้าเราเดินทางไปทางขวา ถ้าไปขวาจะมีอันตราย...ไปซ้ายแล้ว ถ้าไปซ้ายจะมีอันตราย...ไปขวาแล้ว นี้เป็นอภินิหารของพระของขวัญ

 
    ในสมัยนั้น ท่านให้บูชาองค์ละ 25บาท ถ้าเลี่ยมด้วยก็ 30บาท ตอนนั้นผมเป็นสามเณร ก็พยายามเก็บเงิน ใช้เวลาถึงสองปีกว่าจะเก็บเงินได้ 30บาท ผมจึงได้รับพระของขวัญจากมือของหลวงพ่อ ปัจจุบันมีผู้เสนอให้ผมถึงสามแสนบาท
 
บางคนบอกว่า ไปหาหลวงพ่อ แล้วหลวงพ่อหยิบพระของขวัญให้เป็นกำๆ อันนี้ไม่จริง คนเดียวให้องค์เดียวครับ จะมีลูกมีหลานมีเหลน ก็ต้องไปรับกับมือของท่าน คือ หลวงพ่อต้องการให้ญาติโยมได้ทำบุญสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม แม้หลวงพ่อ...ท่านก็บริจาคเงินของท่านเอง เพื่อรับพระของขวัญ ใครจะทำบุญล้านบาท แสนบาท หรือหมื่นบาท ก็ได้รับเพียงองค์เดียวเท่านั้น และต้องไปรับกับมือของท่านด้วย และในสมัยนั้น ท่านจะห่อกระดาษไว้ ใครที่ได้รับไปจะไม่รู้ว่า องค์พระของขวัญจะสวยหรือไม่สวย เป็นโชคของแต่ละคน
 
    บางคนก็มาพึ่งบารมีของหลวงพ่อ โดยเขียนอาการของโรค...เจ็บป่วยอย่างนั้น เจ็บป่วยอย่างนี้ ให้หลวงพ่อแก้โรคให้ หลวงพ่อก็จะถาม ชื่อ นามสกุล บ้านเลขที่ ปีเกิด และป่วยเป็นโรคอะไร หลวงพ่อ...ท่านแก้เรื่องเวรเรื่องกรรมด้วย ใครมีเวรมีกรรมอะไร ท่านก็จะแก้ให้ ซึ่งก็มีคนหายเจ็บหายป่วยไปเป็นจำนวนมาก
 
 
    เมื่อนั่งคุยกับญาติโยมเรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อจะถือกระดาษที่เขียนอาการของโรคที่ญาติโยมนำมาให้ เข้าโรงงานทำวิชชา แล้วไปมอบให้กับผู้ที่ได้วิชชาธรรมกายแก้ไข
 
 
สมัยที่หลวงพ่อสร้างพระของขวัญใหม่ๆ ตอนนั้นมีสงครามเกาหลี มีทหารคนหนึ่งไปถูกยิงแล้วไม่เป็นไร พระของขวัญของหลวงพ่อดังตั้งแต่สมัยสงครามเกาหลีนะครับ และมีอีกคนหนึ่งนำรูปหล่อของหลวงพ่อไป อันนี้ทีหลังนะครับ เอาไปไว้ที่บังเกอร์ ลูกปืนตกมาที่บังเกอร์แต่ไม่เป็นอะไรเลยครับ...มีรูปหล่อของหลวงพ่ออยู่ เรื่องนี้ทหารมาเล่าให้ฟัง ระเบิดลงมาเลยครับ ขนาดต้นไม้ยังขาด แต่นี่ไม่เป็นไร เขาไปไหนเขาเอารูปหล่อของหลวงพ่อไปไว้ที่นั่น เพื่อไว้คุ้มครองชีวิต
 
 
    ต้องยอมรับว่า บารมีของหลวงพ่อนั้นศักดิ์สิทธิ์ ไม่เช่นนั้นหลวงพ่อจะไม่พูดว่า “หลวงพ่อแยกมาจากต้นธาตุต้นธรรม” ประโยคนี้ประทับใจผมมากๆ ผมก็แคลงใจมานานว่า “เอ...จะไปถามใครได้” ไม่กล้าถามหลวงพ่อ และท่านยังบอกว่า ให้มาปราบมารด้วย

หลวงปู่สุพัฒนา  ญาณเมธี  ที่พักสงฆ์หนองตะเคียน

 

อาตมาเกิดปี ๒๔๘๐  เป็นคนสุพรรณบุรี  บวชเป็นเณรครั้งแรกที่วัดสัมปะทิว  อ.เมือง  จ.สุพรรณบุรี  พอเรียนจบนักธรรมตรีจึงได้เข้าไปอยู่วัดในตัวจังหวัด  ต่อมาก็เข้ากรุเทพฯ  โดยการชักชวนของพระ  เหมือนบุญกุศลชักพาทำให้เรามาถึงหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ  ทั้งที่เราไม่รู้จักหลวงพ่อและไม่เคยมาวัดปากน้ำ  พออยู่ต่อมาก็ได้ศึกษาเล่าเรียนบาลี  นักธรรม  ได้มีโอกาสเข้าไปปรนนิบัติหลวงพ่อบ้างเป็นบางครั้ง  จึงได้รู้ถึงปฏิปทาของท่าน  ตอนนั้นหลวงพ่อท่านได้เป็นเจ้าคุณครั้งแรกที่  พระภาวนาโกศลเถระ

 

 

อาตมาอยู่ฝ่ายปริยัติก็เรียนธรรมะ  เรียนนักธรรม  เป็นหลักสูตรของพระบาลี  พอเรียนเสร็จแล้วก็สนใจในด้านการปฏิบัติด้วย  ยังไม่ทันสอบบาลีเราก็เรียนธรรมะจบ  แล้วก็เข้ามาปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อปฏิบัติในวิชชาธรรมกาย  ปฏิบัติในจุดนั้นได้    ปี  แต่ไม่ได้อยู่ในโรงงานทำวิชชา  อยู่ข้างนอกแต่พระที่มีความเข้มในการปฏิบัติในเรื่องของธรรมกาย  เข้าถึงธรรมกาย  เข้าถึงธรรมะแล้วจึงจะไปปฏิบัติในโรงงานทำวิชชาได้ 

 

 

ที่เรารบกันอยู่กันอยู่ทุกวันนี้  เป็นการรบกันของฝ่ายจิตสองอย่างคือ  ฝ่ายหนึ่งชั่ว  ฝ่ายหนึ่งดี  จุดนี้สำคัญ  หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านเล่าประวัติให้ฟังว่าตอนมาอยู่วัดปากน้ำใหม่ๆ แต่ก่อนท่านเป็นแค่พระครูสมณธรรมสมาทาน  มาจากวัดโพธิ์  พอหลวงพ่อท่านมา..วัดปากน้ำก็เจริญรุ่งเรืองต่อมาท่านบอกว่า  ต่อไปเนี้ย  ท่านพูดอนาคตข้างหน้า  ต่อไปจะมีการเปลี่ยนแปลง  แต่ก่อนเป็นกุฏิไม้  มีคณะเนกขัม  คณะดาวดึงส์  คณะดุสิต  คณะใต้  คณะเหนือ  การปกครองเข้มงวด  และการปกครองก็มิใช่เป็นแบบฆราวาสที่จะต้องมาปฐมนิเทศหรือเข้าคอร์สน่ะไม่ใช่  แต่ปกครองด้วยธรรมะ หลวงพ่อท่านให้โอวาทอยู่ทุกวัน  ลูกศิษย์ทั้งหลายต่างซาบซึ้งและเข้าใจดีว่า  จะต้องปฏิบัติและพระที่วัดนั้นมาจากบ้านนอกคอกนาโดยมาก  มาจากอีสานก็มี  มาจากเหนือใต้พร้อมหมด  มารวมกันที่นั้นลูกศิษย์ลูกหาหลวงพ่อเยอะแยะมากมาย  จบดอกเตอร์ก็มี  เป็น professor ก็มี  เป็นนายพลก็มี  นี่คือภาพในการปฏิบัติธรรมของท่าน  เราจะหาบุคคลอย่างนี้ในประเทศไทยในโลกไม่มีแล้ว  อภินิหารของหลวงพ่อนั้นมหาศาล  เขาเรียกว่าอภิญญา  แปลว่าความรู้ยิ่ง  พระที่เข้าถึงอภิญญาได้ต้องเป็นผู้สำเร็จธรรมะชั้นสูงในระดับพระอรหันต์  ไปนรก  ไปสวรรค์  ไปนิพพาน  หลวงพ่อท่านก็ไปได้อภิญญานี้  คือความรู้แจ้ง  มีหูทิพย์  ตาทิพย์  รู้ใจคนอื่น  แล้วก็รู้เรื่องการเกิดครั้งที่แล้วมา(ระลึกชาติได้) แสดงฤทธิ์ได้  และสุดท้ายอาสวขยญาณ  ทำกิเลสให้หมดสิ้น  หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านรู้จิตรู้ใจใครหมดเลยคือท่านว่าใคร  ตักเตือนอะไรใคร  แม้ไม่เจาะจงแต่คนที่ทำจะรู้ตัวแล้วก็กลับใจแก้ไขตนเอง

 

 

พระครูสุวัตถิธรรมประภาส  (จำเนียร  จิรโสตฺถิโก  ป.ธ.๔  น.ธ.เอก)  อดีตเจ้าอาวาสวัดลำพญาและเจ้าคณะอำเภอบางเลน

 

 

เป็นคนเจ็บออดๆ แอดๆ เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด  เมื่ออายุได้ ๑๔ ปี  ผู้เป็นบิดามีความปรารถนาที่จะให้เล่าเรียนภาษาบาลี  จึงได้นำไปฝากกับหลวงพ่อวัดปากน้ำ  สมัยที่ยังดำรงสมณศักดิ์เป็นพระครูสมณธรรมสมาทาน    แต่ท่านก็ไม่อยากเรียนอยู่ติดตามเป็นผู้คอยรับใช้หลวงพ่อจนอายุได้ ๑๙ ปี  จึงได้ทำการบรรพชาที่วัดปากน้ำ  ภาษีเจริญ  ธนบุรี  เมื่อวันที่  ๑๕  พฤษภาคม  พ.ศ. ๒๔๖๖

พระครูปัญญาภิรัต (ถวิล  ศรีบุญยรัตน์)

 

นายกล่อมผู้เป็นโยมบิดา  เป็นคนบางคูเวียงได้ทราบกิตติศัพท์ของหลวงพ่อวัดปากน้ำจึงเกิดศรัทธาในวิชชาธรรมกาย  จึงไปๆ มาๆ ติดต่อกับวัดปากน้ำ  จนเกิดความคุ้นเคย  ได้นำบุตรชายซึ่งติดตามมาวัดอยู่เสมอเข้าฝากเป็นศิษย์ของหลวงพ่อ  และเมื่ออายุครบ    ปี  ก็เข้าศึกษาอักษรสมัยที่โรงเรียนประชาบาลวัดปากน้ำ ซึ่งหลวงพ่อตั้งขึ้นด้วยความปรารถนาเพื่อสร้างกุลบุตร  กุลธิดาให้มีความรู้ความฉลาดจนจบ ป.๔  ของโรงเรียน

 

 

เมื่อออกจากโรงเรียนประชาบาลเพราะจบหลักสูตรแล้ว  ด้วยความพอใจและความปรารถนาของพ่อที่จะให้บรรพชา  เพื่อศึกษาทางศาสนา  จึงได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุได้  ๑๖  ปี  พ.ศ. ๒๔๗๓  บวชที่วัดโบสถ์ (บน)  บางคูเวียง  อ.บางกรวย  จ.นนทบุรี  สามเณรไปมาหาสู่ระหว่างวัดโบสถ์ (บน) กับวัดปากน้ำเป็นประจำ  เมื่ออายุได้  ๒๑  ปี จึงอุปสมบท  ณ วัดปากน้ำ  ภาษีเจริญ 

 

 

ในสมัยที่หลวงพ่อวัดปากน้ำยังมีชีวิตอยู่  ท่านได้รับมอบหมายจากหลวงพ่อให้เป็นเจ้าหน้าที่ขานชื่อพระและได้เป็นผู้ปกครองดูแลความประพฤติของพระ  เป็นหูเป็นตาแทนหลวงพ่อ  และได้ช่วยหลวงพ่อหาเงินบูรณปฏิสังขรณ์และก่อสร้างเสนาสนะภายในวัด  จนกระทั่งหลวงพ่อวัดปากน้ำมรณภาพ  

 

 

ท่านพระครูปัญญาภิรัต  เป็นเพื่อนสหธรรมิกกับพระครูมงคลพัฒนคุณ  และได้มาเยี่ยมเยียนไปมาหาสู่กันอยู่เสมอในสมัยที่พระครูมงคลพัฒนคุณยังดำรงสมณะศักดิ์เป็นพระครูใบฎีกา

 

 

ใน ปี พ.ศ. ๒๕๐๗  ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ  ได้ช่วยดูแลกิจการงานของสงฆ์ในวัดปากน้ำมาตลอด  ท่านมรณภาพ  พ.ศ. ๒๕๒๖

 

 

พระอาจารย์บำเรอ (พระครูภาวนานุวัตร)

 

อาตมาเดิมทีเดียวก็เป็นพ่อค้า  ขายของอยู่ที่คลองเตย  ทีนี้พี่สาวไม่สบาย  สติฟั่นเฟือนเลย  ต้องส่งโรงพยาบาลคลองสาน    ครั้ง  แล้วก็มีลูกศิษย์ของวัดปากน้ำชื่ออาจารย์ลำใย  เป็นอาจารย์สอนด้วย  อยู่ที่บ่อนไก่แล้วก็บอกว่าหลวงพ่อมียาบาทจิต  ครูลำใยก็ใช้ยานี้แล้วก็ใช้สมาธิแก้ไปด้วย  ก็บอกกับอาตมาว่า  เราฝึกไปด้วยซี  ราวๆ สักเดือนหนึ่งก็หาย  จากโรคประสาทอย่างแรง  ไม่มีเรื่องอะไร  บางทีก็เล่นเป็นเด็ก  พอรู้ก็ไปรับพี่สาวออกจากโรงพยาบาล  แล้วก็ไปศึกษากับหลวงพ่อ  หลวงพ่อก็แนะนำให้กินเพิ่ม  ต้องกินเพิ่มไป  ปกติยาของแพทย์แผนปัจจุบัน  กินแล้วตื่นขึ้นมาแจ่มเลย  แต่ยาแผนไทยของหลวงพ่อกินเข้าไป  พอตื่นมายังงัวเงียอยู่  ยังมีฤทธิ์ค้างอยู่  เราก็กินต่อ  ฤทธิ์มันก็จะเชื่อมกัน  หลวงพ่อบอกถ้าอยากให้หายก็ให้เพิ่มยามากขึ้น  แล้วท่านก็แนะนำ  ถ้ามีปานแดงขึ้นตรงก้นกบแล้วอย่าเพิ่มยา  พอถึงเวลาปานแดงขึ้นมาจริงๆ เราก็ให้หยุดยาแล้วก็หายจากโรคอย่างอัศจรรย์

 

 

 

วันอาทิตย์เราก็มาวัด  มาปี  ๒๔๙๕  ตอนนั้นอายุ  ๓๘  เกือบ  ๓๙  ปี  มีเพื่อนคนหนึ่งชื่อเจ้าแหลม  ภรรยาเป็นเชื้อจีน  ภรรยากระทำไอ้แหลมใช้ยาเสน่ห์  เขาก็บอกให้ใช้วิชชามาช่วยไอ้แหลม  คือวิชชานี้เราเพ่งไปที่ตัวหนังสือจีนบนป้าย  ตัวหนังสือตกลงมาเลย  เราก็คิดว่าวิชชานี้สูงมาก  หนังสือจีนที่ติดอยู่ที่ฝา  ล่วงลงมา  ยังไม่ทันทำอะไร  แต่เพ่งเราก็คิดว่าวิชชานี้สูงสุด  เราก็ได้ไม่ค่อยดีนัก  ธรรมะยังไม่ค่อยชัด  เราก็คิดว่าถ้าไม่บวชวิชชาต้องเสื่อม  เพราะขายของมันยุ่ง  ไม่ค่อยมีเวลา  บวชมาช่วยหลวงพ่อดีกว่า  ก็เลยจะบวช  แต่ว่าโยมคงไม่ยอม  ก็เลยหนีไปบวช  อาตมามีนาเป็นมรดก  ก็ไปเก็บค่าเช่านาตอนปิดเทอม  แล้วก็ไม่กลับเลย  บอกหลวงพ่อสดว่าจะบวช  หลวงพ่อบอกว่าบอกโยมหรือยัง  เราก็บอกว่าถ้าบอกไม่ได้บวช  ท่านก็บอกเอ้างั้นก็บวช  บวช พ.ศ. ๒๔๙๘  อายุ ๔๐ ปี  ก็ช่วยหลวงพ่อสอนมาตลอด  หลวงพ่อท่านรู้  เวลาท่านไม่อยู่  ท่านให้ไปสอนแทนวันพฤหัสบดี  ไปสอนแทน    ครั้ง  ตอนแรกไปเรียนกับแม่ชีก่อน  แล้วแม่ชีก็ไปเรียนท่านว่า  วันนี้คนได้ธรรมะคนหนึ่ง  ท่านก็บอกว่า  ต่อไปจะเก่ง

 

 

 

มีครั้งหนึ่ง  วันพฤหัสตอนบ่ายหลวงพ่อสอนอยู่บนศาลา  มีหญิงสาวคนหนึ่งร้องไห้มาเลยก่อนหลวงพ่อสอน  ท่านรู้ก่อน  ท่านบอกว่าให้เขาเถอะ  คือมรดกแม่ให้แต่น้องสาว  ตัวเองไม่ได้  นี่เป็นเหตุการณ์ที่เรานั่งอยู่ด้วย  การเรียนวันพฤหัส  ถ้าเป็นผู้หญิง  หลวงพ่อจะให้ไปต่อกับแม่ชีหนอม(ถนอม)  ส่วนผู้ชายให้มาต่อกับอาตมา

 

 

 

หลวงพ่อวัดปากน้ำ  แต่ก่อนมหาวิเชียรจะเป็นคนปลงผมให้หลวงพ่อ  แต่ไม่ค่อยตรงเวลา  เราก็บอกว่า  เราเอาเองก็แล้วกัน  เพราะอยู่ใต้ถุนกุฏิหลวงพ่ออยู่แล้ว  จึงได้ปรนนิบัติรับใช้ปลงผมหลวงพ่อเดือนหนึ่งปลงผม    ครั้ง  แต่ก่อนท่านเจ้าคุณภาวนาก็อยู่ด้วยกัน  แล้วหลวงพ่อเล็ก(พระมหาเจียก)มาขอผมหลวงพ่อไปผสมในพระของขวัญรุ่น ๓ 

พระมหาบุญชอบ  สุนฺทโร (ฉายสุวรรณ)  ป.ธ. ๓

 

ฉันเป็นเด็กที่เติบโตมากับวัดรุ้ง  ต.บ้านเรียง  จ.อ่างทอง  พอจบ ป.๔ แล้วก็เรียนนักธรรมต่อ  ตอนไปสอบก็โกนหัวเป็นสามเณรแล้วสอบได้นักธรรมตรี  ตอนนั้น  ปี ๒๔๙๐  มีหลวงตารอดพระธุดงค์  บ้านเดิมหลวงตาอยู่ท่าเรือ  จ.อยุธยา  เป็นเพื่อนกับหลวงพ่อจ่ายวัดรุ้ง  หลวงพ่อวัดรุ้งก็ปรารภกับฉันว่า  จะเอาฉันมาอยู่กรุงเทพฯ  ทีแรกว่าจะให้ฉันมาอยู่วัดสุทธิวราราม  แถวถนนตก  เพราะหลวงพ่อวัดสุทธิวรารามเป็นเพื่อนหับหลวงพ่อจ่ายวัดรุ้ง  ท่านก็เลยจะเอามาฝาก  แต่หลวงตารอดบอกเอามาฝากวัดปากน้ำเถิด  หลวงตารอดก็พอมีสัมพันธ์กับวัดปากน้ำ  เคยมาปฏิบัติอยู่

 

 

 

หลวงตารอดเป็นคนนำฉันมาฝากกับหลวงพ่อวัดปากน้ำ  ฉันมาตอนอายุ  ๑๔  ปี พ.ศ. ๒๔๙๑ 

 

 

 

ถ้าอยากจะรู้ละเอียด  มีเพื่อนฉันคนหนึ่ง  เป็นรุ่นน้องมาจากวัดรุ้งเหมือนกัน  ถ้าอยากรู้พิสดาร  ไปพบ อ.สมจิตร  ฉ่ำรัศมี  อยู่ชุมแสง  นครสวรรค์  อายุเขาอ่อนกว่าฉันปีหนึ่ง  เขานั่งปฏิบัติใกล้ชิดกับหลวงพ่อในโรงงาน

 

 

พระอาจารย์สุวิชา  เปสโล  คณะเนกขัมม์  วัดปากน้ำ

 

เดิมอาตมา บวชเป็นสามเณรตั้งแต่อายุ  ๑๗  ขวบ  ที่ อ.นางรอง  บุรีรัมย์  บวชอยู่ ๒ ปี  แล้วมาเรียนต่อที่วัดบึง  โคราช  อยู่วัดบึง  พออายุครบบวช  ก็ไปบวชที่วัดใหม่  อ.นางรอง  บวช พ.ศ. ๒๔๙๐  อาตมาอยู่จังหวัดนครราชสีมา  ตอนนั้นก็สืบประวัติว่า  ในกรุงเทพมีหลวงพ่อองค์ไหนบ้างที่เป็นนักปฏิบัติ  ในสมัยนั้นนะเรียกว่าปฏิบัติแล้วได้ประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรมะ  ได้ข่าวว่ามีหลวงพ่อวัดปากน้ำ  ตอนนั้นวัดเป็นสวนต้องไปลงเรือที่ตลาดพลูเป็นเรือจ้าง  มาขึ้นที่วัดปากน้ำ  แล้วก็เข้ามาหาหลวงพ่อ  เข้าไปกราบท่าน  อาตมาขออยู่กับท่านใน ปี ๒๔๙๑  หลวงพ่อท่านก็รับมาอยู่  แต่มีสัญญา    ข้อที่ท่านให้ไว้ คือ

 

 

 

๑.      ต้องตั้งใจศึกษาเล่าเรียนคือคันถธุระ  ศึกษาระเบียบแบบแผนขนบธรรมเนียมประเพณีของพระ

๒.    เรื่องวิปัสสนาธุระ  เป็นเรื่องปฏิบัติ  เรียนเท่าที่เราจะเรียนได้  ขึ้นอยู่กับว่าเราจะไปปริยัติไหวไหม  จะไปปฏิบัติไหวไหม

 

 

 

อาตมาเรียนปริยัติจนจบนักธรรมเอก  แล้วก็เรียนบาลีต่อ ๔ ๕ ปี  สุขภาพไม่อำนวย  ก็หันมาทางปฏิบัติวิปัสสนาใน พ.ศ. ๒๔๙๓  นอกจากนี้ยังช่วยวัดเป็นอาจารย์สอนปริยัติธรรมขั้นตรี  โท  เอก  เรื่อยมา  สอนมา  ๒๔  ปี  หลังจากนั้นพระเณรที่เรียนสำเร็จมีมากขึ้นก็เลยให้มาช่วยสอนแทน  ก็อยู่เรื่อยมาจนหลวงพ่อมรณภาพ  อาตมาก็ไม่ได้ไปไหน  เคยไปช่วยสอนที่ อ.บางเลน  จ.นครปฐม    พรรษา  ทุกวันนี้ก็ช่วยบรรยายธรรมะอยู่บนหอหลวงพ่อ  เทศน์ให้กับผู้มานั่งเจริญวิปัสสนาเป็นประจำ  แล้วก็ไปสอนอยู่ที่พุทธมณฑลซึ่งจะมีการแสดงธรรมทุกวันอาทิตย์  ก็หมุนเวียนกันไป 

 

สามเณรมงคล  เล่าโดยลุงสังวาล  เทียนทองคำ

 

ในปีพุทธศักราช  ๒๔๗๖  พ่อของลุงซึ่งเป็นพ่อค้าข้าว  บ้านอยู่ติดแม่น้ำท่าจีน  เคยรู้จักหลวงพ่อสด  สมัยนั้นค้าข้าวมาด้วยกัน  ในครั้งนั้นมีเสียงร่ำลือกันว่า  หลวงพ่อสดสอนธรรมกายมีชื่อเสียงโด่งดัง  ก็อยากให้ลูกไปอยู่กับท่านพ่อก็เลยเอาพี่ชายไปยกให้หลวงพ่อถวายให้เป็นลูกเลย  หลวงพ่อจะสอน  จะดูแลอย่างไรให้เป็นกรรมสิทธิ์ของหลวงพ่อ  แล้วหลวงพ่อก็รับไว้ต่อมาก็ให้บวชเป็นสามเณร  ชื่อสามเณรมงคล  อายุประมาณ  ๑๕  ปี  เพราะสามเณรพี่ชายอยู่กับหลวงพ่อ  ทำให้ลุงได้ใกล้ชิดอยู่กับหลวงพ่อด้วย  ตอนที่ลุงปฏิบัติกับหลวงพ่อ  ก็เคยเห็นธรรมกาย  หลวงพ่อเคยใช้ให้ไปดูคนที่ตายไปแล้ว  เรานั่งไปดูคนที่รู้จักเป็นลุงชื่อตาสอน  แกอยู่ข้างบ้าน  แกโกงที่ดินเขาเป็นประจำเลย  ขนาดยังไม่ทันตายตัวแกก็เจ็บเหม็นเน่า  เหมือนคนตาย  ลองนั่งไปดูซิไปเจอจริงๆ อยู่ในนรก  ไปใช้กรรมร้อนที่สุด  ไปขุดดินใช้หนี้เขา  ทำตลอดเลย  เราก็ถาม  อ้าวลุงทำไมมาทำอย่างนี้หล่ะ  แกก็บอกว่า  ตอนกูเป็นมนุษย์กูไปโกงที่เขา  กูก็ต้องมาใช้หนี้เขา

 

 

อย่างสามเณรมงคล  เณรพี่ชายก็ไปนรกสวรรค์ได้  เก่งเป็นอันดับ ๒ รองจากหลวงพ่อสดเลยสมัยนั้น  หลวงพ่อสั่งสามเณรมงคลออกไปสอนธรรมกาย  ส่งออกไปรักษาโรคแทนท่านจนมีชื่อเสียงโด่งดัง  รู้วาระจิตได้  มีอยู่ครั้งหนึ่งเณรมงคลไปที่บ้าน  มีลุงแถวบ้านคนหนึ่งแกชื่อทหาร  เมียแกตาย  แกรู้ว่าสามเณรไปที่บ้าน  พอเมียตายก็พายเรือไปหาเณร  พายเรือไปร้องไห้ไป  พอไปถึงก็เรียก  สามเณร  บอกว่า  เมียตายแล้ว ทำไงดี  พูดไปก็ร้องไห้ไป  สามเณรอยู่บนบ้านก็บอกว่า  ลุงกลับบ้านไปเถอะ  เดี๋ยวเมียก็ฟื้น  มาถึงบ้านเมียก็ฟื้น  ตอนนั้นเมียตายแล้ว  ดับจิตไปแล้ว  เมียเขาชื่อยายจ้อย  เป็นญาติพี่น้องกันนี่แหละ  พอเมียฟื้นขึ้นมาก็บอกว่า  มีเณรไปที่เจ้าโลก(ยมโลก)  สามเณรไปช่วยมา  ไปเปิดดูบัญชีเลยว่า  คนชื่อจ้อยเนี้ยะ  ถึงเวลาหรือยังที่ต้องเอาไป  เขาบอกว่า ยัง  เขาจับคนผิดคนชื่อจ้อยเหมือนกันแต่ไม่ใช่จ้อยนี้  ถ้ายังไม่ถึงที่ตายก็เอามาคืน  จ้อยนี้อยู่ได้อีก ๖ ปี  ถ้า ๖ ปี แล้วก็เอาไป  อีก    ปีต่อมา  ยายจ้อยก็ตายจริงๆ

 

 

เมื่อสามเณรมงคลอายุได้  ๒๐  ปี  ก็ลาสึก  หลวงพ่อสดไม่ให้สึก  ก็ดันทุรังจะสึกให้ได้  จนในที่สุดก็หาทางสึกกับพระรูปอื่น  หลวงพ่อท่านพูดไว้ตอนสามเณรมงคลมาขอสึกว่า  ถ้ามึงสึกไปชีวิตจะตกต่ำ  อายุจะสั้น  อย่าสึกไปเลย  หลังจากทิดมงคลสึกไปแล้ว  ชีวิตก็ตกอับ  ตกต่ำลงไปเรื่อยๆ ทำมาค้าขายก็มีแต่แย่ลงเรื่อยๆ ชีวิตก็เกือบตายหลายครั้ง  จนในที่สุดต้องไปป่วยตายที่โรงพยาบาล  อายุขัยได้แค่  ๓๐  ปี เท่านั้น  เป็นดังคำที่หลวงพ่อสดได้พูดไว้ทุกประการ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท