จากมหาสารคามถึงสงขลา ใช้เวลาเดินทางรวดเดียวแบบไม่พักค้างคืนที่ไหนก็ในราว ๆ 24 ชั่วโมง เรียกได้ว่าวิถีชีวิตส่วนใหญ่พลิกตัวขยับกาย และมีลมหายใจอยู่บนรถบัสเลยก็ว่าได้
ผมไปถึงมหาวิทยาลัยทักษิณในราวเกือบ ๆ จะสี่โมงเช้า … อากาศค่อนข้างดี มีลมเย็นจากท้องทะเลอันใกล้พัดพลิ้วโบกโบยมาเยือนเป็นระยะ ๆ อีกทั้งกลิ่นอายของสายฝนที่ดูประหนึ่งเพิ่งจากจางไปไม่นานก็ทิ้งริ้วรอยไว้ให้หัวใจได้สัมผัสอย่างแช่มชื่น
นี่เป็นการมาเยือนสงขลาครั้งที่สองของผม ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 2544 และครั้งนั้นก็ล่วงผ่านไปสู่รัฐกลันตันของมาเลซียด้วยเหมือนกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นครั้งแรก หรือครั้งนี้ ผมก็มาในนามการเข้าร่วมกิจกรรม “เทา - งามสัมพันธ์” อยู่วันยังค่ำ
คนจากที่ราบสูงอย่างเรา ๆ ได้รับการต้อนรับอันดียิ่งจากมิ่งมิตรชาว ม.ทักษิณ มิตรภาพฉายชัดอย่างไม่ต้องแคลงใจ และเห็นได้ชัดว่าเจ้าภาพตระเตรียมอะไรต่อมิอะไรไว้อย่างเต็มล้น และก่อนการแยกย้ายเข้าที่พัก เรานัดหมายให้นิสิตกลับมาเจอกันอีกครั้งในช่วง 5 โมงเช้า โดยมีเป้าหมายอย่างคร่าว ๆ คือการตะลอนทัวร์สงขลา ซึ่งมีเจ้าภาพอาสาจะเป็นไกด์นำเที่ยวอย่างเต็มใจ
ทุก ๆ ชีวิตตอบรับเป็นเสียงเดียวกันว่าพร้อมเสมอสำหรับโปรแกรมในครั้งนี้ โดยลืมไปว่าเราต่างอิดโรยกับการเดินทางมากแสนหนัก แต่นั่นถ้าไม่ไปทัวร์ในห้วงนี้ ก็เท่ากับว่าเราไม่มีโอกาสอีกแล้ว เพราะตารางทั้งปวงถูกขึงยึดไว้ด้วยโปรมแกรมอื่น ๆ อย่างแน่นหนา –
เจ้าภาพที่เป็นนิสิตนำพาเราเดินทางไปสู่จุดหมายแห่งการใช้ชีวิตในเมืองชายทะเลอย่างน่าตื่นตา โดยเริ่มจากการไปเยือนสะพานติณสูลานนท์และเกาะยอ
จากคำบอกเล่าของไกด์หนุ่ม ทำให้เราทราบว่า สะพานติณสูลานนท์ สร้างเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2527 แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2529 ส่วน เกาะยอ นั้น เป็นเกาะเล็ก ๆ ในทะเลสาบสงขลา มีผ้าทอเกาะยอขึ้นชื่อเป็นสินค้าหลักของคนพื้นถิ่นของที่นี่
จากนั้น เรื่องราวและตำนานต่าง ๆ ก็ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นระยะ ๆ เริ่มตั้งแต่คำขวัญจังหวัด, ตำนานเกาะหนู เกาะแมว, แหลมสนอ่อน, แหลมสิมิหลา … รวมถึงตำนานก้อนหินที่มีชื่อว่า “หัวนายแรง” อันเป็นก้อนหินที่ตั้งอยู่เหนือโขดหินริมทะเล ซึ่งมุขปาฐะแห่งเรื่องเล่านั้นกล่าวว่าภายใต้ก้อนหินนั้น นายแรงฝังทรัพย์สมบัติไว้จำนวนมาก
เขาตังกวน เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่นิสิตบอกเล่าว่า บนยอดเขานั้นมีเจดีย์และตำหนักที่สร้างในรัชกาลที่ 5 เมื่อขึ้นไปบนยอดเขาก็จะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองสงขลาได้อย่างกว้างไกล และนั่นยังไม่รวมถึงคำเล่าขานเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของรูปปั้นนางเงือกที่ทำเอาใคร ๆ ฮือฮาและปรารถนาที่จะพิสูจน์
นิสิต มมส ต่างเพลิดเพลินกับการเดินทอดเท้าไปตามชายหาด เปลวแดดที่แผดแสงดูอ่อนโยนและเป็นมิตรกับคนที่ราบสูงอย่างแทบไม่น่าเชื่อ ลมทะเลพัดมาอย่างไม่ขาดห้วง เสียงคลื่นเวียนผ่านแตะมือกันมากระซิบกระซาบกับโขดหินและขาดทรายอย่างไม่รู้เบื่อขณะที่หลายชีวิต ได้ใช้ชีวิตเรียบริมทะเลทั้งเหมือนและต่างกันอย่างเสรี
สำหรับผมแล้ว ผมใช้เวลากับการให้ความคิดได้โลดแล่นไปอย่างไร้จุดหมาย
บางครั้งพลัดหลงว่ายไปเยือนลำเรืออันแสนไกลในโพ้นทะเล กระนั้นก็อดหวนคิดไม่ได้ว่า ท้องทะเลแห่งนี้ ช่างเป็นที่พึ่งพิงของสรรพสิ่งอย่างหลากหลาย ขึ้นอยู่กับว่า แต่ละชีวิตและเลือกพึ่งพิงด้วยกระบวนการใดเท่านั้นเอง
จากนั้นเราก็ลงเรือล่องทะเลกันยาวนาน พบปะสังสรรค์กับสถาบันในเครือเทา – งาม ทั้ง 5 สถาบันบนเรือลำใหญ่ที่ เราต่างทานอาหารเย็นกันในเรือ พูดคุยและเฮฮากันอย่างมีชีวิต ก่อนที่จะคืนกลับขึ้นฝั่งในราวเกือบสองทุ่ม
ก่อนรถบัสของมหาวิทยาลัยจะเคลื่อนตัวออกจาก แหลมสิมิหลา ผมถือโอกาสย้ำและสรุปบทเรียนกว้าง ๆ ของวันนี้ให้กับนิสิตได้นำไปขบคิดก่อนนอน ว่า “ได้เรียนรู้อะไรบ้างจากวันนี้ ..และย้ำว่าจากนี้ไปให้เตรียมพร้อมสำหรับการเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้อย่างไร้รูปแบบ”
ย้อนกับสู่รุ่งเช้าก่อนเข้าสู่ตัวเมืองสงขลาของวันนี้อีสักครั้ง -
ผมเองได้ให้นิสิตทุกคนเขียน “ความคาดหวังและเหตุผลของการเข้าร่วมกิจกรรม” ครั้งนี้กันบ้างแล้ว .. และนัดหมายให้นำส่งผมในวันพรุ่งนี้ ถึงกระนั้นก็เถอะ… ผมก็ยังไม่เอ่ยปากบอกว่าโจทย์ที่เหลือคืออะไรบ้าง เพราะเกรงว่านิสิตจะเคร่งเครียดกับการเรียนรู้ และเหนือสิ่งอื่นใดคือการไม่ต้องการตีกรอบการเรียนรู้ของพวกเขาจนเกินไปนัก จึงได้แต่ย้ำหนักหนาว่า “จงมีความสุขกับการเรียนรู้ และเป็นตัวของตัวเองอย่างมีกาละ”
ท้ายที่สุดของค่ำคืนนั้น ผมตั้งคำถามกับนิสิตว่า หากต้องให้นิสิตแนะนำคนอื่นให้รู้จักกับมหาวิทยาลัยของตนเอง หรือแม้แต่เมืองมหาสารคาม นิสิตจะทำได้เฉกเช่นกับนิสิตจาก ม.ทักษิณที่บอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างไม่เคอะเขิน หรือไม่ ?
นั่นคือกระบวนการแห่งการย้อนกลับมาดูต้นทุนของตนเองว่ามีอะไรบ้าง ? … เรารู้จักตัวเองแค่ไหน ? รู้ว่าตนเองมาจากที่ใด และกำลังไปหนแห่งใด ? รักและภาคภูมิใจตัวเองหรือเปล่า ? ศรัทธาต่อสถาบันหรือไม่ ? รวมถึงการฝากย้ำให้แต่ละคนได้กลับไปพินิจพิเคราะห์คำถามที่ผมถามเมื่อรุ่งเช้านั้นอีกรอบ ..
ครับ… นั่นคือการสะกิดให้เขาได้เข้าใจในการเรียนรู้ที่ผมทิ้งประเด็นไว้ว่า “ดูเรา – ดูเขา .. เข้าใจตัวเอง” ซึ่งก็คือการ “ดูละคร แล้วย้อนดูตัว” .. ดี ๆ นี่เอง !
ริมทะเลสงขลา และค่ำคืนที่ผมลืมแหงนมองดูว่าท้องฟ้ามีดาวหรือไม่
สวัสดีครับ
ทราบมาว่าเกาะยอมีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ มีการท่องเที่ยวโดยชุมชนอยู่ที่นั่นด้วย น่าสนใจมาก
อ่านเพิ่มเติมที่ www.kohyor.thaigov.net/
คุณพนัสได้พบท่าน ดร.ยูมิ บ้างมั้ยครับ หากพบผมฝากความคิดถึงท่านด้วยครับ
สวัสดีครับ คุณเอก..
ผมไปสงขลาคราวนี้ ไม่ได้เจอ อ.ยูมิ เพราะไม่ได้ติดต่อไว้ล่วงหน้า และเจ้าภาพก็ไม่ได้จัดตารางให้พาไปเยี่ยมชม และตารางก็พลิกผันอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน เลยทำให้ไม่สามารถปลีกวิเวกไปไหนได้ตามใจพึงปรารถนา
แต่ผมและนิสิตก็จอดรถหน้าตึกแล้ว แต่ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจไม่ขึ้นไปเยี่ยมชมสถาบันทักษิณฯ เลยอดได้เจออาจารย์ยูมิไปโดยปริยาย...
...
กอยอมีเรื่องเล่าและประวัติศาสตร์วัฒนธรรมที่น่าสนใจมาก นิสิตเจ้าภาพแนะนำเรื่องผ้าเกาะยอไว้คร่าว ๆ ... ผมเองก็อดที่จะเชื่อมมิติผ้าเกาะยอมาสู่ผ้าพื้นเมืองของอีสานให้นิสิตได้เรียนรู้ไม่ได้เช่นกัน โดยเฉพาะการหยิบยกผ้าทอมือจากบ้านหนองเขื่อนช้างที่อยู่ใกล้ ๆ กับมหาวิทยาลัย ... เผื่อว่านิสิตจะได้เรียนรู้กันบ้าง แต่ที่สำคัญ ชุดที่เราตัดให้ใส่ในงานนี้ก็เป็นชุดผ้าฝ้ายพื้นเมืองจากบ้านหนองเขื่อนช้างนั่นเอง
ท้ายที่สุดไม่เหลือติดตัวกลับมาแม้แต่ตัวเดียว เพราะเพื่อน ๆ ต่างสถาบันร้องขอไปเก็บไว้เป็นของที่ระลึก
อ.ขจิต ครับ
ความเก่า ความหลังอันเป็นอดีตที่หวนคิดถึงนั้น
หมายถึง ความรัก ด้วยหรือเปล่าครับ
วันนี้แหลมสิมิหลา ... ไม่เคยเหงา มีผู้คนไปทักทายอย่างไม่ว่างเว้น..
สวัสดีครับ
นี่เป็นการเดินทางด้วยรถยนต์ไปใต้ครั้งแรกของผม ..นั่งรถยาว 24 ชั่วโมง หลังขดหลังแข็ง ปวดขาไปตาม ๆ กัน
แต่อีกไม่นานก็จะไปนครศรีธรรมราชอีกรอบ ... ยังงอแงอยู่เลย เพราะเข็ดกับการเดินทาง ..
แต่ใต้ก็เป็นเมืองน่าอยู่ .. ฝนตกแทบทุกวัน ....
สวนยางก็ดูร่มรื่นมาก...
มีโอกาสไปพักผ่อนที่ใต้บ้างก็ดีนะครับ
สวัสดีครับ พี่อัมพร คนสวย
โอ้โฮ้มีแต่พระอภัยมณี แล้วนางเหงือกอยู่ไหนหล่ะคาบ