เรื่องนี้มีคนให้คำนิยามแล้วนะครับว่า“อาการลงแดง”แม้แต่คนที่ไปประชุมต่างประเทศ ก็โอดครวญมาว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง..ไม่ต้องวิตกกังวลนะครับ อาการเช่นนี้จะเกิดขึ้นเฉพาะกับคนที่ของขึ้นเท่านั้น ไม่ระบาดเหมือนโรคร้ายทั่วไป เพราะเรื่องนี้มันเป็นส่วนตัวจริงๆ ที่เราจะเป็นผู้กำหนดได้เอง ว่าเราจะเข้ามาในโลกของG2K แค่ไหน ประเด็นใด เมื่อไหร่ และอย่างไร เป็นไปตามความอิสระแห่งตน ไม่มีภาคบังคับ ไม่ต้องรออนุมัติหรือขออนุญาตใคร คนไหนทำ คนนั้นได้เจออะไรสารพัดสารพัน อ.จันทรรัตน์ เจริญสันติ ให้คำจำกัดความไว้หรูมาก..
“..เพราะทำอะไรถ้าสนุกก็อยากทำ ยิ่งถ้ามีทีมที่ทำงานเข้าใจกัน นัดนอกเวลาหรือต่อเวลาบ้างก็ได้ ไม่เอาแต่เรื่องของตัวเองหรือเอาแต่ใจตัวเอง คุยกันได้ทุกเรื่อง ผิดก็ให้อภัย ใครรู้เรื่องไหนก็สอนกันได้ เศร้ามาก็มีคนฟัง อกหักก็มีอกให้ซบ...อยากหัวเราะก็มีคนเล่าเรื่องตลก.. ”
ยุคนี้การเรียนรู้เป็นแบบเร็วด่วนได้ ผู้คนส่วนใหญ่จะต้องการอะไรๆให้เร็วเข้าว่า ตรงนี้มีผลอย่างมากกับระบบของG2K ถ้าเข้ามาแบบฉาบฉวยจะดูเหมือนเฉยๆไม่เห็นมีอะไร ผู้ใหญ่หลายสำนักสะท้อนความเห็นกับผมว่า..เข้ามาดูแล้วไม่ค่อยเห็นแก่นสาร นี้คือโจทย์และการบ้านที่ผมเก็บเอามาฉุกคิด ..ซึ่งผมก็ยอมรับว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ..แต่..
เพราะว่าG2Kมีเงื่อนไขที่เป็นข้อจำกัดในตัวบางประการ ตรงผู้ที่เข้ามาจะต้องมีเวลาศึกษาความเป็นพิเศษในระบบนี้พอสมควร จึงจะเห็น จะเข้าใจ และได้รู้ถึงอานุภาพของกระบวนการนี้
ที่สำคัญ:
บังเอิญว่าสิ่งนี้เป็นปรากฏการณ์ใหม่ ที่เกิดขึ้นในยุคของการยกเครื่องระบบการเรียนแต่เดิม ไปสู่เทคโนโลยีสารสนเทศการสื่อสาร และบ้านเมืองเราก็ตั้งรับเรื่องสำคัญๆไม่ค่อยทันการ ปล่อยให้เรื่องไอที.ดิ้นไปตามแต่มันจะเป็น เรียกว่าสถานการณ์ตอนนี้ยังอลวล แม้จะมีกระทรวงเทคโนโลยีและการสื่อสารนี่ก็เถอะ ยังเงอะงะเหมือนกิ้งกือตกท่อ คิดและทำอะไรๆตลกๆอยู่เรื่อย
บัดนี้ความรู้ได้โบยบินออกไปรอบโลก และมนุษย์ทั้งพิภพเขาเปลี่ยนวิธีประเมินกันแล้ว เขาวัดกันที่ความรู้ ใครมีกึ๋นมากก็มีอำนาจ มีทุกสิ่งถูกอย่าง จะจูงจมูกใครที่ไหนในโลกนี้ก็ย่อมได้ พวกเรายังดีที่มีสถาบันจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส.) ที่เห็นความสำคัญของการปรับเปลี่ยนระบบการเรียนรู้แบบสากล ได้พยายามหาเครื่องมือ และชวนคิดชวนเรียนเรื่องการจัดการความรู้
: ประเด็นการจัดการความรู้ในG2K
หัวใจมันอยู่ที่ทำให้ผู้กล้าทั้งหลาย ฉุกคิดว่าวันนี้เรามีความรู้อะไร ความรู้เราเพียงพอไหม ความรู้เราสดๆใหม่ๆเหมาะสมที่จะไปถ่ายทอดแล้วหรือยัง ถ้าฉุกคิดและยอมรับความจริง ผู้เรียนตัวจริงเสียงจริงทั่วทั้งแผ่นดิน ก็จะลุกขึ้นเอาความรู้ตัวเองออกมาคลี่ดู เอามาปรับมาเติมเสริมเสน่ห์เข้าไป การทำให้ชุดความรู้ของแต่ละคนมีความพร้อมนี่เอง ที่ระบบG2Kได้ทำหน้าที่อย่างเป็นธรรมชาติ ถ้าจัดอบรมว่ากันด้วยเรื่องนี้ นอกจากจะสูญเสียเวลาและงบประมาณหลายหมื่นล้านบาทแล้ว ก็ยากที่จะหวังผลได้
หมายเหตุ: มีคนสังเกตว่าผมชอบเพ้อเจ้อยาวๆ ดังนั้น ขอยกยอดไปต่ออีกตอนดีไหมครับ เดี๋ยวจะหาว่าหล่อเตือนแล้วไม่ใส่ใจ เราถ้อยทีถ้อยอาศัยกันครับ ใครแนะนำผมเชื่อฟังอยู่แล้ว นอกจากไม่ปัญหา ยังมีรักมาฝากอีกนะตัวเอง ฝากให้รักG2Kยังไงละ อิอิ..
สวัสดีค่ะพ่อ
สวัสดีครับพ่อครู
"เด็กติดเกม นักวิชาการคนทำงานติดบล็อก"
สองโรคนี้ต้องรีบแก้ไขโดยด่วน เพราะตอนนี้ผมติดบล็อกจนทำการบ้านไม่เสร็จแล้ว ฮิฮิ
ท่านสามารถดูกรณีตัวอย่างจาก เติมชีวิต(วิชิต)ให้มีชีวาที่มหาชีวาลัยอีสาน : ฅนบ้า Blog ?
ขอบคุณพ่อครูบาฯ มากครับ ที่ชี้ทางสว่างให้คนส่วนหนึ่งได้
สวัสดีครับพ่อครูบา
ขอบคุณครับพ่อครูบา
หากไม่มี Blog ของพ่อครูบากับอาจารย์ลูกหว้าก็ไม่รู้ว่าจะไปแต่งกลอนไว้ที่ไหนดี
โอ๊ะ โอ๋...ขออภัยที่เข้ามาอ่านช้าไปหน่อยค่ะ.....
(ตอนนี้อินเตอร์เนตกลางวัน(ของฟรี)ใช้ไม่ได้ค่ะ...มันช้ามาก..ต้องรอใช้ของที่ต้องจ่ายตังค์เอง(ADSL)ในตอนกลางคืนค่ะ....ถ้าไม่มี ADSL ละแย่เลยค่ะ...ลงแดง!!!)
อ่านแล้วก็ปลื้มอีกแล้ว.....(ไม่บอกว่าปลื้มอะไรค่ะ...อิอิ)
สวัสดีคะ พ่อครูบา
อ่าน อ่าน มีเรื่องอ่านมีเรื่องยิ้ม
ยิ้ม ยิ้ม มีเรื่องยิ้มจากเรื่องอ่าน
เขียน เขียน มีเรื่องเขียนให้คนอ่าน
คนไม่อ่าน ก็ยังยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม
---^.^---
มายิ้มๆ กับโรคระบาดนี้ด้วยคนคะ
สิ่งแรกที่ทำหลังจากกลับมาจากต่างจังหวัด (เข้าป่า) ก็ต้องมาเปิด g2k
มันก็ยากนะ ถ้าคนไม่เข้าใจ กระบวนการ KM ธรรมชาติ ที่ จะเข้ามาใน G2k แล้ว โวยว่า
คนที่มาจากแนว Fast mode เร่งผล เน้นผลลัพธ์ เน้น Tangible asset (รูปธรรม) เงินๆๆๆ งกงก เค็มเค็ม พวก Second Hand Educator (นักการศึกษามือสอง) ฯลฯ จะไม่เข้าใจ การสร้างองค์ความรู้ แบบ ธรรมชาติ (First hand learner) และ ยั่งยืน
บางคนเข้ามา G2k เพื่อ
เขียนบทความ เอาไป สร้าง "ตัวเลข" แสดงให้ คนตรวจประเมินดูว่า ได้ทำบันทึก ได้ทำ KM ฯลฯ ก็มีเยอะนะ
บางคนแม้น จะอ่านเฉยๆ แต่ สิ่งที่ได้ไม่รู้ตัว คือ
กะจะตอบเหมือนอาจารย์เลยครับ ผมทำ Blog แล้วยังได้ผลเหมือนกับที่อาจารย์บอกไว้นะครับ
ปีนี้วันเกิดผมมีคนมาอวยพรมากมายใน Blog หลังจากนั้นผมการเที่ยวไปอวยพรชาว Blog ที่เกิดในวันต่างๆ ไปทั่ว ก็ตอนที่เขามาอวยพรเรา ทำให้เราหัวใจพองโต ก็อยากทำให้คนอื่นบ้าง
ปีนี้ไม่ต้องซื้อหนังสือครับ เพราะยืมจากเพื่อนๆ ในโครงการ Lend It Forward
ปีนี้ได้โปสการ์ดจากเพื่อนๆ ใน Blog หลายใบ ส่งให้เพื่อนๆ อีกหลายใบ ไปที่ไหนก็จะมีคนให้คิดถึง
อีกหลายเรื่องที่ได้จากการทำ Blog มาปีกว่า
ผมชอบคำหนึ่ง หากทำอะไรแล้วเจ็ดวันแล้วไม่รู้สึกมีความสุข ให้เลิกทำ
ทำ Blog มาพอสมควร ยังมีความสุขอยู่ครับ
มีเรื่องเดียวที่ชาว Blog เจอ คือ ภรรยาอาจไม่เข้าใจ เพราะเราติด Blog ทำให้มีเวลาให้เขาน้อยลง (ฮาดีไหม)
ก็คงต้องหาทาง และหาความเหมาะสมเอาเองครับ
สนทนากับตัวเองอย่างเงียบสงบ
ค้นพบความจริงยิ่งใหญ่
สุข ทุกข์ล้วนเกิดจากใจ
สูงสุด ..ผลิกกลับได้...คือ สามัญ
....
คิดถึงพ่อฯ ครับ